Mahidol University's Institutional Repository
คลังสารสนเทศสถาบันของมหาวิทยาลัยมหิดล
"Wisdom Repository You Discover"


To collect Mahidol University's academic publications and intellectual properties more than 39 faculties

To present over 50,000 items of information in digital formats

To make it easy to access to all information at anytime, anywhere
Communities in Mahidol IR
Select a community to browse its collections.
Recent Submissions
ผลของการใช้สูตรอย่างง่ายเพื่อคำนวณปริมาณการให้ยานอนหลับ Chloral hydrate ชนิดน้ำเชื่อมก่อนตรวจ Echocardiography ในผู้ป่วยเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี
(2565) อุเทน บุญมี; มัทนา ทิสาพงศ์; Uthen Bunmee; Mutthana Tisapong
ผู้ป่วยวัย 6 เดือน - 4 ปี เป็นวัยที่หวาดกลัวและไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจหรือให้ความร่วมมือได้ไม่นานพอที่จะทำการตรวจได้แล้วเสร็จ ดังนั้นก่อนตรวจ Echocardiography จึงจำเป็นต้องให้ยานอนหลับเพื่อให้การตรวจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและผลตรวจที่ได้มีความแม่นยำมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันแผนกตรวจ Pediatric Echocardiography โรงพยาบาลรามาธิบดีใช้ยานอนหลับ Chloral hydrate ชนิดน้ำเชื่อมความเข้มข้น 100 mg./ml. บริหารยาด้วยการรับประทาน คำนวณปริมาณยาด้วยการเทียบบัญญัติไตรยางศ์ คือ 50 mg/kg/dose หรืออยู่ในรูปสูตรอย่างง่ายคือ Volume(ml.) = BW(kg)/2 การศึกษาผลของการให้ยาลักษณะนี้ยังมีไม่หลากหลาย ทำให้เกิดแนวคิดในการศึกษาผลของการให้ยาจากสูตรอย่างง่ายนี้ขึ้นภายใต้การวิจัยแบบย้อนหลังในผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการตรวจ Echocardiography โดยแพทย์และนักเทคโนโลยีหัวใจและทรวงอก ตั้งแต่มกราคม 2557 - มกราคม 2563 ที่มีบันทึกการให้ยาในระบบเวชระเบียนทั้งสิ้น 51 ราย อายุ 12.2 + 6.3 เดือน น้ำหนัก 9.17 + 1.69 กิโลกรัม เพศหญิงร้อยละ 58 เพศชายร้อยละ 42 พบว่าปริมาณยาที่ได้จากการคำนวณยาด้วยสูตรอย่างง่ายนี้สามารถทำให้ผู้ป่วยหลับได้ภายใน Dose เดียวมากที่สุดถึงร้อยละ 74 มีระยะปรากฏฤทธิ์จนกระทั่งหลับสนิท 50.3 + 28.3 นาที หลับภายใน 2 Dose ร้อยละ 22 และที่ต้องได้รับยามากกว่า 2 Dose เพียงร้อยละ 4 สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างอายุกับระยะปรากฏฤทธิ์ rs = 0.39, Sig <0.05 อาการไม่พึงประสงค์จากกการใช้ยา ได้แก่ พบภาวะเสมหะอุดกั้นทางเดินหายใจร้อยละ 3.9 ภาวะออกผื่นตามลำตัว ร้อยละ 1.9 แต่ไม่พบการให้ยาเกินขนาด คือ 1,000 mg/dose สรุปได้ว่าสูตรอย่างง่ายที่โรงพยาบาลรามาธิบดีใช้ในเด็กมีประสิทธิผลสามารถทำให้เด็กหลับได้ตั้งแต่ Dose แรกมากที่สุด และอายุกับระยะปรากฏฤทธิ์มีความสัมพันธ์กันเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ด้านอาการไม่พึงประสงค์ของยาพบน้อยมากแม้จะมีอุบัติการณ์การให้ยาซ้ำบ้างก็ตาม
เพลงดนตรี ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ฉบับหอสมุดวชิรญาณ
(2565) สนอง คลังพระศรี; Sanong Klangprasri
บทความวิชาการนี้นำเสนอเพลงดนตรีที่ปรากฏในหนังสือเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ (ฉบับชำระใหม่) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้รักดนตรีไทยได้เข้ามาอ่าน เพื่อให้เข้าใจถึงสาระสำคัญของเพลงดนตรีจากเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ในฐานะดุริยวรรณกรรมเพลงไทย และสาระด้านดนตรีเพื่อการอ้างอิงเชิงวิชาการ เนื้อหาในบทความประกอบด้วย (1) สารัตถะแห่งการขับเสภา (2) เพลงดนตรีในเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน
จากการศึกษาข้อมูลพบว่า ขุนช้างขุนแผน เดิมเป็นนิทานอิงพระราชพงศาวดารสมัยอยุธยา ที่ชาวบ้านหรือนักเล่าเรื่องในสมัยนั้นเรียกว่า “เสภา” กรมพระสุรัสวดีได้นำมาเล่าขยายเป็นนิทานคำกลอน เพื่อขับลำนำเข้าจังหวะขยับ “กรับคู่” (ข้างละคู่) กลายเป็นแบบแผนของ “การขับเสภา” ในเวลาต่อมา ภายหลังได้มีการแต่งเติมขึ้นใหม่อีกหลายตอน หลายสำนวน โดยเฉพาะในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้ทรงนำบทเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน มาร้องส่งให้วงปี่พาทย์บรรเลงรับ จนเกิดแบบแผนและการบรรเลงในรูปแบบ “วงปี่พาทย์เสภา” และนิยมนำบทเสภาไปบรรจุไว้ในทำเนียบขับร้อง เฉพาะที่พบในฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ มีจำนวน 73 บทร้อง/บทเพลง นอกจากนี้ ในแต่ละตอนได้ยังพบสาระเกี่ยวกับเพลงดนตรีอื่น ๆ ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานอ้างอิง เพื่อขยายมุมมองด้านการศึกษาดนตรีไทยให้กว้างขวางและลุ่มลึกมากยิ่งขึ้นได้
การศึกษาระดับการรับรู้และความเข้าใจของบุคลากรในสำนักงานอธิการบดีต่อค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อวางแผนการพัฒนาและปลูกฝังค่านิยมให้คงอยู่อย่างยั่งยืน
(2556) เกศินี ชาวนา
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ๑) ศึกษาระดับการรับรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติที่มีต่อค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดลของบุคลากรในสำนักงานอธิการบดี ๒) ศึกษาพฤติกรรมที่สอดคล้องกับค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดลของบุคลากรในสำนักงานอธิการบดี และ ๓) ศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ ความเข้าใจ ทัศนคติ และพฤติกรรม กับกิจกรรมในโครงการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์การ กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรในสำนักงานอธิการบดี ยกเว้น ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก วิทยาเขตนครสวรรค์ วิทยาเขตกาญจนบุรี และวิทยาเขตอำนาจเจริญ จำนวน ๕๑๕ คน ที่ผ่านกิจกรรมในโครงการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์การ และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ทดสอบค่าที (t-test) วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way AnalysisofVariance) และวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’sProduct Moment Correlation Coefficient)
ผลการวิจัยพบว่าบุคลากรในสำนักงานอธิการบดีที่ผ่านกิจกรรมในโครงการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์การ มีการรับรู้ค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดลในระดับปานกลาง มีความเข้าใจค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดลในระดับปานกลาง มีทัศนคติที่มีต่อค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดลในระดับสูง และมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดลในระดับสูง ปัจจัยส่วนบุคคลของบุคลากร ด้านเพศ อายุ และอายุงาน ไม่มีผลต่อการรับรู้ค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดล ความเข้าใจค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดล และทัศนคติที่มีต่อค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดล ส่วนอายุงานนั้นมีผลต่อการรับรู้ค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ และพฤติกรรมที่สอดคล้องกับค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดล มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความเข้าใจค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดล และทัศนคติที่มีต่อค่านิยมมหาวิทยาลัยมหิดล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑
เปลี่ยนหลักสูตรจาก ๒-๒-๒ เป็น ๑-๒-๓ เมื่อไรแน่
(2556) สรรใจ แสงวิเชียร
การสืบทอดและการดํารงอยู่ของคณะแตรวงในอําเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม
(2565) ธันยาภรณ์ โพธิกาวิน; Dhanyaporn Phothikawin
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของคณะแตรวงในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม 2) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาของคณะแตรวงในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม 3) เพื่อศึกษาการสืบทอดและการดำรงอยู่ของคณะแตรวงในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยผู้ให้สัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยทำการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้คือ 1) ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา สภาพและปัญหาการสืบทอดและการดำรงอยู่ของคณะแตรวงในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม 2) นักดนตรีที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ และมีความเกี่ยวข้องกับคณะแตรวงในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม จากการนำเสนอผลการวิจัยในลักษณะการพรรณนาและพรรณนาวิเคราะห์
ผลการวิจัยพบว่า 1) ประวัติความเป็นมาของคณะแตรวง มาจากครูดนตรีและนักดนตรีใน 4 จังหวัดด้วยกัน โดยเริ่มต้นจากครูทองด้วง เดชาชัย ครูดนตรีและนักดนตรีในจังหวัดนครปฐม ครูดนตรีและนักดนตรีในจังหวัดราชบุรี ครูทวาย ทัศนะจิตร ครูดนตรีและนักดนตรีในอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม และครูบุญรอด ทองคำใส ครูประคอง วิสุทธิวงศ์ ครูธินัย วิสุทธิวงศ์ ครูดนตรีและนักดนตรีในอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้ในการบรรเลงแตรวงให้แก่คณะแตรวง ดังต่อไปนี้ คณะแตรวงวิเชียรเอ็นเตอร์เทน คณะแตรวงบรรเทิงศิลป์ คณะแตรวงขวัญใจศิลามูล
และ คณะแตรวงสยามศิลป์ 2) สภาพและปัญหาภายในคณะแตรวง เกิดจากการสืบทอดความรู้ของคณะแตรวงและการบริหารจัดการคณะแตรวง ส่วนสภาพและปัญหาภายนอกคณะแตรวง เกิดจากสภาพสังคมและวัฒนธรรม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสุขภาพ 3) การสืบทอดและการดำรงอยู่ของคณะแตรวงในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เกิดจากการสืบอดความรู้ภายในครอบครัวและการสืบทอดความรู้จากภายนอก การปรับตัวของคณะแตรวงด้านการประยุกต์เครื่องดนตรีและการนำบทเพลงสมัยใหม่มาบรรเลง การปรับตัวในด้านการสร้างความเป็นเอกลักษณ์ การปรับตัวด้านตลาดและประชาสัมพันธ์ และการได้รับการยอมรับและการเห็นคุณค่าของคณะแตรวงในประเพณีและพิธีกรรม