Browsing by Author "มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย"
Now showing 1 - 20 of 32
- Results Per Page
- Sort Options
Item Open Access COVID-19 : ARE YOU READY? RETURN TO WORK SAFELY พร้อมหรือไม่? กลับมาปฏิบัติงานอย่าง ปลอดภัย(2563) มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย; สมาคมศิษย์เก่าอาชีวอนามัยและความปลอดภัยมหาวิทยาลัยมหิดล (สอม.); สมาคมอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน (สอป.)Item Metadata only การใช้โอโซนทางการแพทย์และสิ่งแวดล้อม: หลักการ ทฤษฎีและวิธีการประยุกต์ใช้(2540) ชมภูศักดิ์ พูลเกษ; เทพนม เมืองแมน; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัยPublication Open Access การประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการรับสัมผัสสารอินทรีย์ระเหยง่าย ของพนักงานร้านถ่ายเอกสารบางแห่งในกรุงเทพมหานคร(2558) นพนันท์ นานคงแนบ; พรพิมล กองทิพย์; มัตติกา ยงประเดิม; ดุสิต สุจิรารัตน์; Noppanun Nankongnab; Pornpimol Kongtip; Dusit Sujirarat; พรพิมล กองทิพย์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาระบาดวิทยา; Mahidol university. Faculty of Public Health. Department of Occupational Health and Safety; Mahidol university. Faculty of Public Health. Department of Epidemiologyสารอินทรีย์ระเหยง่าย ที่ถูกปลดปล่อยจากเครื่องถ่ายเอกสารส่งผลกระทบต่อสุขภาพ งานวิจัยนี้มีวัตถุ ประสงค์เพื่อวัดการรับสัมผัสสารอินทรีย์ระเหยง่ายและประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพของพนักงานร้านถ่ายเอกสาร โดยเก็บตัวอย่างอากาศแบบชนิดบุคคล จำนวน 30 ตัวอย่าง จากร้านถ่ายเอกสารในเขตกรุงเทพมหานคร 30 แห่งโดยติดตั้งอุปกรณ์เก็บบริเวณปกเสื้อที่ระดับหายใจของพนักงานร้านถ่ายเอกสารตลอดระยะเวลาการทำงาน ความเข้มข้นของสารอินทรีย์ระเหยง่ายถูกนำไปวิเคราะห์ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟี-แมสสเปก โตรมิทรี และสัมภาษณ์พนักงานร้านถ่ายเอกสาร จำนวน 59 คน ด้วยแบบสอบถาม ผลการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยการรับสัมผัส สารโทลูอีน สารเตตระคลอโรเอทิลีน สารเอทิลเบนซีน และสารไซลีน ร้านถ่ายเอกสารที่ศึกษาเป็น 46.23, 6.00, 12.76, และ 12.07 µg/m3 ตามลำดับ ค่าความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตลอดชีวิตจากการรับสัมผัสสาร เตตระคลอโรเอทิลีน และเอทิลเบนซีน มีค่าความเสี่ยงเฉลี่ยเป็น 4.23x10-8และ 1.04x10-6 ตามลำดับ และความเสี่ยงที่ไม่ใช่การเกิดมะเร็งพบว่ามีค่า Hazard Index เฉลี่ยเป็น 9.27x10-2 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ การประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพพบว่า ค่าสูงสุดของ Hazard Index มีค่า 1.95 ดังนั้นเพื่อลดการสะสมของการรับสัมผัสสารอินทรีย์ระเหยง่ายควรกำหนดเวลาเปิดประตูหน้าต่างเพื่อลดการสะสมของสารอินทรีย์ระเหยง่ายในช่วงเวลาพัก Volatile organic compounds emitted from photocopy shops affect health. This research aimed to measure of VOCs and health risk assessment among workers in photocopy shops. Air samples were collected by personal sampling (30), set up in the breathing zone of workers in 30 photocopy shops in Bangkok. VOC concentrations were analyzed by gas chromatography-mass spectrometry (GC-MS) and 59 workers in photocopy shops were interviewed by questionnaire. These results found the average exposure of toluene, tetracholoroethene, ethylbenzene and xylene of photocopy shops were 46.23, 6.00, 12.76 and 12.07 µg/m3, respectively. The estimation of lifetime cancer risk from tetracholoroethene, ethylbenzene exposure were 4.23 × 10-8 and 1.04 × 10-6, respectively. In addition to the noncancer risk, the average hazard index was 9.27 × 10-2 as acceptable risk. Health risk assessment found that the maximum hazard index was 1.95. Consequently, to reduce accumulated VOCs exposure, shops should open doors and windows during break timePublication Open Access การประเมินด้านการยศาสตร์ในคนงานโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง จังหวัดอุบลราชธานี(2564) พิชชาพร บุญสูง; อัมรินทร์ คงทวีเลิศ; ประสงค์, กิติดำรงสุข; เพชรรัตน์ ภูอนันตานนท์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาชีวสถิติ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะกายภาพบำบัดการเกิดอาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างถือว่าเป็นปัญหาทางสุขภาพที่พบในกลุ่มคนงาน ตัดเย็บเสื้อผ้าเนื่องจากคนงานต้องนั่งหรือยืนทำงานในท่วงท่าที่มีความจำกัดตลอดทั้งวัน โดยพฤติกรรมดังกล่าวอาจ ส่งผลต่อความเมื่อยล้าจนก่อให้เกิดปัญหาด้านร่างกาย การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาหาความชุกและประเมินปัญหาการเกิดอาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างของคนงาน ในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 381 คน ใช้เวลาประมาณ 3 เดือนในการรวบรวมข้อมูล โดยใช้ แบบสัมภาษณ์สำหรับเก็บข้อมูลทั่วไป แบบสัมภาษณ์มาตรฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ความผิดปกติของกล้ามเนื้อและ กระดูกฉบับปรับปรุง (Modified Nordic Questionnaire) มาประยุกต์ใช้ และใช้แบบประเมินทางด้านการยศาสตร์ เบื้องต้น ได้แก่แบบประเมิน Rapid Upper Limb Assessment (RULA) และแบบประเมิน Quick Exposure Check (QEC) เพื่อประเมินความเสี่ยงของการเกิดอาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่าง วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติ Chi-square และ Logistic regression ผลการศึกษาพบความชุก ร้อยละ 92.7 ของการเกิดอาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่าง ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ส่วนที่พบมากที่สุด ได้แก่หลังส่วนล่าง ไหล่ และคอ ตามลำดับ และร้อยละ 72.2 ของการ เกิดอาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ส่วนที่พบมากที่สุด ได้แก่คอ ข้อ เท้า/เท้า และหลังส่วนล่าง ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดอาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและ กระดูกโครงร่างของคนงานโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าได้แก่เพศและตำแหน่งงาน ผลการประเมินท่าทางการทำงานโดยใช้ แบบประเมิน RULA พบว่ามีความเสี่ยงสูง (คะแนนเฉลี่ยรวม 5 คะแนน) ซึ่งหมายถึงงานนั้นเริ่มมีปัญหา ควรรีบ ปรับปรุงทันที ซึ่งผลจากการศึกษานี้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการสร้างเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงใน การทำงานให้เหมาะสมกับบริบทการทำงาน ให้คนงานได้รับการดูแลสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพให้สอดคล้องกับ สภาพการณ์การทำงานที่เป็นจริงItem Metadata only การฝึกอบรมหลักสูตรการวางแผนการป้องกันอุบัติภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย: ระหว่างวันที่ 22-26 พฤษภาคม 2543 ณ ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี(2543) เฉลิมชัย ชัยกิตติภรณ์; เฮเลน อารมย์ดี; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัยItem Metadata only การระบายอากาศในโรงงานอุตสาหกรรม: สำหรับนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและนักอาชีวอนามัย: หลักการ การคำนวณ การออกแบบ และการทดสอบ(2549) วันทนี พันธุ์ประสิทธิ์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัยItem Metadata only การระบายอากาศและการควบคุมฝุ่นในสถานประกอบการ(2552) ประมุข โอศิริ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัยItem Metadata only การศึกษาวิจัยเปรียบเทียบระดับตะกั่วในบรรยากาศที่มีผลต่อกลุ่มชนต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร(2525) เฉลิมชัย ชัยกิตติภรณ์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัยPublication Open Access การสำรวจอันตรายต่อสุขภาพจากการประกอบอาชีพช่างทำเล็บ ในตำบลบ้านเลือก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี(2554) ไชยนันต์ แท่งทอง; สรา อาภรณ์; สุพัตรา ละอองนวล; Chaiyanun Tangtong; Sara Arphorn; Supatra Laongnoan; สรา อาภรณ์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัยการศึกษานี้เป็นการศึกษาปัจจัยเสี่ยง โดยการสัมภาษณ์ ผลกระทบต่อสุขภาพของช่างทำเล็บจำนวน 10 คน ในตำบลบ้านเลือก อำเถอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และสำรวจสิ่งแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าปัจจัยเสี่ยงจากการประกอบอาชีพที่สำคัญที่มีผลต่อสุขภาพของช่างทำเล็บได้แก่สารเคมีในน้ำยาทาเล็บ และน้ำยาล้างเล็บซึ่งมีตัวทำละลายผสมอยู่ได้แก่ โทลูอีนและบิวทิลอะซีเตท และท่าทางการทำงานของช่างทำเล็บที่มีความเสี่ยงไม่เหมาะสมต่อการทำงาน ซึ่งสอดคล้องกับผลกระทบต่อสภาวะสุขภาพของช่างทำเล็บได้แก่ อาการปวดเมื่อย คอและหลัง ระคายเคืองตาและผิวหนัง วิงเวียนศีรษะ และมึนงง อย่างไรก็ตามจากการตรวจวัดความเข้มข้นของสารเคมีที่ช่างทำเล็บได้รับพบว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าค่ามาตรฐานแนะนำของ NIOSH มาก เนื่องจากร้านมีการระบายอากาศตามธรรมชาติที่ดี แต่อย่างไรก็ตามผลจากการศึกษาชี้ให้เห็นว่าสถานที่ทำงานของช่างทำเล็บควรได้รับการปรับปรุงเพื่อลดอันตรายจากสารเคมี และอันตรายต่อกระดูกและกล้ามเนื้อ This study interviewed the work-related risk factors and health effects of 10 nail salon workers in Tambol Banleuk, Amphur Banpong, Ratchaburi Province. The air sampling and analysis from the working conditions was performed. The results showed that chemical such as toluene and butyl acetate in nail polish and nail polish removers and musculoskeletal disorder problem were their significant risk factors according to their health symptoms such as back and shoulder pain, irritation of eye and skin headache and dizziness. However, the result of chemical concentration was below than those of NIOSH standard. It might be because of the proper general and or natural ventilation of the salon shops. From this study, it showed that work station of nail salon workers should be redesigned to reduce chemical and musculoskeletal hazard.Item Metadata only ความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมีอันตราย(2545) สรา อาภรณ์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัยItem Metadata only ความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมีอันตราย(2545) สรา อาภรณ์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัยItem Metadata only ความปลอดภัยในการประกอบอาชีพ(2555) วิทยา อยู่สุข; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัยPublication Open Access ความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างและปัจจัยที่เกี่ยวข้องในพนักงานผลิตเซรามิกของโรงงานขนาดใหญ่ จังหวัดลำปาง(2564) ภูดิส รักษ์ตระกูล; เพชรรัตน์ ภูอนันตานนท์; ดุสิต สุจิรารัตน์; เฉลิมชัย ชัยกิตติภรณ์; อัมรินทร์ คงทวีเลิศ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะกายภาพบำบัด; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย; มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. คณะสาธารณสุขศาสตร์ความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างเป็นปัญหาทางสุขภาพที่สำคัญที่พบในพนักงานผลิตเซรามิก เนื่องจากกระบวนการผลิตเซรามิกมีลักษณะท่าทางในการทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่มีผลต่อความผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างของพนักงานผลิตเซรามิก ของโรงงานเซรามิกขนาดใหญ่ในจังหวัดลำปาง จำนวน 242 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์สาหรับเก็บข้อมูลทั่วไป และใช้แบบสัมภาษณ์มาตรฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ความผิดปกติของกล้ามเนื้อและกระดูก มาประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติ Chi-square และ Logistic regression ส่วนการประเมินทางด้านการยศาสตร์ใช้ Rapid Upper Limb Assessment (RULA). ผลการศึกษาพบว่า ความชุกของความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างในช่วง 12 เดือน ร้อยละ 94.6 อาการปวดสูงสุดพบที่บริเวณหลังส่วนล่าง ไหล่ และคอตามลำดับ และในช่วง 7 วันที่ผ่านมา เท่ากับร้อยละ 64.5 อาการปวดสูงสุดพบที่บริเวณหลังส่วนล่าง ไหล่ และข้อมือ ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างของพนักงานผลิตเซรามิก ประกอบด้วย ระดับการศึกษา มือข้างที่ถนัด และการทำงานบ้าน ผลการประเมิน RULA พบว่าร้อยละ 91.7 ความเสี่ยงอยู่ในระดับ 4 งานนั้นเป็นปัญหาด้านการยศาสตร์ ที่ต้องได้รับการปรับปรุงโดยทันที ซึ่งผลจากการศึกษานี้สามารถนำไปใช้เป็นพื้นฐานในการส่งเสริมสุขภาพ ลดความเสี่ยง และอันตรายที่เกิดจากระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างอันส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของพนักงาน รวมทั้งประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วยPublication Open Access ความรอบรู้ทางสุขภาพด้านอาชีวอนามัยและพฤติกรรมความปลอดภัยในการทํางานของพนักงานฝ่ายปฏิบัติการ: กรณีศึกษาโรงงานอุตสาหกรรมยางแท่งแห่งหนึ่งในประเทศไทย(2565) ณัฐรัฐ ไมมะหาด; อัมรินทร์ คงทวีเลิศ; เด่นศักดิ์ ยกยอน; สุธรรม นันทมงคลชัย; Nattarat Maimahad; Amarin Kongtawelert; Densak Yogyorn; Sutham Nanthamongkolchai; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอนามัยครอบครัวประเทศไทยเป็นทั้งผู้ผลิตและส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก สัดส่วนปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางแท่ง เทียบกับสินค้ายางพาราทั้งหมดในปี 2563 คิดเป็นร้อยละ 46.43 และมีแนวโน้มการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น การส่งเสริมพฤติกรรมความปลอดภัย จึงมีความสำคัญในการสร้างเสริมสุขภาพที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีของคนทำงาน การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ความรอบรู้ทางสุขภาพด้านอาชีวอนามัย และพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างคือพนักงานฝ่ายปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรมยางแท่งแห่งหนึ่งในประเทศไทย จำนวน 270 คน เก็บตัวอย่างโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลอธิบายตัวแปรโดยสถิติพรรณนา, หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรโดยใช้สถิติเปรียบเทียบ t-test, สถิติทดสอบความแปรปรวน (One–way ANOVA) และทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Pearson’s Correlation) ผลการวิจัยพบว่าพนักงานฝ่ายปฏิบัติการ เป็นเพศชาย ร้อยละ 65.56 อายุเฉลี่ย 39.0 ปี (+ 8.7 ปี) โดยรวมมีความรอบรู้ทางสุขภาพด้านอาชีวอนามัยอยู่ในระดับพอใช้ ( = 156.11) ระดับพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานอยู่ในระดับดี ( = 4.14) ปัจจัยส่วนบุคคลด้านประสบการณ์การทำงาน, ตำแหน่งงาน, กลุ่มสถานที่ทำงาน และการทำงานล่วงเวลา มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) และพบว่า ความรอบรู้ทางสุขภาพด้านอาชีวอนามัยทั้ง 6 ด้าน มีความสัมพันธ์เชิงบวก (r = 0.488) กับพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) ดังนั้นจึงควรจัดกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาความรอบรู้ทางสุขภาพด้านอาชีวอนามัย เพื่อให้พนักงานมีทักษะในการเข้าถึง เข้าใจ ซักถาม ประเมิน ตัดสินใจ ปรับใช้ และบอกต่อ ในการดูแลสุขภาพทั้งต่อตนเองและผู้อื่น รวมทั้ง แนวทางในการปรับปรุงระดับพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น โดยเพิ่มเติมโปรแกรมส่งเสริมทางสุขภาพด้านอาชีวอนามัย และปัจจัยส่วนบุคคล เช่น การให้คำปรึกษาและอบรมพนักงานโดยใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของพนักงาน การส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีของคนทำงานทุกคน เป็นต้นPublication Open Access ความรู้และพฤติกรรมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของคนงานรับจ้างฉีดพ่น(2562) มณีรัตน์ สวนม่วง; อัมรินทร์ คงทวีเลิศ; มลินี สมภพเจริญ; ดุสิต สุจิรารัตน์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาระบาดวิทยา; ศูนย์ความเป็นเลิศด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและพิษวิทยาการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและส่งผลต่อสุขภาพของเกษตรกรมายาวนาน เกษตรกรในปัจจุบันได้จ้างกลุ่มคนงานรับจ้างฉีดพ่นสารเคมีเพื่อทำหน้าที่แทน จึงทาให้คนงานรับจ้างฉีดพ่นเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพที่ได้รับความเสี่ยงจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางในพื้นที่อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจำแนกตามปัจจัยต่าง ๆ ของคนงานรับจ้างฉีดพ่นหน้าใหม่ที่มีประสบการณ์ทำงานไม่เกิน 10 ปี เก็บข้อมูลจากคนงานรับจ้างฉีดพ่น จานวน 202 คน ด้วยการสัมภาษณ์จากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยร้อยละ, independent’s t-test, One-Way ANOVA และ Pearson’s Correlation Coefficient ผลการศึกษาพบว่า คนงานรับจ้างฉีดพ่นมีความรู้ในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 63.9 และมีพฤติกรรมในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 58.9 ผลการเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชตามปัจจัยต่าง ๆ พบว่า ระดับการศึกษามีผลต่อคะแนนพฤติกรรมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดอบรมความรู้และสร้างความตระหนักถึงวิธีการใช้งานและการป้องกันตนเองจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ที่จะส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสมในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและช่วยลดความเสี่ยงหรือผลกระทบต่อสุขภาพจากการสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืชของคนงานรับจ้างฉีดพ่นPublication Open Access ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพอากาศภายในอาคารโดยสารสาธารณะกับกลุ่มอาการอาคารป่วยในพนักงานจำหน่ายตั๋วโดยสาร เขตจตุจักร(2554) ณหทัย เลิศการค้าสุข; นพนันท์ นานคงแนบ; พิพัฒน์ ลักษมีจรัลกุล; วชิระ สิงหคเชนทร์; Noppanun Nankongnap; Pipat Luksamijarulkul; Wachira Singhacacheng; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาชีวสถิติการศึกษาแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพอากาศภายในอาคาร โดยสารสาธารณะกับกลุ่มอาการอาคารป่วยในพนักงานจำหน่ายตั๋วโดยสาร โดยเก็บตัวอย่างอากาศเพื่อตรวจวัดปริมาณ อนุภาคฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) จำนวน 34 ตัวอย่างปริมาณเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราอย่างละ 136 ตัวอย่างและปริมาณความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ อย่างละ 68 ตัวอย่าง ในบริเวณช่องจำหน่ายตั๋ว และเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นขณะที่พนักงานจำหน่ายตั๋ว โดยสารปฎิบัติงานมีผู้เข้าร่วมโครงการ 219 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและทดสอบความสัมพันธ์ โดยใช้สถิติ Chi-square test ผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ย ปริมาณ PM10 ในอากาศบริเวณช่องจำหน่ายตั๋วเท่ากับ 90.1±15.5 μg/m3 ค่าเฉลี่ยปริมาณแบคทีเรียเท่ากับ 212.3±129.3 cfu/m3 ปริมาณเชื้อราเท่ากับ 54.5±4.5 cfu/m3 และปริมาณความเข้มข้น ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 745.4±236.1 ppm และ 19.7±1.9 ppm ตามลำดับ กลุ่มอาการอาคารป่วยในพนักงานที่พบ คือ อาการปวดศีรษะ (ร้อยละ 87.7) อาการคัดจมูก (ร้อยละ 81.7) อาการระคายเคืองตา (ร้อยละ 72.6) อาการคล้ายโรคหอบหืด (ร้อยละ 69.4) และอาการระคายเคืองผิวหนัง (ร้อยละ 60.3) และเมื่อนำมาหาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพอากาศกับกลุ่มอาการพบว่า มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ (p < 0.05) คือ อาการระคายเคืองตามีความสัมพันธ์กับปริมาณของฝุ่น PM10 (p = 0.047) อาการปวดศีรษะ มีความสัมพันธ์กับปริมาณความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปริมาณความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ที่ตรวจพบ (p = 0.037) และ (p < 0.001) ตามลำดับ The aim of the study was to evaluate the relation between indoor air quality and Sick Building Syndrome of boxes was 90.1±15.5 µg/m3 cfu/m3 ticket sales staff by gathering up 34 samples of air to examine the quantity of particulate matter less than 10 microns, 136 samples of bacteria and fungus and 68 samples of the intensive of carbon dioxide and carbon monoxide in the area of ticket sales boxes. The questionnaire related to sick building syndrome was used to survey 219 participations of ticket sales staff working in the terminals and analyzed, using descriptive statistics and chi-square test. The result of the study demonstrated that the average of particulate matter in the area of ticket sales , the average of bacteria and fungus quantities were 212.3±129.3 cfu/m3 and 54.5±4.5 , the average of the intensive of carbon dioxide and carbon monoxide were 745.4±236.1 ppm and 19.7±1.9 ppm. The headache (87.7%), nasal manifestation (81.7%), eye irritation (72.6%), throat and lower respiratory tract symptoms (69.4%) and skin problem (60.3%) were found in Sick Building Syndrome of ticket sale staff. To value the relation of air quality and symptoms, it was found that there was a relation with significant statistics (p<0.05) including eye irritation relating to particulate matter (p=0.047), headache related to the intensive of carbon dioxide and carbon monoxide examined (p=0.037) and (p<0.001) sequentially.Publication Open Access ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพอากาศภายในอาคารและกลุ่มอาการเจ็บป่วยของพนักงานในสำนักงานของโรงพยาบาล กรณีศึกษาจังหวัดชลบุรี(2547) จิตรพรรณ ภูษาภักดีภพ; ชมภูศักดิ์ พูลเกษ; Chompusakdi Pulket; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัยคุณภาพอากาศภายในอาคารมีความสำคัญต่อสุขภาพของผู้อาศัยในอาคาร โดยเฉพาะใน โรงพยาบาลซึ่งมีทั้งผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ พนักงาน การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะหาความสัมพันธ์ ระหว่างคุณภาพอากาศภายในอาคารสำนักงาน และกลุ่มอาการเจ็บป่วยของพนักงานจำนวน 143 คน ที่ ทำงานในสำนักงานของโรงพยาบาล 11 แห่ง ของจังหวัดชลบุรี โดยตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคาร สำนักงานด้วยดัชนีที่เป็นมลพิษภายในอาคารคือ แบคทีเรีย รา ฝุ่นขนาดเล็ก ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ โอโซน แอมโมเนีย ไอระเหยขององค์ประกอบรวมของ สารอินทรีย์ ฟอร์มาลดีไฮด์ เบนซิน โทลูอีน และไซลีน และสัมภาษณ์กลุ่มอาการเจ็บป่วยของพนักงาน ด้วยแบบสัมภาษณ์ที่ประยุกต์มาจากแบบของ NIOSH ผลการวิจัยพบว่าดัชนีคุณภาพอากาศภายในสำนักงานของโรงพยาบาลส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ที่ แนะนำ ยกเว้นแบคทีเรียในอากาศที่เกินเกณฑ์ทุกสำนักงาน บางสำนักงานมีการปนเปื้อนสารมลพิษเกิน เกณฑ์ที่แนะนำอยู่ 3 ชนิดได้แก่ แอมโมเนีย โทลูอีน และไซลีน กลุ่มพนักงานที่ทำงานในสำนักงานที่มี ไอระเหยขององค์ประกอบรวมของสารอินทรีย์สูงกว่า 0.70 ppm พบกลุ่มอาการทางตาและทางปอดเป็น 2.06 และ 2.23 เท่า ตามลำดับเมื่อเทียบกับกลุ่มพนักงานที่ทำงานในที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า 0.70 ppm กลุ่มพนักงานที่ทำงานในสำนักงานที่มีปริมาณฝุ่นขนาดเล็กสูงกว่า 0.018 mg/m3 และ ไซลีนสูงกว่า 2.00 ppm พบกลุ่มอาการทางตาเป็น 4.81 และ 4.96 เท่า ตามลำดับของกลุ่มพนักงานที่ทำงานในที่มีฝุ่นขนาด เล็กและไซลีนในปริมาณที่ต่ำกว่า กลุ่มพนักงานที่ทำงานในสำนักงานที่มีก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์สูงกว่า 3.00 ppm พบกลุ่มอาการทางเดินหายใจส่วนต้นเป็น 8.22 เท่าของกลุ่มพนักงานที่ทำงานในที่มี คาร์บอนมอนอกไซด์ต่ำกว่า กลุ่มพนักงานในสำนักงานที่มีแบคทีเรียในอากาศสูงกว่า 2 x103 CFU/m3 พบกลุ่มอาการทางผิวหนังและอาการติดเชื้อเป็น 2.53 และ 2.59 เท่าของพนักงานที่ทำงานในที่มีแบคทีเรีย ในอากาศต่ำกว่า ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการสัมผัสมลพิษในอากาศของพนักงานมีความสัมพันธ์กับ กลุ่มอาการเจ็บป่วย อย่างไรก็ตามปัจจัยด้านลักษณะงานก็อาจมีอิทธิพลร่วมด้วย จึงควรมีการเฝ้าระวัง คุณภาพอากาศภายในอาคาร โดยเฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่Item Open Access คู่มือการจัดการ COVID–19 สำหรับสถานประกอบกิจการ(2563) มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย; สมาคมศิษย์เก่าอาชีวอนามัยและความปลอดภัยมหาวิทยาลัยมหิดล (สอม.); สมาคมอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน (สอป.)Item Metadata only โครงการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่และสภาพการทำงานของเกษตรกร(2547) สรา อาภรณ์; เฉลิมชัย ชัยกิตติภรณ์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัยItem Metadata only โครงการพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานสำหรับสถานประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันทางการค้าเสรี เสนอ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน(2548) สุทธินันท์ ฉันท์ธนกุล; วิทยา อยู่สุข; พรพิมล กองทิพย์; ไพพรรณ พิทยานนท์; นิติยา คงขวัญเมือง; ชมพูนุท อ่อนช้อย; เอกวิชญ์ เอกไทยเจริญ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย