Publication: Categorization of antimicrobial agents prescribed in the Veterinary Teaching Hospital in Thailand
Issued Date
2019
Resource Type
Language
eng
Rights
Mahidol University
Rights Holder(s)
Faculty of Veterinary Science Mahidol University
Bibliographic Citation
Journal of Applied Animal Science. Vol.12, No.1 (Jan- Apr 2019), 25-38
Suggested Citation
Arpron Leesombun, Sookruetai Boonmasawai, อาภรณ์ ลี้สมบุญ, สุขฤทัย บุญมาไสว Categorization of antimicrobial agents prescribed in the Veterinary Teaching Hospital in Thailand. Journal of Applied Animal Science. Vol.12, No.1 (Jan- Apr 2019), 25-38. Retrieved from: https://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/53992
Research Projects
Organizational Units
Authors
Journal Issue
Thesis
Title
Categorization of antimicrobial agents prescribed in the Veterinary Teaching Hospital in Thailand
Alternative Title(s)
การจำแนกการสั่งจ่ายยาต้านจุลชีพเพื่อใช้ในโรงพยาบาลสัตว์ เพื่อการเรียนการสอนในประเทศไทย
Abstract
Antimicrobial resistance (AMR) is critical situation for human and animal health worldwide. The
inappropriate antimicrobial use is one of the risk factors of AMR. Intriguingly, an increase of antimicrobial
resistance bacteria was recently evident in companion animals. Since such circumstance strongly implied the
contribution of inappropriate antimicrobial use in veterinary clinics and hospitals to the problems, this study
aimed to categorize and evaluate antimicrobials prescribed in the Veterinary Teaching Hospital in Thailand.
From 6,200 animal patients, there were total 8,093 antimicrobial prescriptions for animal treatments.
The antimicrobials were prescribed for parenteral administrations 3,346 prescriptions (41.3%) and oral
administrations 4,747 prescriptions (58.7%), respectively. During 2012-2015, the most antimicrobial prescriptions
were enrofloxacin (33.9%, P<0.001) with significantly difference from amoxicillin/clavulanate (24.1%) and
doxycycline (15.2%). Enrofloxacin was highest prescribed in both parenteral and oral administrations (41.2% and
28.8%, respectively). Surgical procedure was topmost of parenteral antimicrobial prescriptions (16.5%, P<0.05),
especially for neutering cases, followed with gastrointestinal system (14.6%) and dermatological system (9.5%).
The most oral antimicrobial prescriptions were used for treatments of dermatological system (16.3%,
P<0.05), gastro-intestinal system (11.1%) and surgical procedures (8.9%). These study revealed the pattern of
antimicrobial use in companion animals to fulfill the associated picture with AMR problem in Thailand, and
underline requirement of better solving plan based on one health approach with more concern of antimicrobial
use in veterinary fields.
การดื้อยาต้านจุลชีพเป็นสถานการณ์วิกฤตที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์โลก การใช้ยาต้านจุลชีพที่ไม่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ ปัจจุบันนี้มีการพบแบคทีเรียที่ดื้อยาต้านจุลชีพในสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างไม่เหมาะสมในโรงพยาบาลและคลินิกรักษาสัตว์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าว การศึกษาครั้งนี้ จึงมีจุดประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และจัดกลุ่มการสั่งจ่ายยาต้านจุลชีพในโรงพยาบาลสัตว์เพื่อการเรียนการสอนในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2555-2558 จากข้อมูลสัตว์ป่วยจำนวน 6,200 ตัว พบว่า มีการสั่งใช้ยาต้านจุลชีพ 8,093 ครั้ง เป็นการสั่งใช้ยาฉีดในสัตว์ป่วย 3,346 ครั้ง(ร้อยละ 41.3) และยาเกิน 4,747 ครั้ง (ร้อยละ 58.7) ยาต้านจุลชีพที่มีการสั่งใช้สูงสุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ enrofloxacin ( ร้อยละ 33.9 ค่าP<0.001) ตามด้วย amoxicillin/clavulanate ( ร้อยละ 24.1) และ doxycycline ( ร้อยละ 15.2) ซึ่ง enrofloxacin นั้น ถูกสั่งใช้มากที่สุด ทั้งรูปแบบยาฉีดและยากิน (ร้อยละ 4102 และ 28.8 ตามลำดับ) สัตว์ป่วยส่วนใหญ่ได้รับยาต้านจุลชีพรูปแบบการฉีดมากที่สุดในกระบวนการศัลยกรรม (ร้อยละ 16.5 ค่า P<0.05) โดยเฉพาะการผ่าตัดทำหมัน รองลงมา คือ อาการ หรือโรคระบบทางเดินอาหาร (ร้อยละ 14.6) และความผิดปกติที่ผิวหนัง (ร้อยละ 9.5) ยาต้านจุลชีพแบบกินถูกสั่งใช้มากที่สุดเพื่อรักษาความผิดปกติที่ผิวหนัง (ร้อยละ 16.3 ค่า P<0.05) ระบบทางเดินอาหาร (ร้อยละ 11 ) และการทำศัลยกรรม (ร้อยละ 8.9) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงรูปแบบการสั่งใช้ยาต้านจุลชีพในสัตว์เลี้ยง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้เห็นภาพรวมของปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพในประเทศไทยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สัตวแพทย์ที่มีความรู้และความตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว มีส่วนสำคัญในการแก้ไขและลดความรุนแรงของปัญหาตามพื้นฐานของสุขภาพแบบองค์รวมได้
การดื้อยาต้านจุลชีพเป็นสถานการณ์วิกฤตที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์โลก การใช้ยาต้านจุลชีพที่ไม่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ ปัจจุบันนี้มีการพบแบคทีเรียที่ดื้อยาต้านจุลชีพในสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างไม่เหมาะสมในโรงพยาบาลและคลินิกรักษาสัตว์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าว การศึกษาครั้งนี้ จึงมีจุดประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และจัดกลุ่มการสั่งจ่ายยาต้านจุลชีพในโรงพยาบาลสัตว์เพื่อการเรียนการสอนในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2555-2558 จากข้อมูลสัตว์ป่วยจำนวน 6,200 ตัว พบว่า มีการสั่งใช้ยาต้านจุลชีพ 8,093 ครั้ง เป็นการสั่งใช้ยาฉีดในสัตว์ป่วย 3,346 ครั้ง(ร้อยละ 41.3) และยาเกิน 4,747 ครั้ง (ร้อยละ 58.7) ยาต้านจุลชีพที่มีการสั่งใช้สูงสุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ enrofloxacin ( ร้อยละ 33.9 ค่าP<0.001) ตามด้วย amoxicillin/clavulanate ( ร้อยละ 24.1) และ doxycycline ( ร้อยละ 15.2) ซึ่ง enrofloxacin นั้น ถูกสั่งใช้มากที่สุด ทั้งรูปแบบยาฉีดและยากิน (ร้อยละ 4102 และ 28.8 ตามลำดับ) สัตว์ป่วยส่วนใหญ่ได้รับยาต้านจุลชีพรูปแบบการฉีดมากที่สุดในกระบวนการศัลยกรรม (ร้อยละ 16.5 ค่า P<0.05) โดยเฉพาะการผ่าตัดทำหมัน รองลงมา คือ อาการ หรือโรคระบบทางเดินอาหาร (ร้อยละ 14.6) และความผิดปกติที่ผิวหนัง (ร้อยละ 9.5) ยาต้านจุลชีพแบบกินถูกสั่งใช้มากที่สุดเพื่อรักษาความผิดปกติที่ผิวหนัง (ร้อยละ 16.3 ค่า P<0.05) ระบบทางเดินอาหาร (ร้อยละ 11 ) และการทำศัลยกรรม (ร้อยละ 8.9) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงรูปแบบการสั่งใช้ยาต้านจุลชีพในสัตว์เลี้ยง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้เห็นภาพรวมของปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพในประเทศไทยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สัตวแพทย์ที่มีความรู้และความตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว มีส่วนสำคัญในการแก้ไขและลดความรุนแรงของปัญหาตามพื้นฐานของสุขภาพแบบองค์รวมได้