Thesis: Quality of palliative care in Thai hospitals
4
Issued Date
2025
Copyright Date
2019
Resource Type
Language
eng
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
x, 165 leaves : ill.
Access Rights
open access
Rights
ผลงานนี้เป็นลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล ขอสงวนไว้สำหรับเพื่อการศึกษาเท่านั้น ต้องอ้างอิงแหล่งที่มา ห้ามดัดแปลงเนื้อหา และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้า
Rights Holder(s)
Mahidol University
Suggested Citation
(2025). Quality of palliative care in Thai hospitals. Retrieved from: https://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/111722
Title
Quality of palliative care in Thai hospitals
Alternative Title(s)
คุณภาพการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองในบริบทของโรงพยาบาลไทย
Advisor(s)
Description
This study employed Donabedian's Quality of Care framework to investigate the current situation of palliative care in Thai hospitals and to examine the relationship between the quality of structure, process, and outcome in palliative care. The survey instrument to measure quality of palliative care was also developed, validated, and used to collect the data from all public hospitals across the country. Five hundred forty-two hospitals (62.88%) completed the survey questionnaire and were included in the analysis. The descriptive analysis results showed that in terms of structure of palliative care, hospitals with higher level of capacity (i.e., regional and general hospitals) appeared to have more sufficient medical personnel, proportion of physicians and nurses who received palliative care training, and more variety of palliative care-related medicine and equipment, as compared to those with lower level of capacity (i.e., community hospitals). However, medical equipment for palliative care were more available in community hospitals. Most hospitals in Thailand did not have a dedicated unit for palliative care. Some of them reported to assign an area or beds for palliative care patients in inpatient wards. It was found that most hospitals, regardless of their level of capacity, followed similar patterns in the process of palliative care. For example, in response to patient's needs, the hospitals put more focus on physical aspects such as pain management. In terms of patient centeredness, decision makings were commonly made by palliative care team together with patients and family caregivers. In terms of effective communication, physicians spent smaller amount of time to communicate with patients and family caregivers as compared to nurses. For the outcome of palliative care, the hospitals reported that patients and caregivers were satisfied with the care provided, particularly in terms of symptom management. The results from Structural Equation Modeling (SEM) confirmed the relationship between structure, process, and outcome components of palliative care. The structure of palliative care which were found to have significantly positive association with the process of palliative care included sufficiency of medical personnel, number of trained palliative care physicians and nurses, and variety of medical and relaxation equipment. The process of palliative care, including response to needs, patient centeredness, and effective communication were found to have significantly positive association with the patients and family caregivers' satisfaction of care, as perceived by the care providers. Overall, the structure and process components could explain 28% of variance in the outcome variables. The study findings suggest that the improvement of palliative care quality requires system perspective to address the importance of structure and process of care in determining desirable outcomes. Development of standardized indicators for assessing overall performance and the quality of each component of palliative care is recommended in order to identify and prioritize the needs for improvement, particularly in Thailand's resource-limited setting.
การศึกษานี้ใช้กรอบแนวคิดคุณภาพการดูแล Quality of Care ของ Donabedian โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองของโรงพยาบาลของรัฐในประเทศไทย และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพด้านโครงสร้าง ด้านกระบวนการ และด้านผลลัพธ์ในการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง ด้วยการใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล โดยได้รับข้อมูลตอบกลับจากโรงพยาบาลของรัฐสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเพื่อใช้ในการวิเคราะห์จำนวน 542 โรงพยาบาล (ร้อยละ 62.88) ผลการศึกษาสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองในประเทศไทย พบว่า โรงพยาบาลที่มีขีดความสามารถระดับสูง (โรงพยาบาลศูนย์, โรงพยาบาลทั่วไป) จะมีปัจจัยด้านโครงสร้าง ได้แก่ การมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เพียงพอ การมีบุคลากรได้รับการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง การมีเวชภัณฑ์ยา และการมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่หลากหลายมากกว่าโรงพยาบาลที่มีความความสามารถระดับต่ำกว่า (โรงพยาบาลชุมชน) แต่ในทางกลับกัน โรงพยาบาลที่มีขีดความสามารถระดับต่ำ จะมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่พร้อมใช้งานมากกว่า ส่วนการจัดพื้นที่การครองเตียง พบว่า โรงพยาบาลส่วนใหญ่ในประเทศไทย ยังไม่มีการจัดพื้นที่เฉพาะให้ผู้ป่วยระยะประคับประคอง มีเพียงส่วนน้อยที่มีการจัดเตียงเฉพาะหรือจัดโซนในหอผู้ป่วยเท่านั้น ส่วนในด้านกระบวนการการตอบสนองจัดการดูแลผู้ป่วยนั้น โรงพยาบาลส่วนใหญ่มุ่งเน้นการปฏิบัติตามคู่มือในการจัดการอาการด้านร่างกาย เรื่องการจัดการความเจ็บปวดมากที่สุด และการดูแลแบบมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางได้มีการให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากที่สุด ส่วนในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพนั้นพบว่า พยาบาลใช้เวลามากกว่าแพทย์ในการพูดคุยกับผู้ป่วยหรือสมาชิกครอบครัว สา หรับด้านผลลัพธ์ กลุ่มตัวอย่างเห็นว่า ผู้ป่วยและสมาชิกในครอบครัวที่ได้รับการดูแลระยะประคับประคอง มีความพึงพอใจในภาพรวมมากที่สุด และเมื่อแยกเป็นรายด้านแล้ว การจัดการอาการทางด้านร่างกายเป็นด้านที่ผู้ป่วยมีความพึงพอใจมากที่สุด สำหรับผลการวิเคราะห์แบบจำลองโครงสร้างความสัมพันธ์ด้านโครงสร้าง ด้านกระบวนการและด้านผลลัพธ์ในการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง พบว่า คุณภาพด้านโครงสร้างมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อด้านกระบวนการ ได้แก่ การมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เพียงพอ การมีแพทย์และพยาบาลที่ผ่านการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง รวมถึงการมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสิ่งผ่อนคลายจิตใจที่หลากหลาย สำหรับคุณภาพด้านกระบวนการทั้งการดูแลแบบมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และ การตอบสนองจัดการในการดูแลผู้ป่วยอย่างเป็นองค์รวม มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อคุณภาพด้านผลลัพธ์ในความพึงพอใจต่อการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง และเมื่อพิจารณาจากค่าสัมประสิทธิ์ของการพยากรณ์ (R2) พบว่า คุณภาพด้านโครงสร้างและคุณภาพด้านกระบวนการสามารถอธิบายคุณภาพด้านผลลัพธ์ได้ร้อยละ 28 สำหรับข้อเสนอแนะจากการศึกษาคือ การพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองต้องมีการพัฒนาทั้งระบบทั้งในด้านโครงสร้างและกระบวนการ ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์การดูแลที่พึงประสงค์ รวมถึงต้องมีการกำหนดตัวชี้วัดสำคัญเพื่อใช้ในการประเมินผลสัมฤทธิ์และการกำหนดปัจจัยที่บ่งชี้ถึงคุณภาพการดูแลทั้งในภาพรวมและการดูแลเฉพาะด้านของการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองในประเทศไทยภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด
การศึกษานี้ใช้กรอบแนวคิดคุณภาพการดูแล Quality of Care ของ Donabedian โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองของโรงพยาบาลของรัฐในประเทศไทย และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพด้านโครงสร้าง ด้านกระบวนการ และด้านผลลัพธ์ในการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง ด้วยการใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล โดยได้รับข้อมูลตอบกลับจากโรงพยาบาลของรัฐสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเพื่อใช้ในการวิเคราะห์จำนวน 542 โรงพยาบาล (ร้อยละ 62.88) ผลการศึกษาสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองในประเทศไทย พบว่า โรงพยาบาลที่มีขีดความสามารถระดับสูง (โรงพยาบาลศูนย์, โรงพยาบาลทั่วไป) จะมีปัจจัยด้านโครงสร้าง ได้แก่ การมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เพียงพอ การมีบุคลากรได้รับการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง การมีเวชภัณฑ์ยา และการมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่หลากหลายมากกว่าโรงพยาบาลที่มีความความสามารถระดับต่ำกว่า (โรงพยาบาลชุมชน) แต่ในทางกลับกัน โรงพยาบาลที่มีขีดความสามารถระดับต่ำ จะมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่พร้อมใช้งานมากกว่า ส่วนการจัดพื้นที่การครองเตียง พบว่า โรงพยาบาลส่วนใหญ่ในประเทศไทย ยังไม่มีการจัดพื้นที่เฉพาะให้ผู้ป่วยระยะประคับประคอง มีเพียงส่วนน้อยที่มีการจัดเตียงเฉพาะหรือจัดโซนในหอผู้ป่วยเท่านั้น ส่วนในด้านกระบวนการการตอบสนองจัดการดูแลผู้ป่วยนั้น โรงพยาบาลส่วนใหญ่มุ่งเน้นการปฏิบัติตามคู่มือในการจัดการอาการด้านร่างกาย เรื่องการจัดการความเจ็บปวดมากที่สุด และการดูแลแบบมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางได้มีการให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากที่สุด ส่วนในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพนั้นพบว่า พยาบาลใช้เวลามากกว่าแพทย์ในการพูดคุยกับผู้ป่วยหรือสมาชิกครอบครัว สา หรับด้านผลลัพธ์ กลุ่มตัวอย่างเห็นว่า ผู้ป่วยและสมาชิกในครอบครัวที่ได้รับการดูแลระยะประคับประคอง มีความพึงพอใจในภาพรวมมากที่สุด และเมื่อแยกเป็นรายด้านแล้ว การจัดการอาการทางด้านร่างกายเป็นด้านที่ผู้ป่วยมีความพึงพอใจมากที่สุด สำหรับผลการวิเคราะห์แบบจำลองโครงสร้างความสัมพันธ์ด้านโครงสร้าง ด้านกระบวนการและด้านผลลัพธ์ในการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง พบว่า คุณภาพด้านโครงสร้างมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อด้านกระบวนการ ได้แก่ การมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เพียงพอ การมีแพทย์และพยาบาลที่ผ่านการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง รวมถึงการมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสิ่งผ่อนคลายจิตใจที่หลากหลาย สำหรับคุณภาพด้านกระบวนการทั้งการดูแลแบบมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และ การตอบสนองจัดการในการดูแลผู้ป่วยอย่างเป็นองค์รวม มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อคุณภาพด้านผลลัพธ์ในความพึงพอใจต่อการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง และเมื่อพิจารณาจากค่าสัมประสิทธิ์ของการพยากรณ์ (R2) พบว่า คุณภาพด้านโครงสร้างและคุณภาพด้านกระบวนการสามารถอธิบายคุณภาพด้านผลลัพธ์ได้ร้อยละ 28 สำหรับข้อเสนอแนะจากการศึกษาคือ การพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองต้องมีการพัฒนาทั้งระบบทั้งในด้านโครงสร้างและกระบวนการ ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์การดูแลที่พึงประสงค์ รวมถึงต้องมีการกำหนดตัวชี้วัดสำคัญเพื่อใช้ในการประเมินผลสัมฤทธิ์และการกำหนดปัจจัยที่บ่งชี้ถึงคุณภาพการดูแลทั้งในภาพรวมและการดูแลเฉพาะด้านของการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองในประเทศไทยภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด
Degree Name
Social Sciences and Health
Degree Level
Doctoral
Degree Department
Faculty of Social Sciences and Humanities
Degree Grantor(s)
Mahidol University