Browsing by Author "Piyathida Khajornchaikul"
Now showing 1 - 4 of 4
- Results Per Page
- Sort Options
Publication Metadata only Gender roles, physical and sexual violence prevention in primary extend to secondary school in Samutsakorn province, Thailand(2010-03-01) Kanittha Chamroonsawasdi; Jarueyporn Suparp; Wirin Kittipichai; Piyathida Khajornchaikul; Mahidol UniversityObjective: To enhance positive attitude and life skills on gender roles to prevent physical and sexual violence. Material and Method: A whole school-based participatory learning program using a quasi-experimental study with pre and post test design was conducted among 2 schools during June-September, 2005. The experimental group, were 134 students in a primary school and 179 students in a secondary school. While the control group, were 122 students in a primary school and 95 students in sa econdary school. Results: Means score of attitude toward gender roles before implementation in the experimental group was significantly lower than the control group (p < 0.05). After implementation, the means score in the experimental group was not significantly different from the control group (p > 0.05). Means paired different score (afterbefore) between the two groups was significantly different (p = 0.002). Conclusion: A whole school-based program on gender roles and violence prevention is suitable for youths and should be merged as school curricula and expanded as a nationwide program at all level of education. Gender equity should be taught at an early childhood. Parental involvement in school-based activities should be negotiated.Publication Open Access ประสิทธิผลของโครงการการฝึกภาคสนามนิสิตทันตแพทย์ต่อการตระหนักรู้ความคิดและความรู้สึกของผู้อื่น(2552) ปิยะธิดา ขจรชัยกุล; โอบเอื้อ เจริญทรัพย์; ณัฎวุธ แก้วสุทธา; Piyathida Khajornchaikul; Ohbeua Charoensupaya; Nathawut Kaewsutha; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์Publication Open Access ผลของโปรแกรมพัฒนาการสอนเพศศึกษาของบิดาต่อการสื่อสารเรื่องเพศกับบุตรชาย อายุ 10-12 ปี ในเขตปริมณฑล(2557) ปภาวี ไชยรักษ์; กนิษฐา จำรูญสวัสดิ์; วิริณธิ์ กิตติพิชัย; พิมพ์สุรางค์ เตชะบุญเสริมศักดิ์; ปิยะธิดา ขจรชัยกุล; Kanitha Chamroonsawasdi; Wirin Kittipichai; Pimsurang Taechaboonsermasak; Piyathida Khajornchaikul; กนิษฐา จำรูญสวัสดิ์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอนามัยครอบครัวการศึกษาแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมพัฒนาการสอนเพศศึกษาของบิดาต่อการสื่อสารเรื่องเพศกับบุตรชายอายุ 10-12 ปีในเขตปริมณฑล กลุ่มตัวอย่างเป็นบิดาที่มีบุตรชายอายุ 10-12 ปี จำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 15 คน จากจังหวัดสมุทรปราการได้รับโปรแกรมการรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ผ่านกระบวนการกลุ่มบทบาทสมมติ การระดมสมอง การอภิปราย และสรุปบทเรียน จำนวน 4 ครั้ง กลุ่มเปรียบเทียบ 25 คน จากจังหวัดนนทบุรีและสมุทรสาคร เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถามชนิดตอบด้วยตนเอง ก่อนและหลังทดลอง 1 สัปดาห์ ดำเนินการในช่วง ก.พ.-เม.ย. พ.ศ. 2556 วิเคราะห์ข้อมูลโดคค่าความถี่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (T-Test) ก่อนทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่องเพศศึกษา และการสื่อสารเรื่องเพศกับบุตรชายไม่ต่างจากกลุ่มเปรียบเทียบ หลังทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่องเพศศึกษาและการสื่อสารเรื่องเพศกับบุตรชายสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01) และมีคะแนนที่เปลี่ยนแปลงเฉลี่ยความรู้เรื่องเพศศึกษา และการสื่อสารเรื่องเพศกับบุตรชาย สูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ผลการวิจัยเสนอแนะว่า บุคลากรสาธารณสุขควรนำโปรแกรมไปใช้ในชุมชน โดยเน้นให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาฝึกทักษะการสื่อสารเชิงบวก และทักษะการสอนเพศศึกษา เพื่อให้บิดาสร้างความสามารถในตนเองในการสื่อสารเรื่องเพศกับบุตรชายได้ดีขึ้น This quasi-experimental research aimed at studying effects of a paternal sex educa- tion program on sexual communication with 10-12 year old sons in the Bangkok vicinity. The sample comprised 40 fathers with sons aged 10-12 years. The experimental group was 15 persons residing in Samut Prakan Province. Among the experimental group, a participatory learning program with group process, role playing, brainstorming, discussion and conclusion was sequenced through 4 sessions. The comparison group was 25 fathers residing in Nonthaburi and Samut Sakhon Provinces. A self-administered questionnaire was used prior to both 1-week pre-test and post-test results. The experi- mental study was conducted from February- April 2013. The statistical measures and analysis included frequency, percentage, mean, standard deviation, and t-test. Before implementation, mean average scores of sex education knowledge and sexual communica- tion was not different between the two groups. After implementation, the mean average scores of sex education knowledge and sexual communication of the experimental group was higher than the comparison group (p <0.01), and the difference of mean scores of sex education and sexual communication of the experimental group was also higher than in the comparison group (p < 0.05). Findings suggest that health personnel should apply the program in the community, emphasizing sex education knowledge, positive commu- nication skills, and teaching sex education skills for capacity building of fathers to better communicate information on sexual issues with their sons.Publication Open Access พฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร(2567) ปุณยนุช เกิดวัน; ปิยะธิดา ขจรชัยกุล; พิทยา จารุพูนผล; วันวิสาข์ ศรีสุเมธชัย; สิทธิชัย ทองวร; Poonyanuch Kerdwan; Piyathida Khajornchaikul; Phitaya Charupoonphol; Vanvisa Sresumachai; Sittichai Thongwornการคุกคามทางเพศ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกระจายตัวเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะเกิดปัญหานี้กับเด็กนักเรียนดังนั้นจึงควรหาวิธีมิให้เกิดปัญหาดังกล่าว งานวิจัยเชิงสำรวจภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยประชากรของนักเรียนด้านระดับชั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และประสบการณ์การถูกคุกคามทางเพศ ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ เจตคติ กับพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่สามารถคาดทำนายพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยแบบหลายขั้นตอน (Multistage Random Sampling) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับนักเรียนจำนวน 306 คน วิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอผลด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติไคสแควร์ (Chi-Square) สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Product-Moment Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ความรู้เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศโดยรวม (r = 0.354) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศ ในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) เจตคติต่อการคุกคามทางเพศ (r = 0.373) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศ ในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การรับรู้ความสามารถของตนเองโดยรวม (r = 0.567) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศ ในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) ปัจจัยที่สามารถทำนายพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ได้แก่ การรับรู้ความสามารถของตนเอง ความรู้เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ ซึ่งสามารถทำนายพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศ ได้ร้อยละ 36.1 ข้อเสนอแนะควรส่งเสริมความรู้ให้แก่ นักเรียน และบุคลากรในโรงเรียนทุกฝ่ายเพื่อให้มีความรู้ ความสามารถ และมีทักษะในการป้องกันการคุกคามทางเพศของนักเรียน