Publication: Quality of Life in Women with Pelvic Organ Prolapse Attending Urogynecology Clinic, Ramathibodi Hospital
Issued Date
2015
Resource Type
Language
eng
ISSN
0125-3611 (Print)
2651-0561 (Online)
2651-0561 (Online)
Rights
Mahidol University
Rights Holder(s)
Department of Obstetrics and Gynecology Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital Mahidol University
Department of Biostatistics Faculty of Public Health Mahidol University
Department of Biostatistics Faculty of Public Health Mahidol University
Bibliographic Citation
Ramathibodi Medical Journal. Vol. 38, No. 3 (Jul-Sep 2015), 181-188
Suggested Citation
Pakawadee Hatthanirun, Rujira Wattanayingcharoenchai, Somsak Suthutvoravut, Vajira Singhakajen, ภควดี หัตถนิรันดร์, รุจิรา วัฒนายิ่งเจริญชัย, สมศักดิ์ สุทัศน์วรวุฒิ, วชิระ สิงหะคเชนทร์ Quality of Life in Women with Pelvic Organ Prolapse Attending Urogynecology Clinic, Ramathibodi Hospital. Ramathibodi Medical Journal. Vol. 38, No. 3 (Jul-Sep 2015), 181-188. Retrieved from: https://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/79634
Research Projects
Organizational Units
Authors
Journal Issue
Thesis
Title
Quality of Life in Women with Pelvic Organ Prolapse Attending Urogynecology Clinic, Ramathibodi Hospital
Alternative Title(s)
การศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของสตรีที่มีภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนในคลินิกนรีเวชทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
Abstract
Objective: To assess the impact of pelvic organ prolapse (POP) on quality of life (QOL) of women and factors associated with their effect.
Methods: The cross-section study was conducted by interviewing 140 women who came to the urogynecology clinic, Ramathibodi hospital. Demographic data, information about lower urinary tract symptoms and severity of POP were collected. Seven aspects of QOL including household work, entertainment activity, physical recreation, travel, participation social activity, emotion health and feeling frustration were assessed, using Thai version modified pelvic floor impact questionnaires-short form (PFIQ 7).
Results: The average age of subjects was 67.5 years. Seventy four percent were married , 80 % were housewives and almost all (99.3%) had at least one parity. Fifty percent had stage II of POP, and 80% had associated urinary symptoms. Regarding QOL, the most affected aspect was travel. All 7 aspects of QOL scores were significantly associated with severity of POP. Physical recreation, travel, emotional health and feeling frustration aspects of QOL scores were significantly associated with parity.
Conclusion: Majority of women with POP who came to urogynecology clinic were diagnosed at least stage II POP and mostly had associated urinary symptoms. Seven aspects of QOL of women were affected by POP especially travel domain.
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลกระทบของภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อนต่อคุณภาพชีวิตของสตรี และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบดังกล่าว วิธีการวิจัย: การศึกษาแบบภาคตัดขวางนี้ ทำการเก็บข้อมูลในสตรีที่มารับบริการที่คลินิกนรีเวชทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จำนวน 140 ราย บันทึกข้อมูลพื้นฐาน อาการระบบทางเดินปัสสาวะและความรุนแรงของภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อน และประเมินคุณภาพชีวิตครอบคลุมทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ การทำงานบ้าน การออกกำลังกาย การสันทนาการ การเดินทาง การพบปะสังสรรค์นอกบ้าน อารมณ์และความรู้สึกคับข้องใจ โดยใช้แบบสอบถาม modified pelvic floor impact questionnaires-shot term (PFIQ 7) ฉบับภาษาไทย ผลการศึกษา: กลุ่มศึกษามีอายุเฉลี่ย 67.5 ปี ร้อยละ74.3 มีสถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 80 อาชีพแม่บ้าน ร้อยละ 99.3 เคยคลอดบุตรอย่างน้อย 1 ครั้ง ร้อยละ 50 มีระดับความรุนแรงของภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อนอยู่ที่ระดับ 2 และร้อยละ 80 มีอาการผิดปกติทางระบบปัสสาวะร่วมด้วย เมื่อประเมินคุณภาพชีวิตทั้ง 7 ด้าน พบว่า คุณภาพชีวด้านการเดินทางมีผลกระทบมากที่สุด คะแนนคุณภาพชีวิตทั้ง 7 ด้าน มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับความรุนแรงของโรค คะแนนคุณภาพชีวิตด้านการออกกำลังกาย การเดินทาง อารมณ์และความรู้สึกคับข้องใจ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับจำนวนการคลอด สรุป: ส่วนใหญ่ของสตรีที่มารับการตรวจรักษาที่คลินิกนรีเวชทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ มีความรุนแรงของภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อนโรคอย่างน้อยที่ระดับ 2 ขึ้นไป และมักมีอาการทางระบบปัสสาวะร่วมด้วย ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตทั้ง 7 ด้าน โดยเฉพาะด้านการเดินทาง
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลกระทบของภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อนต่อคุณภาพชีวิตของสตรี และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบดังกล่าว วิธีการวิจัย: การศึกษาแบบภาคตัดขวางนี้ ทำการเก็บข้อมูลในสตรีที่มารับบริการที่คลินิกนรีเวชทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จำนวน 140 ราย บันทึกข้อมูลพื้นฐาน อาการระบบทางเดินปัสสาวะและความรุนแรงของภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อน และประเมินคุณภาพชีวิตครอบคลุมทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ การทำงานบ้าน การออกกำลังกาย การสันทนาการ การเดินทาง การพบปะสังสรรค์นอกบ้าน อารมณ์และความรู้สึกคับข้องใจ โดยใช้แบบสอบถาม modified pelvic floor impact questionnaires-shot term (PFIQ 7) ฉบับภาษาไทย ผลการศึกษา: กลุ่มศึกษามีอายุเฉลี่ย 67.5 ปี ร้อยละ74.3 มีสถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 80 อาชีพแม่บ้าน ร้อยละ 99.3 เคยคลอดบุตรอย่างน้อย 1 ครั้ง ร้อยละ 50 มีระดับความรุนแรงของภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อนอยู่ที่ระดับ 2 และร้อยละ 80 มีอาการผิดปกติทางระบบปัสสาวะร่วมด้วย เมื่อประเมินคุณภาพชีวิตทั้ง 7 ด้าน พบว่า คุณภาพชีวด้านการเดินทางมีผลกระทบมากที่สุด คะแนนคุณภาพชีวิตทั้ง 7 ด้าน มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับความรุนแรงของโรค คะแนนคุณภาพชีวิตด้านการออกกำลังกาย การเดินทาง อารมณ์และความรู้สึกคับข้องใจ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับจำนวนการคลอด สรุป: ส่วนใหญ่ของสตรีที่มารับการตรวจรักษาที่คลินิกนรีเวชทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ มีความรุนแรงของภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อนโรคอย่างน้อยที่ระดับ 2 ขึ้นไป และมักมีอาการทางระบบปัสสาวะร่วมด้วย ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตทั้ง 7 ด้าน โดยเฉพาะด้านการเดินทาง