RA-Article

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 10 of 1046
  • Thumbnail Image
    Publication
    การสำรวจความรุนแรงในครอบครัวในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 กรุงเทพฯ
    (2565) พิทยา สังข์แก้ว; รุ่งทิวา เสาวนีย์; อารยา หาอุปละ; Pittaya Sangkaew; Rungtiwa Saowane; Araya Haupala; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี. ฝ่ายการพยาบาล
    บทนำ: การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจสังคมและครอบครัว มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างมากและกะทันหัน สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสอยู่ร่วมกันมากขึ้น บางครอบครัวรายได้ลดลงทำให้เกิดภาวะเครียด ส่งผลให้มีโอกาสเกิดความเสี่ยงต่อความรุนแรงในครอบครัวสูงขึ้น วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาความชุกความรุนแรงในครอบครัวของกรุงเทพฯ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และผลกระทบที่ครอบครัวได้รับ วิธีการศึกษา: การสำรวจภาคตัดขวางในกรุงเทพฯ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 15 ปี จำนวน 198 ครัวเรือน เก็บข้อมูลช่วงปี พ.ศ. 2563 ถึง พ.ศ. 2564 โดยใช้แบบประเมินสวัสดิภาพของผู้หญิงและบุคคลในครอบครัว และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติ McNemar test และ Wilcoxon signed rank test ผลการศึกษา: เมื่อเปรียบเทียบการระบาดครั้งที่ 1 (มกราคม - พฤษภาคม พ.ศ. 2563) กับการระบาดครั้งที่ 2 (กรกฎาคม พ.ศ. 2563 - มกราคม พ.ศ. 2564) พบว่า ความชุกความรุนแรงในครอบครัวของกรุงเทพฯ ลดลงจากร้อยละ 42.9 เป็นร้อยละ 37.4 อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (P > .05) และผลกระทบที่ครอบครัวได้รับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < .05) ได้แก่ ลักษณะรายได้ของครอบครัวแต่ละเดือน ผลกระทบด้านการทำงาน ด้านเศรษฐกิจ และระดับความเครียดของครอบครัว สรุป: การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อเกิดการระบาดของโรคอุบัติใหม่ จะส่งผลกระทบต่อความรุนแรงในครอบครัว ภาวะเศรษฐกิจ รายได้ และระดับความเครียดของครอบครัว
  • Thumbnail Image
    Publication
    MicroRNA Expression of Primary and Metastatic Colorectal and Breast Carcinoma
    (2022) Thaniya Sricharunrat; Artit Jinawath; Pattana Sornmayura; Sansanee Wongwaisayawan; Budsaba Rerkamnuaychoke; ธนิยะ ศรีจรุณรัตน์; อาทิตย์ จินาวัฒน์; พัฒนา ศรมยุรา; ศันสนีย์ วงศ์ไวศยวรรณ; บุษบา ฤกษ์อำนวยโชค; Chulabhorn Hospital, Chulabhorn Royal Academy. Pathology and Forensic Science Department; Mahidol University. Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital.Department of Pathology; Rangsit University. Department of Medical Science, Faculty of Science
    Background: Colorectal and breast carcinoma are frequently diagnosed cancers. At advanced stages, cancers metastasize to certain organs resulting in loss of function of these organs, and eventually death. Therefore, there is a specific need for the prognosis of these cancers. Currently, microRNAs (miRNAs), have emerged as a new target of cancer-specific biomarker. Objective: To examine the expression of miRNA in primary and metastatic breast and colorectal cancers. Methods: This study investigated the expression of 6 miRNAs (miR-10b, miR-21, miR-145, miR-155, miR-200c, and miR-373) in formalin fixed paraffin embed tissues from pairs of normal tissues with primary and metastatic tumor samples of breast and colorectal carcinoma cases in Ramathibodi Hospital, Thailand by real-time RT-PCR. Results: Among 6 miRNAs, miR-145 decreased significantly in all samples of primary and metastatic colorectal and breast carcinoma. There was significantly decreased expression of miR-145 in metastatic colorectal carcinoma compared to their primary colorectal carcinoma (P < .05). Whereas miR-10b, miR-155, and miR-200c showed a decreased expression; miR-21, and miR-373 showed an increased expression in the majority of cases. Unlike miR-145, other miRNAs showed no significant difference of expression (P > .05). Conclusions: This finding indicates that miR-145 may be the potential metastatic biomarker. Decrease of miR-145 could be applied to the prognosis and target for therapy of breast and colorectal carcinoma.
  • Thumbnail Image
    Publication
    ผลของการฟังดนตรีแบบปัจเจกบุคคลต่อพฤติกรรมกระวนกระวายในผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม
    (2565) ลลิตา สว่างจันทร์; พรทิพย์ มาลาธรรม; นุชนาฏ สุทธิ; Lalita Sawangchan; Porntip Malathum; Nuchanad Sutti; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี. โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี
    บทคัดย่อ: การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้ ศึกษาในกลุ่มเดียวแบบสองระยะไขว้กันมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมกระวนกระวายในผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมช่วงที่ได้รับการฟังดนตรีแบบปัจเจกบุคคล (ระยะทดลอง) และช่วงที่ไม่ได้รับการฟังดนตรี (ระยะควบคุม) กลุ่มตัวอย่าง คือผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมของบ้านพักผู้สูงอายุแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม คัดเลือกตัวอย่างแบบเจาะจงตามเกณฑ์จำนวน 16 ราย ใช้การจับฉลากจัดลำดับก่อนหลังของทั้ง 2 ช่วง โดยช่วงทดลอง จัดให้ฟังดนตรีครั้งละ 30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ รวม 4 สัปดาห์ และช่วงควบคุม 4 สัปดาห์ มีระยะพักระหว่างช่วง 2 สัปดาห์ และประเมินพฤติกรรมกระวนกระวายด้วยแบบประเมินของโคเฮน-แมนสฟิลด์ทั้ง 2 ระยะทุกสัปดาห์ (สัปดาห์ที่ 1-4) และหลังสิ้นสุดโปรแกรมการฟังดนตรี (สัปดาห์ที่ 5 และ6) ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมกระวนกระวายโดยรวมในระยะทดลองลดลงมากกว่าระยะควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในสัปดาห์ที่ 1 และสัปดาห์ที่ 2 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมกระวนกระวายรายด้านระหว่าง 2 ช่วง พบว่าค่าเฉลี่ยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมกระวนกระวายด้านร่างกายที่ไม่ก้าวร้าวและทางด้านภาษาที่ก้าวร้าวในระยะทดลองลดลงมากกว่าในระยะควบคุมใน 2 สัปดาห์แรก ส่วนค่าเฉลี่ยการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมกระวนกระวายด้านภาษาที่ไม่ก้าวร้าวและด้านร่างกายที่ก้าวร้าวระหว่าง 2 ระยะไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ในสัปดาห์ที่ 5 และ 6 เมื่อหยุดการฟังดนตรี พบว่าพฤติกรรมกระวนกระวายด้านภาษาที่ไม่ก้าวร้าวในระยะทดลองมีแนวโน้มมากขึ้นกว่าระยะควบคุม ผลที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าโปรแกรมการฟังดนตรีแบบปัจเจกบุคคลสามารถลดพฤติกรรมกระวนกระวายโดยรวมและสามารถลดพฤติกรรมกระวนกระวายในด้านร่างกายที่ไม่ก้าวร้าวและด้านภาษาได้แม้ไม่สม่ำเสมอ แต่ไม่สามารถลดพฤติกรรมกระวนกระวายด้านร่างกายที่ก้าวร้าวได้ ดังนั้น บุคลากรที่ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมสามารถนำโปรแกรมการฟังดนตรีแบบปัจเจกบุคคลที่คำนึงถึงความชอบของผู้สูงอายุมาเป็นตัวเลือกหรือปรับใช้เพื่อลดพฤติกรรมกระวนกระวายด้านที่ไม่ก้าวร้าวได้
  • Thumbnail Image
    Publication
    ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยาของนักศึกษาพยาบาลขณะฝึกปฏิบัติบนคลินิกและสถานการณ์จำลอง
    (2565) สตรีรัตน์ ธาดากานต์; โซเฟีย หู; สุมลชาติ ดวงบุบผา; ธีรวัฒน์ ช่างปัด; มิ่งกมล ภิบาลวงษ์; Streerut Thadakant; Sophia H Hu; Sumolchat Duangbubpha; Teerawat Changpad; Mingkamon Pibanwong; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี. โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยโดยการสังเกตแบบภาคตัดขวาง เพื่อศึกษา 1) ประสบการณ์การเกิดความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา และการรายงานเมื่อเกิดความคลาดเคลื่อนของนักศึกษาพยาบาลขณะฝึกปฏิบัติบนคลินิก 2) ทัศนคติของนักศึกษาพยาบาลต่อบรรยากาศความปลอดภัยขณะฝึกปฏิบัติบนคลินิก และ 3) ประเภท สาเหตุของความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา และเหตุผลในการไม่รายงานความคลาดเคลื่อนของนักศึกษาพยาบาลในสถานการณ์จำลองการบริหารยา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 4 ที่กำลังจะสำเร็จการศึกษา จำนวน 68 ราย คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัยคือ สถานการณ์จำลองการบริหารยา เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามประสบการณ์การบริหารยาคลาดเคลื่อน แบบสอบถามทัศนคติต่อบรรยากาศความปลอดภัย และแบบประเมินความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษามีดังนี้ ประการแรก เกือบครึ่งหนึ่งของนักศึกษาพยาบาลมีประสบการณ์ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยาขณะฝึกปฏิบัติบนคลินิก และความคลาดเคลื่อนที่เกิดสูง 3 อันดับแรกคือผิดขนาดยา ผิดเวลา และผิดชนิด โดยประมาณสามในสี่ของนักศึกษาพยาบาลที่มีประสบการณ์ความคลาดเคลื่อนไม่รายงานความคลาดเคลื่อนจากการบริหารยาที่เกิดขึ้น ประการที่สอง นักศึกษาพยาบาลมีทัศนคติต่อบรรยากาศความปลอดภัยบนคลินิกในระดับปานกลาง และประการสุดท้าย นักศึกษาพยาบาลส่วนใหญ่มีความคลาดเคลื่อนในการบริหารยาจากสถานการณ์จำลอง และความคลาดเคลื่อนที่เกิดสูง 3 อันดับแรก คือ ผิดคน ผิดขนาด และให้ยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยา โดยสาเหตุหลักของความคลาดเคลื่อนในการบริหารยาคือ ไม่ทำการทวนสอบก่อนให้ยา หตุผลที่ไม่รายงานความคลาดเคลื่อน 3 อันดับแรก คือไม่พบความผิดพลาดในการให้ยา กลัวว่าจะรายงานผิดพลาดทั้งที่ไม่ได้เกิดความคลาดเคลื่อน และกลัวว่าจะถูกตำหนิ นอกจากนี้ เกือบครึ่งหนึ่งของความคลาดเคลื่อนในการบริหารยาเกิดจากการให้ยาอินซูลิน ผลการวิจัยนี้สะท้อนให้เห็นประเภท และสาเหตุของความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา และพฤติกรรมเสี่ยงในการบริหารยาของนักศึกษาพยาบาลในการฝึกปฏิบัติทางคลินิก ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการส่งเสริมและพัฒนานักศึกษาพยาบาลให้มีความสามารถในการบริหารยาอย่างปลอดภัย และมีทัศนคติที่ดีต่อการจัดการความปลอดภัยของผู้ป่วย
  • Thumbnail Image
    Publication
    ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้ ทัศนคติ และการจัดการความปวดเฉียบพลันของพยาบาลในผู้บาดเจ็บที่หน่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
    (2565) วิจิตร ศรีสุพล; กุสุมา คุววัฒนสัมฤทธิ์; พิชญ์ประอร ยังเจริญ; Wijit Srisuphon; Kusuma Khuwatsamrit; Phichpraorn Youngcharoen; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี. โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี
    การวิจัยเชิงบรรยายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ปัจจัยส่วนบุคคลความรู้ในการจัดการความปวดเฉียบพลัน ทัศนคติในการจัดการความปวดเฉียบพลัน และการจัดการความปวดเฉียบพลันของพยาบาลในผู้บาดเจ็บที่หน่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน กลุ่มตัวอย่าง เป็นพยาบาลประจำที่หน่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน จำนวน 86 ราย ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้า เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามความรู้ในการจัดการความปวดเฉียบพลัน ทัศนคติในการจัดการความปวดเฉียบพลัน แบบสอบถามการจัดการความปวดเฉียบพลัน และแบบประเมินการจัดการความปวดเฉียบพลันของพยาบาลในผู้บาดเจ็บวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย หาค่าความสัมพันธ์ด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของสเปียร์แมนและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พอยท์ไบซีเรียล ผลการวิจัยพบว่า พยาบาลมีคะแนนความรู้โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง คะแนนทัศนคติโดยรวมอยู่ในเชิงบวก และคะแนนการจัดการความปวดเฉียบพลันโดยรวมอยู่ในระดับดี ความรู้มีความสัมพันธ์ทางบวกระดับปานกลางกับทัศนคติอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติ การจัดการความปวดเฉียบพลันมีความสัมพันธ์ทางบวกกับทัศนคติประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และการได้รับการอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ความรู้ไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดการความปวดเฉียบพลัน ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาแนว ปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิก ในการจัดการความปวดเฉียบพลันสำหรับผู้ป่วยบาดเจ็บที่หน่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน และใช้ในการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากร โดยการจัดอบรมเกี่ยวกับการจัดการความปวดเฉียบพลันแก่พยาบาลหน่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินต่อไป
  • Thumbnail Image
    Publication
    Associations among Knowledge, Attitudes, Health Behaviors, and Stress of Pregnant Women in Thailand during the New Coronavirus-2019
    (2022) Pairin Sukontrakoon; Srisamorn Phumonsakul; Sailom Gerdprasert; Shuleeporn Prohm; Arissara Sawatpanich; ไพรินทร์ สุคนธ์ตระกูล; ศรีสมร ภูมนสกุล; สายลม เกิดประเสริฐ; ชุลีพร พรห์ม; อริสรา สวัสดิพาณิชย์; Mahidol University. Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital. Ramathibodi School of Nursing
    A descriptive correlational study aimed to examine the associations among knowledge about COVID-19, attitudes toward COVID-19, health behaviors, and stress of pregnant women in Thailand during the COVID-19 pandemic. A sample of 283 pregnant women who met the inclusion criteria was recruited and participated via self-administered online questionnaires. The questionnaires requested personal information, knowledge about COVID-19, attitudes toward COVID-19, health behaviors related to COVID-19 in pregnancy, and stress. Descriptive statistics and Spearman’s rank correlations were applied for data analysis. The results showed that most pregnant women had a high level of knowledge about COVID-19 and good health behaviors (75.62% and 88.34%, respectively), a neutral attitude, and a moderate stress level (78.09% and 76.32%, respectively). Also, findings revealed a significant positive association between knowledge and health behaviors, negative attitudes toward COVID-19 and health behaviors, and negative attitudes toward COVID-19 and stress. However, significant associations were not found between knowledge and attitudes,knowledge and stress, and health behaviors and stress. Therefore, pregnant women should receive reliable health information about the novel coronavirus disease, which may influence attitudes toward this disease, to help them engage in health behaviors and prevent such infections. Importantly, accurate information should make the pregnant women gain more understanding of COVID-19. Psychological support is needed to help pregnant women manage their stress appropriately.
  • Thumbnail Image
    Publication
    แบบแผนและปัญหาการนอนหลับของผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม และการจัดการของผู้ดูแล
    (2565) นฤมล นำภา; พรทิพย์ มาลาธรรม; นุชนาฏ สุทธิ; ทวีวัฒน์ อัศวโภคี; Narumon Numpha; Pornthip Malathum; Nuchanad Sutti; Taweevat Assavapokee; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี. โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี. ภาควิชาอายุรศาสตร์
    การศึกษาเชิงบรรยายครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแบบแผนและปัญหาการนอนหลับในผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมและการจัดการของผู้ดูแล คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตามเกณฑ์กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่มีภาวะสมองเสื่อมระยะใดก็ได้จำนวน 88 ราย และผู้ดูแลผู้สูงอายุจำนวน 88 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบบันทึกการนอนหลับ และเครื่องติดตามการนอนหลับแบบสายรัดข้อมือ รวมถึงแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของผดูู้แลและการจัดการปัญหาการนอนหลับในผู้สูงอายุเก็บข้อมูลระหว่างเเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม พ.ศ. 2562 วิเคราะห์ข้อมูลมูลด้วยสถิติบรรยาย และไคสแควร์ ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุเกือบทั้งหมดมีรูปแบบการนอนหลับแบบโพลีเฟสิก (นอนหลับหลายครั้งต่อวัน) มีส่วนน้อยที่เป็นแบบไบเฟสิก (นอนหลับ 2 ครั้งต่อวัน) และแบบโมโนเฟสิก (การนอนหลับ 1 ครั้งต่อวัน) ส่วนปัญหาการนอนที่พบ คือ การหายใจผิดปกติขณะหลับ (นอนกรน) ละเมอพูด การนอนหลับมากผิดปกติและตื่นกลางดึกตามลำดับ ผู้ดูแลส่วนใหญ่จัดการการนอนหลับของผู้สูงอายุแบบไม่ใช้ยา ได้แก่ การใช้เทคนิคผ่อนคลาย การใช้แสง การสร้างสุขนิสัยการนอนหลับที่ดี การส่งเสริมกิจกรรมทางกายและประมาณ 1 ใน 4 มีการจัดการแบบใช้ยาตามแพทย์สั่ง ผลจากการศึกษาครั้งนี้ จะช่วยให้บุคลากรทีมสุขภาพสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปปรับใช้ในการจัดการและส่งเสริมการนอนหลับของผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมเพื่อลดการนอนหลับแบบโพลีเฟสิก ลดการนอนหลับมากในช่วงกลางวัน รวมถึงพัฒนา โปรแกรมการให้ความรู้แก่ผู้ดูแลเกี่ยวกับการจัดการปัญหาการนอนหลับในผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมได้อย่างเหมาะสม
  • Thumbnail Image
    Publication
    การประเมินและจัดลำดับความสำคัญความต้องการจำเป็นในการจัดการศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้วยพยาบาล (การดูแลผู้สูงอายุ) ตามการรับรู้ของผู้สำเร็จการศึกษา
    (2565) นุชนาฎ สุทธิ; พรศิริ พิพัฒนพานิช; Nuchanad Sutti; Pornsiri Phipatanapanit; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี. โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินและจัดลำดับความต้องการจำเป็นในการจัดการศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล (การดูแลผู้สูงอายุ) ประชากรคือ ผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล (การดูแลผู้สูงอายุ) โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ปีการศึกษา 2562 จำนวน 82 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและแบบประเมินความต้องการจำเป็นในการจัดการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายและค่าดัชนีจัดลำดับความสำคัญแบบปรับปรุง (PNI modified) ผลการวิจัย พบว่า5 อันดับแรกที่มีความต้องการจำเป็นในการปรับปรุงแก้ไขเร่งด่วนที่สุด ได้แก่ 1) สวัสดิการหอพักช่วงฝึกปฏิบัติเวรบ่าย-ดึก 2) สวัสดิการด้านการดูแลรักษาพยาบาล 3) ความซ้ำซ้อนของเนื้อหาวิชาที่จัดสอนในหลักสูตร 4) สถานที่ฝึกปฏิบัติทักษะทางคลินิก และ 5) เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ และหุ่นจำลองสำหรับการฝึกปฏิบัติทักษะทางคลินิก ผลการศึกษานี้เสนอแนะให้ผู้รับผิดชอบหลักสูตรปรับปรุงเกี่ยวกับสวัสดิการหอพักช่วงฝึกปฏิบัติเวรบ่าย-ดึก การดูแลรักษาพยาบาล สถานที่และอุปกรณ์สำหรับการฝึกปฏิบัติทักษะทางคลินิก อีกทั้งควรทบทวนเกี่ยวกับขอบเขตและการจัดเรียงรายวิชาในหลักสูตรให้มีความชัดเจนเพื่อลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหาวิชาในหลักสูตร เพื่อส่งเสริมให้การจัดการศึกษาของหลักสูตรสอดคล้องกับสภาพที่คาดหวังของผู้เรียนมากขึ้น
  • Thumbnail Image
    Publication
    ปัจจัยคัดสรรที่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้การปฏิบัติการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันสำหรับผู้ป่วยวิกฤตของพยาบาลในหอผู้ป่วยวิกฤต
    (2565) กนกพร แก้วโยธา; สุมลชาติ ดวงบุบผา; พูลสุข เจนพานิชย์ วิสุทธิพันธ์; สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ; Kanokporn Kaewyota; Sumolchat Duangbubpha; Poolsuk Janepanish Visudtibhan; Surasak Kantachuvesiri; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี. โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี. ภาควิชาอายุรศาสตร์
    บทคัดย่อ :การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยคัดสรร ประกอบด้วยความรู้ในการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลัน ทัศนคติในการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลัน ประสบการณ์การทำงานในหอผู้ป่วยวิกฤต และการได้รับการอบรม กับการรับรู้การปฏิบัติการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันสำหรับผู้ป่วยวิกฤตของพยาบาลในหอผู้ป่วยวิกฤตกลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยวิกฤต โรงพยาบาลทั่วไปจำนวน 141 ราย เก็บข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป ความรู้ในการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลัน ทัศนคติ ในการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลัน และการรับรู้การปฏิบัติในการป้องกันการเกิดภาวะ ไตบาดเจ็บเฉียบพลัน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายและสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมนผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้ในการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันอยู่ใน ระดับปานกลาง มีทัศนคติในการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันอยู่ในระดับดี และมีการรับรู้การปฏิบัติการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันอยู่ในระดับมาก โดยพบว่า ความรู้ในการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลัน และทัศนคติเชิงบวกในการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการรับรู้การปฏิบัติการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันของพยาบาลในหอผู้ป่วยวิกฤตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนประสบการณ์การทำงานในหอผู้ป่วยวิกฤตและการได้รับการอบรมไม่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้การปฏิบัติในการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันของพยาบาลในหอผู้ป่วยวิกฤต ดังนั้น พยาบาลในหอผู้ป่วยวิกฤตควรได้รับการเพิ่มพูนองค์ความรู้และเสริมสร้างทัศนคติเชิงบวกในการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลัน ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดภาวะไตบาดเจ็บเฉียบพลันในผู้ป่วยวิกฤตให้ดียิ่งขึ้น
  • Thumbnail Image
    Publication
    Evaluation of the Web-based Critical Thinking Software: Diagnostic Reasoning Clinician in Ramathibodi's Medical Curriculum
    (2010) Suthida Sumrithe; Vipavee Kitkumhang; สุธิดา สัมฤทธิ์; วิภาวี กิจกำแหง; Mahidol University. Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital. Medical Education Unit; Mahidol University. Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital. Department of Psychiatry
    Introduction: Clinical reasoning skills are essential for problem-solving process for medical students. DxR Clinician, a web-based critical thinking software, is a computerized case series, in which students learn to gather and interpret data, generate hypotheses and make decisions to solve patient problems. This study aimed to evaluate students' perceptions and satisfactions of DxR Clinician software in the fifth-year medical students at Ramathibodi Hospital, Faculty of Medicine, Mahidol University. Bangkok., Thailand. Methods: The questionnaires consisted of 33 questions (Likert scale 1-5) with an open response section which were developed to explore students' perceptions and satisfactions of the program. The respondents were 116 medical students who used the computer-based program to practice clinical reasoning skills in family medicine rotation. The data were analyzed by using SPSS program, version 11.5. Results: Students were found to high satisfaction in the area of feasibility in the use of the program, ability of this program to support the students' clinical reasoning skills and clinical learning. However, they evaluated low satisfaction in term of the ability to stimulate self-directed learning after practicing the program. Conclusions: The web-based software can be used as an effective educational tool for students to improve their diagnostic skills and refine their knowledge base. Key words: evaluation, Web-based software, computer program, DxR clinician, patient simulation, teaching tool