ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะส่วนบุคคลกับความตั้งใจคงอยู่ในงานของพยาบาลวิชาชีพในหน่วยไตเทียมภาคเอกชน กรุงเทพมหานคร

Abstract

ความตั้งใจคงอยู่ในงานของพยาบาลวิชาชีพยังขาดความรู้เพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในบริการไตเทียม การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับความตั้งใจคงอยู่ในงาน และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความตั้งใจคงอยู่ในงานของพยาบาลวิชาชีพในหน่วยไตเทียมภาคเอกชน กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างคือพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหน่วยไตเทียมภาคเอกชน แบบเต็มเวลา มีอายุงานตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป จำนวน 232 คน (89.58%) ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลโดยแบบสอบถามแบบให้ตอบด้วยตนเอง (IS scale alpha=0.96) เก็บข้อมูลระหว่างเดือน กรกฎาคม ถึง สิงหาคม 2563 การหาปัจจัยคุณลักษณะส่วนบุคคล และใช้สถิติสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยเพื่อทดสอบความสัมพันธ์ เพื่อหาความสัมพันธ์ของคุณลักษณะส่วนบุคคลและปัจจัยการทำงานกับความตั้งใจคงอยู่ในงาน ผลการวิจัย พบว่า ความตั้งใจคงอยู่ในงาน อยู่ในระดับสูง (Mean = 3.73, S.D.=0.68) คุณลักษณะส่วนบุคคลและ ปัจจัยด้านการทำงาน ที่มีความสัมพันธ์กับความตั้งใจคงอยู่ในงานของพยาบาลวิชาชีพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ สถานภาพสมรส อายุ ระยะเวลาการปฏิบัติงาน (p-value=0.06, p-value=0.03, p=0.042 ตามลำดับ) สรุปความตั้งใจคงอยู่ในงานของพยาบาลวิชาชีพอายุน้อยต่ำกว่าผู้ที่อายุมากกว่า อายุงานน้อย ต่ำกว่าอายุงานนานกว่า ดังนั้นผู้บริหารหน่วยไตเทียมควรพัฒนามาตรการจูงใจที่เหมาะสมกับพยาบาลวิชาชีพในหน่วยไตเทียมเอกชนเพื่อจูงใจ ให้พยาบาลวิชาชีพทำงานอยู่ในหน่วยไตเทียมให้นานที่สุด

Intention to stay (IS) of professional nurses is lack of knowledge for human resource management in hemodialysis unit. This cross-sectional study aims to explain IS, and to investigate the factors related with IS among professional nurses in private hemodialysis unit (PHU), Bangkok. A sample of 232 (89.58%) nurses who working as full time at least 6 months in PHU were selected by multi-stage random sampling. Data was collected during July to August, 2020 by a self-administered questionnaire (Cronbach’s alpha coefficient of the IS scale = 0.96). The association between the personal characteristics and working factors with the IS were analyzed by using Pearson product-moment correlation and independent t-test. The result showed that the IS of the nurses in PHU were at high level (Mean = 3.73, S.D.=0.68). The personal characteristics and working factors that statistically associated with the IS were marital status, age and duration of work (p-value=0.06, p-value=0.03, p=0.042 respectively). Conclusion, IS among the nurses in PHU, the younger, shorter duration of work were lower IS than the older and longer duration of work. Thus, administration of PHU should develop interventions aimed at increasing motivation the nurses for maintain them to continue working as long as possible.