PH-Article

Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/97

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 573
  • PublicationOpen Access
    ผลการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหมอประจำบ้านในจังหวัดชัยภูมิ
    (2567) สุรีวัลย์ คำหอม; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; วิริณธิ์ กิตติพิชัย; Sureewan Khamhom; Chardsumon Prutipinyo; Wirin Kittipichai
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของอสม.หมอประจำบ้านในจังหวัดชัยภูมิ เป็นการวิจัยภาคตัดขวาง (Cross sectional study) กลุ่มตัวอย่าง คือ อสม.หมอประจำบ้านปฏิบัติงานอยู่ในจังหวัดชัยภูมิ จำนวน 250 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ใช้สถิติหาค่าความสัมพันธ์ Chi – Square ผลการวิจัยพบว่าผลการปฏิบัติงานของ อสม.หมอประจำบ้าน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p- value ≤0.05) คือทัศนคติต่องาน ได้แก่ ด้านการสนับสนุนให้มีอาสาสมัครประจำครอบตัว(อสค.) ทุกครอบครัว ด้านการส่งเสริมสุขภาพ ลดโรคเรื้อรัง ปัญหาสุขภาพจิต ยาเสพติด และอุบัติเหตุ ด้านการถ่ายทอดความรู้ด้านภูมิปัญญาไทย สมุนไพร และการใช้กัญชาทางการแพทย์ ด้านการใช้เครื่องมือสื่อสารและแอพพลิเคชั่น การคัดกรองประเมินสุขภาพร่วมกับทีมหมอครอบครัว และด้านการเป็นแกนนำเครือข่ายสุขภาพ และจัดการปัญหาสุขภาพในครอบครัวชุมชน รวมทั้งการส่งต่อ ดังนั้นจึงควรกำหนดให้ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยส่งเสริมการปฏิบัติงานของ อสม.หมอประจำบ้าน
  • PublicationOpen Access
    ภาวะหมดไฟของพยาบาลวิชาชีพในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
    (2567) สุธิดา ทวิชสังข์; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; ณัฐนารี เอมยงค์; Suthida Tawitsang; Chardsumon Prutipinyo; Natnaree Aimyong
    การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาวะหมดไฟ และความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับภาวะหมดไฟของพยาบาลวิชาชีพในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ รวบรวมข้อมูลได้ 134 ชุด ช่วงระหว่างวันที่ 10 – 31 มีนาคม 2566 ใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Multiple Logistics Regression ผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้ ภาวะหมดไฟของพยาบาลวิชาชีพในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ส่วนใหญ่ปกติ ร้อยละ 54.8% มีความเสี่ยงภาวะหมดไฟร้อยละ 29.6 % มีแนวโน้มภาวะหมดไฟ ร้อยละ 14.8% พบว่าความเครียดระดับสูงมีความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟ 6.29 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มความเครียดน้อย (p-value* = 0.006) การวิจัยนี้มีข้อเสนอ ผู้บริหารสามารถนำผลการวิจัยไปเป็นแนวทางในการส่งเสริมการดูแลรักษาสุขภาพทางจิตให้บุคคลากรในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ อาทิ การตรวจ คัดกรอง ประเมินสุขภาพจิต คลินิกให้คำปรึกษารักษาสุขภาพจิต รวมทั้งเป็นแนวทางส่งเสริมสุขภาพจิตให้บุคลากรอื่นๆ ในเรือนจำและทัณฑสถาน ของกรมราชทัณฑ์ได้
  • PublicationOpen Access
    พลังร่วมของมาตรการทางอาญาและการปฏิบัติตามพิธีสารเพื่อขจัดการค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ผิดกฎหมาย
    (2567) ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; Chardsumon Prutipinyo
    การค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบอย่างผิดกฎหมายถือเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายสินค้าและบุคคลข้ามเขตอำนาจศาล การดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ผิดกฎหมายกลายเป็นเรื่องท้าทายสำหรับการฟอกเงินเนื่องจากการยึดบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้าที่ผิดกฎหมายโดยตัวมันเองไม่ได้ถือเป็นความผิดฐานฟอกเงิน หากผู้บริโภครายใดถูกจับได้ จะถือเป็นคดีเล็กๆที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม เมื่อจับกุมผู้ขายและปฏิบัติต่อผู้ขายในฐานะส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การใช้พระราชบัญญัติฟอกเงินจึงจำเป็นในการติดตามผู้ขายและติดตามที่มาของผู้ขาย ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ได้รับการสนับสนุนจากกฎหมายไทย ความผิดทางอาญาก่อให้เกิดปัญหาทางเทคนิคและวิธีการที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญและนำไปใช้ในระดับสากลในทุกกรณี กฎหมายไทยกำหนดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับผิดชอบในการจับกุมผู้สอบสวน และอัยการควรร่วมมือในการสืบสวนคดีนอกราชอาณาจักร การสื่อสารจะถูกส่งตรงไปยังอัยการสูงสุดเพื่อขอคำแนะนำ การมีส่วนร่วมในพิธีสารว่าด้วยการขจัดการค้าที่ผิดกฎหมายในผลิตภัณฑ์ยาสูบช่วยอำนวยความสะดวกในความร่วมมือระหว่างประเทศและเสนอความช่วยเหลือด้านเทคนิคในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การสืบสวนคดี การข้ามพรมแดน การใช้เขตอำนาจศาล และการส่งผู้ร้ายข้ามแดนผู้ถูกกล่าวหา พิธีสารนี้กำหนดการลงโทษผู้ซื้อแม้แต่สินค้าลอกเลียนแบบและสินค้าผิดกฎหมายเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น ความผิดทางปกครองอาจมีผลกระทบเชิงป้องกันในภาคส่วนความผิดที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดทางอาญาตามสัดส่วน โดยคำนึงถึงมาตรการในการยึดและยึดเงิน
  • PublicationOpen Access
    Problems and guidelines for controlling alcoholic beverages
    (2024) Chardsumon Prutipinyo
    Due to the Alcoholic Beverage Act of 2008, problems arise in enforcing the law. There is a situation where many agencies wish to amend the law. This article aims to present the issue of the effects of drinking alcohol, alcohol control, and guidelines for amending the law that the Ministry of Public Health intends to address through six important points: 1) Definition of alcoholic beverages referring to the Liquor Act of 1950, which was later repealed by the Excise Tax Act, B.E. 2560, may cause problems when the law is amended in the future. 2) There is a committee system for driving the alcohol control implementation process. The committee is responsible for providing policy guidelines, as well as determining various measures to achieve the success of alcohol control, in accordance with various strategic plans. Implementation of the laws at the local level in a concrete manner and having an effective monitoring system. 3) There are problems with the interpretation of the terms "advertising" and "marketing communication" and issues with law enforcement, such as in the case of traditional celebrations, with exceptions for weddings and diplomatic ceremonies only. 4) Funding or sponsoring activities that provide opportunities for corporate image may directly and indirectly stimulate and cultivate a positive corporate image for children and youth, who will become new drinkers. 5) Promoting and supporting the treatment or rehabilitation of alcohol addicts or those with alcohol consumption problems. This is to promote the good health and well-being of the people. 6) Amendment of penalties appropriately for the current situation. For manufacturers and importers of alcoholic beverages, the penalty is twice as much as for individual violators.
  • PublicationOpen Access
    ปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
    (2567) ธัญวรัตน์ ทองเงิน; ศริยามน ติรพัฒน์; ยุวนุช สัตยสมบูรณ์; Thanwarat Thongngun; Sariyamon Tiraphat; Youwanuch Sattayasomboon
    การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง วัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับการดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง วิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์และมีอิทธิพลต่อการดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตัวแปรอิสระ ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล และปัจจัยการบริหาร กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 131 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน โดยการหาดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา และความเชื่อมั่นของเครื่องมือ โดยมีระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล ตั้งแต่วันที่ 3 – 17 มกราคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย สถิติไคสแควร์ และสถิติการถดถอยโลจิสติกทวิ ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขมีระดับการบริหารและระดับการดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 50.4, 61.80) ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์สถิติไคสแควร์ ชี้ให้เห็นว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคลด้านรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ปัจจัยการบริหารด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ และด้านบริหารจัดการ ส่วนผลการวิเคราะห์สถิติการถดถอยโลจิสติกทวิ พบว่าในมิติด้านบริหารจัดการมีผลต่อการดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลที่ได้รับจากการวิจัยเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายนำไปใช้ในการวางแผน กำหนดนโยบายหรือแผนการดำเนินงานในการปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงาน และแก้ไขปัญหาอุปสรรค เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงอย่างเหมาะสมต่อไป
  • PublicationOpen Access
    กลไกการจ่ายและการควบคุมราคาค่าบริการกรณีการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินในต่างประเทศ: ประสบการณ์จาก 5 ประเทศ
    (2567) อุทุมพร วงษ์ศิลป์; ขวัญประชา เชียงไชยสกุลไทย; ภาสกร สวนเรือง; นำพร สามิภักดิ์; Utoomporn Wongsin; Kwanpracha Chiangchaisakulthai; Passakorn Suanrueang; Numporn Samipuk
    บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อนําเสนอข้อมูลกลไกการจ่ายและการควบคุมราคาค่าบริการกรณีการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยการทบทวนกลไกการจ่ายและกลไกลการควบคุมราคาของต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศไต้หวัน ประเทศสิงคโปร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอังกฤษ หรือประเทศสวีเดน ทั้งนี้เพื่อนํา ไปสู่แนวทางในพัฒนาข้อเสนอกลไกการจ่ายและการควบคุมอัตราการเบิกจ่ายค่าบริการกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินและ ผู้ป่วยไม่ฉุกเฉินในโรงพยาบาลเอกชนในบริบทของประเทศไทย ทั้งนี้ รูปแบบการจ่ายประกอบด้วย การจ่ายตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม (DRG) การจ่ายตามรายการและราคาที่หน่วยบริการเรียกเก็บ (fee for service) และ การร่วมจ่าย (Co-pay) และมาตรฐานในการควบคุมราคาค่าบริการกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติและผู้ป่วยฉุกเฉิน ประกอบด้วย การควบคุมต้นทุนและพัฒนาระบบการให้บริการ การกําหนดอัตราการจ่ายให้กับโรงพยาบาล รวมถึงการปรับใช้การเจรจาต่อรองราคา และการนําเอาระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อจัดเก็บข้อมูลกลางรองรับระบบการตัดสินใจของผู้กําหนดนโยบาย
  • PublicationOpen Access
    พฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร
    (2567) ปุณยนุช เกิดวัน; ปิยะธิดา ขจรชัยกุล; พิทยา จารุพูนผล; วันวิสาข์ ศรีสุเมธชัย; สิทธิชัย ทองวร; Poonyanuch Kerdwan; Piyathida Khajornchaikul; Phitaya Charupoonphol; Vanvisa Sresumachai; Sittichai Thongworn
    การคุกคามทางเพศ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกระจายตัวเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะเกิดปัญหานี้กับเด็กนักเรียนดังนั้นจึงควรหาวิธีมิให้เกิดปัญหาดังกล่าว งานวิจัยเชิงสำรวจภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยประชากรของนักเรียนด้านระดับชั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และประสบการณ์การถูกคุกคามทางเพศ ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ เจตคติ กับพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่สามารถคาดทำนายพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยแบบหลายขั้นตอน (Multistage Random Sampling) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับนักเรียนจำนวน 306 คน วิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอผลด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติไคสแควร์ (Chi-Square) สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Product-Moment Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ความรู้เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศโดยรวม (r = 0.354) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศ ในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) เจตคติต่อการคุกคามทางเพศ (r = 0.373) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศ ในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การรับรู้ความสามารถของตนเองโดยรวม (r = 0.567) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศ ในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) ปัจจัยที่สามารถทำนายพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ได้แก่ การรับรู้ความสามารถของตนเอง ความรู้เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ ซึ่งสามารถทำนายพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศ ได้ร้อยละ 36.1 ข้อเสนอแนะควรส่งเสริมความรู้ให้แก่ นักเรียน และบุคลากรในโรงเรียนทุกฝ่ายเพื่อให้มีความรู้ ความสามารถ และมีทักษะในการป้องกันการคุกคามทางเพศของนักเรียน
  • PublicationOpen Access
    การมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร
    (2567) สุทัศชญา จำนงค์; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; ศริยามน ติรพัฒน์; Sutatchaya Jumnong; Chardsumon Prutipinyo; Sariyamon Tiraphat
    การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 2) ศึกษาปัจจัยลักษณะส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดยมีรูปแบบการศึกษาแบบวิจัยเชิงพรรณนา ประชากรในการศึกษาคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ที่ปฏิบัติงานในเขตอำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร กำหนดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 311 คน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติไคสแควร์ในการทดสอบความสัมพันธ์ ผลการศึกษาพบว่า ระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับสูง (ร้อยละ54.6) และปัจจัยลักษณะส่วนบุคคลได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้เฉลี่ย และระยะเวลาการเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประโยชน์จากการศึกษาในครั้งนี้ เพื่อให้องค์กรทางด้านสาธารณสุขให้ความสำคัญถึงการดำเนินงานในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ หรือโรคระบาดใหม่ในชุมชน และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานร่วมกันของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เพื่อประสิทธิภาพของงานป้องกันและควบคุมโรคต่อไป
  • PublicationOpen Access
    การรับรู้ภาวะผู้นำของหัวหน้าหอผู้ป่วย และความผูกพันต่อองค์กรของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย
    (2567) กณิกนันต์ หงษ์ทอง; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; สุคนธา ศิริ; Kanicknan Hongthong; Chardsumon Prutipinyo; Sukhontha Siri
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้ภาวะผู้นำของหัวหน้าหอผู้ป่วยและความผูกพันต่อองค์กรของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพ อายุงานตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย รวบรวมแบบสอบถามที่สมบูรณ์ได้ 296 ชุด (ร้อยละ 98.7) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ไคสแควร์ และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า พยาบาลวิชาชีพ มีความผูกพันต่อองค์กรภาพรวมอยู่ระดับปานกลาง ความผูกพันด้านจิตใจและบรรทัดฐานอยู่ระดับสูง ส่วนการคงอยู่ระดับปานกลาง ภาวะผู้นำของหัวหน้าหอผู้ป่วยภาพรวมและทั้ง 11 ด้านอยู่ระดับสูง สถานภาพสมรส เงินเดือนและค่าตอบแทน ประสบการณ์ทำงานตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ และภาวะผู้นำของหัวหน้าหอผู้ป่วย มีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์กร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p<0.05 ภาวะผู้นำของหัวหน้าหอผู้ป่วย เงินเดือนและค่าตอบแทน และสถานภาพสมรส สามารถทำนายความผูกพันต่อองค์กรของพยาบาลวิชาชีพได้ร้อยละ 33.5 (R2 0.335) จากการศึกษาครั้งนี้ ผู้บริหารการพยาบาล ควรให้ความสำคัญมุ่งเน้นการสร้างความผูกพันต่อองค์กรอย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุนการสร้างภาวะผู้นำของหัวหน้าเพื่อพัฒนากลยุทธ์เชิงรุกในการสร้างแรงจูงใจให้กับบุคลากร รวมไปถึงสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาองค์กร และพิจารณาเกณฑ์อัตราค่าตอบแทนเพิ่มตามภาระงานที่เหมาะสม
  • PublicationOpen Access
    คุณภาพชีวิตของแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา จังหวัดสมุทรสาคร
    (2567) กมลวรรณ สีจันทร์แจ้ง; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; สุคนธา ศิริ; Kamonwan Seejunjang; Chardsumon Prutipinyo; Sukhontha Siri
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา จังหวัดสมุทรสาคร เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม จำนวน 384 คน นําเสนอผลด้วย จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการทดสอบไคสแควร์ ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพชีวิตของแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา จังหวัดสมุทรสาคร โดยรวมอยู่ในระดับต้องปรับปรุง (ร้อยละ 56.51) รายด้าน พบว่า ด้านจิตใจและด้านสุขภาพกาย ส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี ด้านสัมพันธภาพทางสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่อยู่ในระดับต้องปรับปรุง (ร้อยละ 65.10, 56.77, 82.81 และ 87.50 ตามลำดับ) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ จำนวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ด้วยกัน การใช้บริการสุขภาพในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา สถานบริการสุขภาพที่ใช้เป็นประจำ และบริการสุขภาพที่มักใช้ มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) ข้อเสนอแนะ ควรสร้างความเข้าใจกับนายจ้างในการจัดสวัสดิการด้านการเดินทาง การปรับปรุงที่พักอาศัย การปรับชั่วโมงการทำงาน และการจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ให้แก่แรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา ในส่วนของภาครัฐ ควรมีนโยบายสนับสนุนหรือร่วมกันกับนายจ้างในการจัดสวัสดิการ และด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การจัดจ้างล่ามภาษาเมียนมา และการจัดทำเอกสารประชาสัมพันธ์เป็นภาษาเมียนมาให้มากขึ้น
  • PublicationOpen Access
    ภาวะผู้นำกับผลการปฏิบัติงานของพยาบาล ในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนนทบุรี ระหว่างการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
    (2566) บุษริน สว่างเพชร; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; วันวิสาข์ ศรีสุเมธชัย; Butsarin Sawangphet; Chardsumon Prutipinyo; Vanvisa Sresumatchai
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นํา กับผลการปฏิบัติงานของพยาบาลในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนนทบุรี ระหว่างการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพ จํานวน 240 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามปลายปิด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าสูงสุด และต่ําสุด และสถิติหาค่าความสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’product moment correlation coefficient) ผลการวิจัยพบว่า ระดับภาวะผู้นํา กับผลการปฏิบัติงานของพยาบาลในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนนทบุรี ระหว่างการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยรวมอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย 4.00 และ 3.92) และภาวะผู้นํามีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลการปฏิบัติงานของพยาบาลในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนนทบุรี (r = 0.614) อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ p<0.001 การวิจัยนี้มีข้อเสนอแนะ ผู้บริหารควรให้ความสําคัญและสนับสนุนในกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งเสริมความเป็นภาวะผู้นําแก่พยาบาลวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง กําหนดสมรรถนะหลักพยาบาลวิชาชีพควรมีศักยภาพทางด้านภาวะผู้นําอย่างชัดเจน และมีนโยบายในการจัดอบรมเกี่ยวกับภาวะผู้นําทางการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
  • PublicationOpen Access
    ความเครียดและอาการความผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างจากการทำงานของพนักงานขนส่งทรัพย์สินมีค่าของธนาคารแห่งหนึ่งในเขตภาคเหนือของประเทศไทย
    (2566) รุจิรดา มุงคุณ; อัมรินทร์ คงทวีเลิศ; พรพิมล กองทิพย์; สุธรรม นันทมงคลชัย; Rujirada Mungkhun; Amarin Kongtawelert; Pornpimol Kongtip; Sutham Nanthamongkolchai
    ความเครียดจากการทำงานส่วนใหญ่เกิดจากหลายปัจจัยที่พบในพนักงานขนส่งทรัพย์สินมีค่าของธนาคาร และอาการความผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างจากการทำงานพบว่ามีอัตราการเกิดขึ้นมากที่สุดและพบว่าเป็นแรงงานในระบบเป็นภาคเอกชน การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อต้องการศึกษาความเครียดและอาการความผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างจากการทำงานของพนักงานขนส่งทรัพย์สินมีค่าของธนาคารแห่งหนึ่งในเขตภาคเหนือของประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างคือของพนักงานขนส่งทรัพย์สินมีค่าของธนาคารแห่งหนึ่งในเขตภาคเหนือของประเทศไทย จำนวน 71 คน เก็บตัวอย่างโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงวิเคราะห์ (Inferential statistics) โดยใช้ Chi – square test ในการทดสอบสมมติฐานในการวิจัย ประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS 18 ผลการวิจัยพบว่าพนักงานส่วนใหญ่อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าชุดร้อยละ 38 มีอายุอยู่ระหว่าง 36-45 ปี ร้อยละ 42.3 ดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในระดับโรคอ้วนร้อยละ 35.2 มีการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ร้อยละ 45.1 และออกกำลังกาย นานๆครั้งไม่สม่ำเสมอ ร้อยละ 60.6 ลักษณะสภาพแวดล้อมการทำงานและลักษณะงานสภาพการทำงานที่มีความเสี่ยงต่ออันตราย อุบัติเหตุ และความไม่ปลอดภัย ร้อยละ 62.0 และลักษณะในการทํางานมีผลต่อการเจ็บปวดของกระดูก ข้อและกล้ามเนื้อ ร้อยละ 78.9 โดยรวมพนักงานมีความเครียดอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ ร้อยละ 50.7 บริเวณส่วนร่างกายที่เกิดอาการความผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างจากการทำงาน คือ หลังส่วนล่าง ร้อยละ 39.4 ความเครียดมีความสัมพันธ์กับอาการความผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างจากการทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.001) ความเครียดเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอาการความผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่าง ดังนั้นจึงควรมีการวางแผนหาแนวทางในการจัดการเกี่ยวกับความเครียดและส่งเสริมนโยบายในการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับท่าทางการทำงานและลักษณะการทำงานที่เหมาะสม เพื่อให้พนักงานทำงานได้อย่างมีความสุขปราศจากความเครียดและทำงานได้อย่างปลอดภัย
  • PublicationOpen Access
    ความสุขในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในศูนย์บริการสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร
    (2566) พิมลพรรณ เหมืองจา; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; สุคนธา ศิริ; Pimonpan Mueangja; Chardsumon Prutipinyo; Sukhontha Siri
    การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสุขในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในศูนย์บริการสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในศูนย์บริการสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร จำนวน 285 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2565 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า พยาบาลวิชาชีพมีความสุขในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.56) การรับรู้คุณลักษณะงาน และการรับรู้สภาพแวดล้อมในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.46 และ 4.21) คุณลักษณะงานและสภาพแวดล้อมในการทำงานมีความสัมพันธ์กับความสุขในการทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.591 และ r=0.589 โดย p<0.001) ปัจจัยสภาพแวดล้อมในการทำงานด้านสังคม ปัจจัยคุณลักษณะงานด้านความหลากหลายของงาน ปัจจัยคุณลักษณะงานด้านการรับรู้การปฏิบัติงาน ปัจจัยสภาพแวดล้อมในการทำงานด้านการบริหารจัดการ และปัจจัยคุณลักษณะงานด้านความสำคัญของงาน สามารถรวมทำนายความสุขในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในศูนย์บริการสาธารณสุข กรุงเทพมหานครได้ ร้อยละ 50.6 (R2 = 0.506) ดังนั้นผู้บริหารควรมีนโยบายส่งเสริมความสุขในการทำงาน โดยสนับสนุนให้มีกิจกรรมที่สร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงาน มีการจัดสภาพแวดล้อมที่ดีในที่ทำงานและกำหนดภาระงานที่เหมาะสมกับบุคคลและตำแหน่ง เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการทำงานที่เพิ่มขึ้น เกิดความพึงพอใจในงานที่ทำอยู่ เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลในการทำงานและลดอัตราการขาดงานหรือลาออกจากงานต่อไป
  • PublicationOpen Access
    พระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559
    (2566) ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ
    พระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 ได้ให้ความหมายของ “วัยรุ่น” ว่า เป็นบุคคลอายุเกินสิบปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึงยี่สิบปีบริบูรณ์ ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของประเทศไทยส่งผลกระทบในทุกระดับ และปัญหาดังกล่าวมีความซับซ้อน ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง จึงจำเป็นต้องสร้างกลไกในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และการดำเนินการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานของเอกชนและประชาสังคม กำหนดสิทธิของวัยรุ่นที่เกี่ยวข้องกับการได้รับข้อมูลความรู้และบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ ที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างบูรณาการ แต่อาจไม่สามารถแก้ไขในกลุ่มผู้หญิงที่มิใช่วัยรุ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สถานศึกษา สถานพยาบาล ราชการส่วนท้องถิ่น
  • PublicationOpen Access
    ความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดชลบุรี
    (2567) วิริณธิ์ กิตติพิชัย; นันท์นภัส ภูวะสุวรรณ์; กนิษฐา จำรูญสวัสดิ์; พิมพ์สุรางค์ เตชะบุญเสริมศักดิ์; Wirin Kittipichai; Nannapas Phuwasuwan; Kanittha Chamroonsawasdi; Pimsurang Taechaboonsermsak
    วัยรุ่นเป็นวัยที่เริ่มมีความรักและความรู้สึกอารมณ์ทางเพศ การส่งเสริมให้วัยรุ่นมีความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศจึงมีความจำเป็นที่ต้องมีความรู้ ความเข้าใจนำไปสู่การมีพฤติกรรมที่เหมาะสมลดพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศได้ การวิจัยเชิงสำรวจภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดชลบุรี การเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถามชนิดตอบด้วยตนเอง ตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 ในจังหวัดชลบุรี จำนวน 333 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอ้างอิง กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการศึกษาสำคัญพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ 3 มีความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศสูงกว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (p < 0.05) และความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศมีความสัมพันธ์กับแหล่งข้อมูลสุขภาพทางเพศจากสื่อออนไลน์ เพื่อน โรงเรียน ครอบครัว (r = 0.40, 0.38, 0.33, และ 0.21 ตามลำดับ) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (r = 0.21) และการเห็นคุณค่าในตนเอง (r =0.18) จากข้อค้นพบจึงมีข้อเสนอแนะว่า โรงเรียนควรจัดทำสื่อออนไลน์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศและปัจจัยเสี่ยงของพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่น และประชาสัมพันธ์ลงในเครือข่ายสังคมออนไลน์ของโรงเรียน พร้อมเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของนักเรียนโดยเฉพาะนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 และนักเรียนที่ผลการเรียนต่ำ
  • PublicationOpen Access
    บทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
    (2566) Woottipat Sornmai; Tassanee Silawan; Kanittha Chamroonsawasdi; Phubet Saengsawang; Chalalai Hanchenlak
    โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) มีการระบาดอย่างกว้างขวางทั่วโลกและในประเทศไทย อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มีความใกล้ชิดกับประชาชนและช่วยให้การป้องกันและควบคุมโรคมีประสิทธิภาพ การวิจัยเชิงสำรวจภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินบทบาทและปัจจัยที่สัมพันธ์กับบทบาทการป้องกันและควบคุมโรคโควิด 19 ของ อสม. เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง อสม. ที่ปฏิบัติงานในอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 385 คน วิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอผลด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Chi-square test ผลการศึกษาพบว่า อสม. ปฏิบัติบทบาทการป้องกันและควบคุมโรคโควิด 19 ในชุมชนระดับพอใช้ร้อยละ 48.8 ระดับดีร้อยละ 33.5 และระดับควรปรับปรุงร้อยละ 17.7 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับบทบาทการป้องกันและควบคุมโรคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ได้แก่ การได้รับการฝึกอบรม การรับรู้เกี่ยวกับโรค ความเพียงพอของอุปกรณ์การดำเนินงานในชุมชน และการได้รับการสนับสนุนบทบาทการเป็น อสม. ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าควรส่งเสริมบทบาทของ อสม. โดยการพัฒนาศักยภาพในด้านการสื่อสารและวิธีให้คำแนะนำแก่กลุ่มเป้าหมาย ควรจัดระบบการสนับสนุนบทบาทของ อสม. อย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์ เฝ้าระวัง และสร้างสภาพแวดล้อมชุมชนที่ปลอดภัยจากโรคโควิด 19
  • PublicationOpen Access
    สมรรถนะหลักของบุคลากรศูนย์อนามัยแห่งหนึ่งในสังกัดกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
    (2566) เพชรรัตน์ อรุณภาคมงคล; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; ณัฐนารี เอมยงค์; Petcharat Aroonpakmongkol; Chardsumon Prutipinyo; Natnaree Aimyong
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวัดความสัมพันธ์และอำนาจในการทำนายระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยแรงจูงใจต่อสมรรถนะหลักของบุคลากร กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรศูนย์อนามัยแห่งหนึ่งในสังกัดกรมอนามัย จำนวน 144 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ ทดสอบค่าเฉลี่ยของข้อมูล 2 กลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน วิเคราะห์ความแปรปรวนจำแนกทางเดียว วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และ วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 84.7) การศึกษาระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 79.20) เป็นข้าราชการ (ร้อยละ 91.7) แรงจูงใจอยู่ในระดับปานกลาง ระดับสมรรถนะอยู่ในระดับปานกลาง ข้าราชการและพนักงานราชการมีระดับแรงจูงใจและสมรรถนะหลักที่ไม่แตกต่างกัน แรงจูงใจมีความสัมพันธ์กับสมรรถนะหลักของบุคลากร (r = 0.76) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.001) และมีอำนาจพยากรณ์ได้ร้อยละ 58.6 การวิจัยนี้มีข้อเสนอ ผู้บริหารนำผลการศึกษาไปเป็นแนวทางในการสร้างแรงจูงใจและพัฒนาสมรรถนะหลักบุคลากร เพื่อให้บุคลากรปฏิบัติงานเต็มกำลังความสามารถ ส่งผลให้บรรลุพันธกิจและเป้าหมายขององค์กร และเพื่อใช้ผลการศึกษาเป็นแนวทางให้ผู้ที่ต้องการศึกษาการพัฒนาสมรรถนะหลักของบุคลากรศูนย์อนามัย กรมอนามัย ในเขตอื่นต่อไป
  • PublicationOpen Access
    การมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของบุคลากรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
    (2566) อชิรา เหล่าศุภวณิชย์; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; ณัฐนารี เอมยงค์; Achira Laosupawanit; Chardsumon Prutipinyo; Natnaree Aimyong
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบสำรวจภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของบุคลากรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กลุ่มตัวอย่างคือบุคลากรของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 390 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์แบบเพียรสัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 77.7) มีอายุระหว่าง 31 – 40 ปี (ร้อยละ 33.8) การศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 54.1) เป็นข้าราชการ (ร้อยละ 80.5) ระยะเวลาในการปฏิบัติงานในกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อยู่ระหว่าง 1 -5 ปี (ร้อยละ 37.4) โดยส่วนใหญ่ไม่เป็นคณะกรรมการหรือคณะทำงานด้านการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (ร้อยละ 72.3) มีระดับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐโดยรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง (gif.latex?X = 64.84, S.D = 16.15) ปัจจัยส่วนบุคคลมีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ปัจจัยจูงใจและปัจจัยค้ำจุน ปัจจัยทัศนคติด้านการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ และระยะเวลาในการปฏิบัติงาน สามารถร่วมกันพยากรณ์การมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐได้ ร้อยละ 51.9 (R2 = 0.519 ) การนำผลของวิทยานิพนธ์ไปใช้ ผู้บริหารควรส่งเสริม ผลักดัน และให้การสนับสนุนกิจกรรมที่สร้างแรงจูงใจในการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐอย่างต่อเนื่อง กำหนดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ และมีการกำหนดและแต่งตั้งผู้รับผิดชอบงานด้านการพัฒนาคุณภาพให้ครบทุกประเภทบุคลากรเพื่อเปิดโอกาสให้บุคลากรทุกระดับได้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการดำเนินการมากยิ่งขึ้น
  • PublicationOpen Access
    การประเมินผลโครงการเอ็นซีดีแอดโฮมเพื่อการรักษาและดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ในอำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว
    (2566) ปิยะณัฐ วิเชียร; ทัศนีย์ ศิลาวรรณ; กนิษฐา จำรูญสวัสดิ์; ระพีพันธุ์ จอมมะเริง; วรรณนรา ชื่นวัฒนา; Piyanat Vichian; Tassanee Silawan; Kanittha Chamroonsawasdi; Rapeepan Jommaroeng; Wannara Chuenwattana
    การประเมินผลโครงการเอ็นซีดีแอดโฮมเพื่อการรักษาและดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว ประยุกต์ใช้โมเดลตรรกะ ประกอบด้วย ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ ผลผลิต และผลลัพธ์ ดำเนินการในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานโครงการที่ดูแลผู้ป่วย ณ สถานบริการและที่บ้าน กลุ่มตัวอย่างคือผู้ปฏิบัติงานหลักในโครงการ 26 คน เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก สนทนากลุ่ม และรวบรวมข้อมูลจากเอกสารในประเด็นปัจจัยนำเข้าและกระบวนการ และจากระบบบริการในประเด็นผลผลิตและผลลัพธ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา การแจกแจงความถี่ และร้อยละ ผลการวิจัยจากข้อมูลการรับบริการ ด้านผลลัพธ์พบว่าหลังเข้าโครงการสัดส่วนผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับ HbA1c ในเกณฑ์ควบคุมได้ลดลง สัดส่วนผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีระดับความดันโลหิตในเกณฑ์ควบคุมได้ใกล้เคียงกับก่อนเข้าโครงการ และไม่พบผู้ป่วยเข้ารักษาซ้ำในแผนกผู้ป่วยใน ด้านผลผลิตพบว่าจำนวนครั้งเข้ารับบริการของผู้ป่วยลดลงเล็กน้อย ส่วนการขาดนัดเพิ่มขึ้นในช่วงหลัง ผลการวิจัยจากเอกสารร่วมกับสัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติงานหลักด้านปัจจัยนำเข้าและกระบวนการพบว่าการอบรมฟื้นฟูอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านไม่ต่อเนื่อง เกณฑ์การวินิจฉัยและคัดเลือกช่วยลดผลกระทบในผู้ป่วยแต่จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ การใช้แอปพลิเคชันในการดูแลผู้ป่วยลดลง มีการปรับกระบวนการเยี่ยมบ้านและส่งยาถึงบ้านในช่วงการระบาดของโควิด 2019 งบประมาณไม่เพียงพอ และระบบสารสนเทศบางส่วนซ้ำซ้อนกับระบบเดิม
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    รูปแบบการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมในระดับพื้นที่สู่การปฏิบัติจังหวัดนนทบุรี ปี 2559
    (2564) แคทรียา การาม; อังสนา บุญธรรม; สุภาภรณ์ สงค์ประชา; ลือชัย ศรีเงินยวง; Kathareeya Karam; Angsana Boonthum; Supaporn Songpracha; Luechai Sri-Ngernvuang; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์
    การศึกษาเชิงพรรณนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมสู่การปฏิบัติ ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ซึ่งประกอบด้วย ปัจจัยแวดล้อมทางนโยบายและกระบวนการนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม และศึกษารูปแบบการผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมสู่การปฏิบัติจังหวัดนนทบุรี โดยหมายถึง กลไก และกระบวนการพัฒนาผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมสู่การปฏิบัติ โดยมีระยะเวลาทำการศึกษาวิจัย 12 เดือน ระหว่างเดือน มกราคม 2562 – ธันวาคม 2562 ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยหลักในการกำหนดความสำเร็จของการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม คือ กระบวนการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม ที่ประกอบไปด้วย การจัดกลไก การทบทวนวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การกำหนดประเด็นในการพัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย การตัดสินใจเชิงนโยบาย (การจัดประชุมสมัชชาสุขภาพจังหวัด) การผลักดันขับเคลื่อนมติสู่การปฏิบัติ การประเมินผลนโยบาย และการจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยเฉพาะกระบวนการขั้นการจัดกลไก การกำหนดประเด็น และการผลักดันขับเคลื่อนมติสู่การปฏิบัติ ในส่วนของปัจจัยแวดล้อมทางนโยบายเป็นปัจจัยเสริมที่เอื้อและสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมไปสู่การปฏิบัติ รูปแบบการผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมสู่การปฏิบัติ จังหวัดนนทบุรี คือ รูปแบบสมดุลประยุกต์ คือกลไกมีความสมดุลภาคส่วน กระบวนการผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมสู่การปฏิบัติมีการประยุกต์จากสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ