PH-Article
Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/97
Browse
Recent Submissions
Publication Open Access การดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคใต้ ประเทศไทย(2567) กิตติพันธุ์ ช่วยบุญชู; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; วิริณธิ์ กิตติพิชัย; Kittipan Chuaybunchoo; Chardsumon Prutipinyo; Wirin Kittipichaiการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive research) นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคใต้ ประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง คือ เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบหลักในงานส่งเสริมสุขภาพ จำนวน 178 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติการแจกแจงค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 55.6 เป็นเพศหญิง มีอายุ เฉลี่ย 50 ปี (SD = 6.38) ร้อยละ 80.9 การศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี การปฏิบัติงานมาแล้ว 11 – 20 ปี ร้อยละ 36.5 ได้รับการฝึกอบรมการส่งเสริมสุขภาพ ร้อยละ 79.2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ขนาดกลาง ร้อยละ 67.4 จำนวนบุคลากร 7 – 12 คน ร้อยละ 54.0 อยู่ในพื้นที่กึ่งชนบท ร้อยละ 66.3 ภาพรวมการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (Mean = 4.31, SD = 0.44) คุณลักษณะของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบหลักต่างกันมีการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคใต้ แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด นำผลไปพัฒนาการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพ และสนับสนุนการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพอย่างต่อเนื่องPublication Open Access การดำเนินงานตามหลักความปลอดภัยทางชีวภาพและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพของเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ โรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(2568) สุธาริณี จันทร; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; จุฑาธิป ศีลบุตร; Sutharinee Chanthon; Chardsumon Prutipinyo; Juthatip Sillabutraการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่งวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินงานตามหลักความปลอดภัยทางชีวภาพ และการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพของเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ โรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กลุ่มตัวอย่างคือเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการที่มีอายุงาน 1 ปีขึ้นไป จำนวน 260 คน เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถามที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติไคสแควร์ การทดสอบฟิชเชอร์ และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกส์ทวิ ผลการศึกษาพบว่าการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการภาพรวมอยู่ในระดับสูง อายุ การดำรงตำแหน่งหัวหน้าห้องปฏิบัติการ การมีวัตถุตัวอย่างที่สงสัยหรือที่ตรวจพบว่ามีเชื้อโรคไว้ในครอบครอง และการรับรู้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระบวนการตรวจวินิจฉัยโรคตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558 มีความสัมพันธ์กับการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การมีวัตถุตัวอย่างที่สงสัยหรือที่ตรวจพบว่ามีเชื้อโรคไว้ในครอบครองและการรับรู้ สามารถทำนายการดำเนินงานได้ ผลจากการศึกษาครั้งนี้ใช้เป็นข้อมูลในการส่งเสริมให้ผู้ที่ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการมีการศึกษากฎหมายว่าด้วยเชื้อโรคและพิษจากสัตว์และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เป็นข้อเสนอสำหรับหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายให้มีการสื่อสาร เสริมสร้างความเข้าใจในกฎหมายเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง อันจะส่งผลให้มีความปลอดภัยจากเชื้อโรคมากยิ่งขึ้นPublication Open Access พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539(2568) ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; Chardsumon Prutipinyoความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ กรณีพิพาทที่นำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง มี 3 กรณี; 1) กรณีละเมิดที่เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจตามกฎหมาย 2) กรณีละเมิดที่เกิดจากการออกกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น ซึ่งการออกกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และหากก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลใด ก็เป็นการกระทำละเมิดได้และผู้เสียหายฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ 3) กรณีละเมิดอันจากการละเลยหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ล่าช้าเกินสมควร ทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย ตัวอย่าง คดีทางสิ่งแวดล้อม ศาลจะพิจารณาว่าเจ้าหน้าที่รัฐหรือหน่วยงานมีความประมาทในการอนุมัติโครงการหรือไม่ เช่น การละเลยการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือการละเลยการตรวจสอบมลพิษที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการ หากศาลเห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความประมาทหรือทำผิดหน้าที่จนทำให้เกิดความเสียหาย ผู้ฟ้องสามารถได้รับการชดเชยตามกฎหมาย อายุความการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ผู้ได้รับผลกระทบต้องฟ้องคดี ภายใน 1 ปี นับแต่รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี แต่ไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดี กรณีการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ซึ่งมิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ หรือที่ถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดในทางส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นเอง ซึ่งก็คือ กรณีที่เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว หน่วยงานของรัฐไม่ต้องรับผิดเพื่อละเมิดที่เกิดขึ้นนั้น ซึ่งถือเป็นการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ ในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายปกครอง หรือละเมิดที่จากการออกกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือ คำสั่งอื่น หรือละเมิดนั้นมิได้เกิดจากการละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายล่าช้าเกินสมควร ผู้ได้รับผลกระทบสามารฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้น 10 ปีนับแต่วันกระทำละเมิดPublication Open Access การศึกษาสถานการณ์ผลิตภัณฑ์ ราคา การส่งเสริมการขายและการโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อโซเชียลมีเดีย (social media network)การศึกษาสถานการณ์ผลิตภัณฑ์ ราคา การส่งเสริมการขายและการโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อโซเชียลมีเดีย (social media network)(2568) ศรีรัช ลาภใหญ่; Sirach Lapyaiบทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า ใน 5 ประเด็น คือ 1)สถานการณ์ผลิตภัณฑ์ 2) สถานการณ์ราคา 3) สถานการณ์การส่งเสริมการขาย 4) สถานการณ์แหล่งขาย และ 5) การโฆษณาและการสื่อสาร ผลการศึกษาในด้านสถานการณ์ผลิตภัณฑ์ พบว่า มีผลิตภัณฑ์ยาสูบไฟฟ้า 10 ประเภท ผลิตภัณฑ์ยาสูบไฟฟ้าประเภทที่ได้รับความนิยมสูง คือ บุหรี่ไฟฟ้าแบบพอดใช้แล้วทิ้ง ในด้านสถานการณ์ราคา ราคาทุกผลิตภัณฑ์ลดลง สถานการณ์การจำหน่ายเน้นกลยุทธ์ด้านราคา ใช้ความคุ้มค่าด้านราคาและราคาถูก แหล่งขายออนไลน์ พบว่า มี 300 ID (ร้านค้า) ในปี 2565-2566 ใน 6 แพลตฟอร์ม พบใน Website ร้อยละ 23 Line shopping ร้อยละ 21 Youtube ร้อยละ 20 Facebook ร้อยละ 15 Twitter ร้อยละ 12 และ Instagram ร้อยละ 9 แต่พบว่าเพิ่มเป็น 459 ร้านในปี 2566 ผู้ค้าใช้ Line เป็นช่องทางติดต่อกับลูกค้ามากที่สุดเพราะเป็นส่วนตัวที่สุดและเลี่ยงกฎหมายได้มากที่สุด พบวิธีการสื่อสาร 22 วิธี ในช่องทางออนไลน์ hashtag ที่ผู้ค้าใช้มากที่สุด คือ #บุหรี่ไฟฟ้าราคาถูก เพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ ผู้ค้าใช้วิธีการสื่อสารโดยการเปิดร้านค้าในทุกแพลตฟอร์มและโยงทุกแพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน ในด้านวิธีการโฆษณา พบว่า ผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้านิยมถ่ายรูปสินค้าอย่างสวยงาม ใช้ภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่งประกอบข้อความสั้นและเพลงในการโฆษณาในสื่ออย่าง Tik Tok, Instagram และ Facebook รวมทั้งโฆษณาด้วยการสาธิตและการสูบให้ชมใน Youtube และ Tik Tok ในด้านการสื่อสาร พบว่า มีการใช้ผู้มีอิทธิพลในการสื่อสาร เช่น Youtuber และ reviewer ที่มีเทคนิคในการพูด แสดงตนเป็นผู้รู้ และสาธิตสินค้าด้วยตัวเองให้ชม จะมีส่วนสำคัญสูงสุดต่อการชวนให้ติดตามและรับรู้เรื่องบุหรี่ไฟฟ้า การศึกษายังพบว่า การสื่อสารและโฆษณาด้วยการ Live streaming ดึงดูดผู้ชมได้มากที่สุด การศึกษานี้ให้ข้อสรุปว่า มาตรการควบคุมตนเองของสื่อสังคมเครือข่ายในการคัดกรองการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อ ไม่ได้ผลในทางปฏิบัติแต่เอื้อประโยชน์แก่ผู้ค้าในเชิงพาณิชย์ และผู้ค้าใช้การเปิดร้านค้าในสื่อโซเชียลเพื่อเลี่ยงกฎหมายPublication Open Access การวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นความสัมพันธ์ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ในบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จากเข็มทิ่มตำและของมีคมบาด(2568) ศศิกานต์ แก้วยอด; อัมรินทร์ คงทวีเลิศ; จุฑาธิป ศีลบุตร; Sasikan Keawyod; Amarin Kongtawelert; Jutatip Sillabutraการวิจัย Cross-sectional study นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและอธิบายปัจจัยที่เป็นความสัมพันธ์ด้านบุคคล อุปกรณ์ และสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุเข็มทิ่มตำและของมีคมบาดในบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ใช้รูปแบบ โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรทางการแพทย์ 7 ตำแหน่งงาน จำนวน 301 คน ใช้แบบสอบถามออนไลน์ Google Form และดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณาและ Chi – square test และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS Version 18 ผลการวิจัยพบว่า ตำแหน่งงานที่ถูกเข็มทิ่มตำและของมีคมมากที่สุด คือ พยาบาล เกิดเหตุบ่อยที่สุดที่หอผู้ป่วยใน และเกิดเหตุที่นิ้วชี้ข้างซ้ายมากที่สุด ทั้งนี้ ปัจจัยเรื่องตำแหน่งงาน เพศ อายุ ประสบการณ์ในการทำงาน และระดับการศึกษา ไม่ได้ส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุเข็มทิ่มตำแหละของมีคมบาด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) สรุปได้ว่า ปัจจัยด้านบุคคล อุปกรณ์ และสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องที่สำคัญต่อการทำงาน ดังนั้น การจัดหาอุปกรณ์ในการทำงาน การทำให้สภาพแวดล้อมในการทำงานเหมาะสม การจัดโครงการเพื่อลดความเครียด รวมไปถึงการส่งเสริมปัจจัยด้านบุคคลให้เพิ่มทักษะ เพิ่มความรู้ และลดความเครียดจากการทำงาน จะส่งผลให้บุคลากรลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุเข็มทิ่มตำและของมีคมบาดจากการทำงานPublication Open Access การดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เขตสุขภาพที่ 11(2567) ณัฐธิดา ช่วยบุญชู; ยุวนุช สัตยสมบูรณ์; ศริยามน ติรพัฒน์; ศรัณญา เบญจกุล; Nathida Chuaybunchoo; Youwanuch Sattayasomboon; Sariyamon Tiraphat; Sarunya Benjakulการวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการดำเนินงานและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เขตสุขภาพที่ 11 กลุ่มตัวอย่าง คือ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพใน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 225 คน โดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบไคร์สแควร์ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ < 0.05 ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง ร้อยละ 83.1 อายุ 40-59 ปี ร้อยละ 50.6 ระดับการศึกษาปริญญาตรี ร้อยละ 92.0 ตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข ร้อยละ 82.2 ระยะเวลาปฏิบัติงานใน รพ.สต.ปัจจุบัน 1-5 ปี ร้อยละ 50.7 ประสบการณ์ในการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ 1-5 ปี ร้อยละ 53.3 ภาพรวมการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคฯอยู่ในระดับต่ำถึงระดับปานกลาง ร้อยละ 75.6 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน (p-value<0.005) ปัจจัยจูงใจ (p-value <0.001) ปัจจัยค้ำจุน (p-value =0.025) กระบวนการบริหาร (p-value <0.001) และทัศนคติต่องานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ (p-value =0.001) ข้อเสนอแนะจากผลวิจัยเพื่อส่งเสริมให้การดำเนินงานมีระดับสูงเพิ่มขึ้น ผู้บริหารเขตสุขภาพที่ 11 อาจพิจารณามาตรการส่งเสริมแรงจูงใจในการทำงาน กระบวนการบริหาร และทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลPublication Open Access ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันควบคุมโรคติดต่ออันตรายของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในจังหวัดสมุทรปราการ(2567) อชราภรณ์ เครือจันทร์; ยุวนุช สัตยสมบูรณ์; จุฑาธิป ศีลบุตร; วิริณธิ์ กิตติพิชัย; Acharaporn Kruajan; Youwanuch Sattayasomboon; Jitatip Sillabutra; Wirin Kittipichaiการวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความตั้งใจและวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันควบคุมโรคติดต่ออันตรายของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในจังหวัดสมุทรปราการ กลุ่มตัวอย่างเป็น อสม.จำนวน 212 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอนเก็บข้อมูลเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 โดยแบบสอบถามมีความตรงเชิงเนื้อหาค่า(IOC) 0.67 - 1.00 มีความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ส่วนที่ 2-4 มีค่ามากกว่า 0.80 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติพรรณนา และทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร โดยใช้ Chi-square และ Multiple Logistic Regression ที่นัยสำคัญ ทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้ ผลการวิจัยพบว่า อสม. ร้อยละ 91.04 มีความตั้งใจเข้าร่วมในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันควบคุมโรคติดต่ออันตรายหากเกิดอุบัติการณ์แพร่ระบาดอีก ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจของ อสม. ได้แก่ ปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันควบคุมโรคติดต่ออันตราย แสดงให้เห็นว่า อสม.ผู้ที่มีปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานระดับสูงมีความตั้งใจในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันควบคุมโรคติดต่ออันตราย 3.59 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่มีปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานต่ำ (Adj OR=3.59, 95%CI of Adj OR = 1.16-11.13) ปัจจัยส่วนบุคคล ไม่มีความสัมพันธ์กับความตั้งใจในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันควบคุมโรคติดต่ออันตรายของอสม. ผลการวิจัยนี้ผู้บริหารสามารถนำไปเป็นข้อมูลเพื่อวางมาตรการสร้างแรงจูงใจที่ดีในการปฏิบัติงานป้องกันควบคุมโรคติดต่อของ อสม. และช่วยให้ อสม.มีความสามารถเข้าร่วมในการปฏิบัติงานด้านนี้ในอนาคตPublication Open Access บรรยากาศองค์การกับความตั้งใจคงอยู่ในงานของบุคลากรกรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข(2567) ผุสชา จันทร์ประเสริฐ; ยุวนุช สัตยสมบูรณ์; จุฑาธิป ศีลบุตร; ศรัณญา เบญจกุล; Phusacha Junprasert; Youwanuch Sattayasomboon; Jutatip Sillabutra; Sarunya Benjakulการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศองค์การกับความตั้งใจคงอยู่ในงาน ของบุคลากรกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุขกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 197 คน (อัตราตอบกลับร้อยละ 89.95) ปฏิบัติงานในกรมมาแล้ว 6 เดือนขึ้นไป ไม่เป็นผู้บริหาร และไม่เกษียณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เก็บข้อมูลโดยแบบสอบถามแบบให้ตอบด้วยตนเอง ระหว่างวันที่ 8 มีนาคม ถึง 8 เมษายน พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนาและหาความสัมพันธ์โดยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า ความตั้งใจคงอยู่ในงานของบุคลากรกรมอยู่ในระดับต่ำ (Mean = 2.8, S.D. = 1.2) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความตั้งใจคงอยู่ในงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.001) ได้แก่ บรรยากาศองค์การ (r = 0.32) อายุ (r = 0.31) สถานภาพสมรส (r = 0.14) ระยะเวลาปฏิบัติงาน (r = 0.18) และรายได้ (r = 0.21) การนำผลวิจัยไปใช้ประโยชน์คือผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของกรมฯนี้ ควรนำข้อมูลไปใช้กำหนดนโยบายและวางแผนธำรงรักษาบุคลากรให้คงอยู่ในองค์การเพิ่มขึ้น โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาบรรยากาศองค์การที่ดีPublication Open Access ภาวะหมดไฟในการทำงานของทันตาภิบาลในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เขตสุขภาพที่ 4(2567) จุฑาทิพย์ อินทผลัญ; ศริยามน ติรพัฒน์; ชนิดา เลิศพิทักษ์พงศ์; Jutathip Intaphalan; Sariyamon Tiraphat; Chanida Lertpitakpongการวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะหมดไฟในการทำงาน และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะหมดไฟในการทำงานของทันตาภิบาลในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เขตสุขภาพที่ 4 กลุ่มตัวอย่าง คือ ทันตาภิบาลที่มีประสบการณ์การปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในเขตสุขภาพที่ 4 ตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลได้ 237 ชุด โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ (Google form) ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 10 เมษายน 2567 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติไคสแควร์ในการทดสอบความสัมพันธ์ ผลการศึกษาพบว่า ภาวะหมดไฟในการทำงานของทันตาภิบาลในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เขตสุขภาพที่ 4 โดยรวมอยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 34.60) และปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ สถานภาพสมรส ประเภทการจ้างงาน ประสบการณ์ในการประกอบอาชีพทันตาภิบาล ภาวะสุขภาพร่างกาย และภาวะสุขภาพจิต มีความสัมพันธ์กับภาวะหมดไฟในการทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ผลการวิจัยครั้งนี้ ผู้บริหารสามารถนำไปใช้ในการสนับสนุนนโยบายด้านการเสริมสร้างขวัญกำลังใจ โดยเพิ่มการบรรจุเข้ารับข้าราชการในตำแหน่งทันตาภิบาล เพื่อสร้างความมั่นคงและความก้าวหน้าในวิชาชีพ ตลอดจนจัดให้มีนโยบายในการส่งเสริมดูแลรักษาสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิต เพื่อป้องกันและบรรเทาภาวะหมดไฟในการทำงานPublication Open Access ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและกระบวนการบริหารกับธรรมาภิบาลของบุคลากรสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ จังหวัดชุมพร(2567) ธนวรรฒ ยี่คิ้ว; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; ณัฐนารี เอมยงค์; Thanawat Yeekew; Chardsumon Prutipinyo; Natnaree Aimyongการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและธรรมาภิบาล เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับธรรมาภิบาลและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับธรรมาภิบาลของบุคลากร กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรในสำนักงานสาธารณสุขอำเภอและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดชุมพร จำนวน 265 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่มีความเชื่อมั่นด้านธรรมาภิบาล 0.76 และด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง 0.87 วิเคราะห์โดยสถิติเชิงพรรณนา สถิติค่า T สถิติความแปรปรวนทางเดียว สถิติสหสัมพันธ์เชิงอันดับสเปียร์แมนและสถิติถดถอยพหุคูณเป็นขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า (1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและธรรมาภิบาลของบุคลากร อยู่ในระดับมาก (2) ปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกันมีธรรมาภิบาลไม่แตกต่างกัน (3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีความสัมพันธ์กับธรรมาภิบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (4) อิทธิพลของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง เรียงจากอิทธิพลเชิงบวกมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการคำนึงถึงปัจเจกบุคคล ด้านอิทธิพลเชิงอุดมการณ์ โดยร่วมกันอธิบายความแปรปรวนต่อธรรมาภิบาลได้ร้อยละ 40 (Adjusted R- Square = 40) ดังนั้น ผู้บริหารควรให้ความสำคัญและส่งเสริมการสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านการคำนึงถึงปัจเจกบุคคล ด้านอิทธิพลเชิงอุดมการณ์และธรรมาภิบาลในบุคลากรทุกระดับอันอาจส่งผลให้บุคลากรมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นPublication Open Access ปัจจัยด้านภาวะผู้นำตนเอง ความฉลาดทางอารมณ์ และบรรยากาศองค์กร ที่มีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์(2568) Nisachol Rainuae; Youwanuch Sattayasomboon; Sariyamon Tiraphat; นิศาชล ไร่เหนือ; ยุวนุช สัตยสมบูรณ์; ศริยามน ตีรพัฒน์การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำตนเอง ความฉลาดทางอารมณ์ และบรรยากาศองค์กรที่ส่งผลต่อผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพในทัณฑสถานโรงพยาบาล ราชทัณฑ์ ประชากรที่ศึกษาคือ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ จํานวน 134 คน โดยไม่มีการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือวิจัยคือ แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา และทดสอบค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือ โดยข้อมูลจะถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานด้วยการหาค่าสถิติไคสแควร์ ผลการศึกษาพบว่า ระดับภาวะผู้นำตนเอง ความฉลาดทางอารมณ์ และบรรยากาศองค์กร มีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยพยาบาล วิชาชีพที่มีภาวะผู้นำตนเองในระดับสูง (X2 = 55.391, p < .001) มีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในระดับสูง อีกทั้งพยาบาลวิชาชีพที่มีความฉลาดทางอารมณ์ในระดับสูง (X2 = 38.623, p < .001) ยังมีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพในทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ในระดับสูง นอกจากนี้พยาบาลวิชาชีพที่อยู่ในบรรยากาศองค์กรที่ดี (X2 = 44.275, p < .001) ยังมีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในระดับสูงด้วย ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย คือ ผู้บริหารทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ควรหาแนวทางในการพัฒนาทักษะในการปฏิบัติกิจกรรมทางการพยาบาล รวมถึงภาวะผู้นำตนเอง และความฉลาดทางอารมณ์ อีกทั้งควรส่งเสริมให้มีการปรับปรุงบรรยากาศองค์กรที่เอื้อให้พยาบาลวิชาชีพได้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพPublication Open Access ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสั่งจ่ายยาสมุนไพรของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใน หน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดนนทบุรี(2568) ชลทิวา ทองรัตน์; ศริยามน ติรพัฒน์; ยุวนุช สัตยสมบูรณ์; Chontiwa Thongrat; Sariyamon Tiraphat; Youwanuch Sattayasomboonการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสั่งจ่ายยาสมุนไพรของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดนนทบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานด้านการตรวจรักษา วินิจฉัยโรค และการสั่งจ่ายยาให้กับผู้ป่วยที่มารับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิ จำนวน 230 คน โดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบไคร์สแควร์ ที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติ < 0.05 ผลการวิจัย พบว่า การสั่งจ่ายยาสมุนไพรของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอยู่ในระดับสูง และปัจจัยที่สัมพันธ์กับการสั่งจ่ายยาสมุนไพรของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดนนทบุรีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ อายุ ตำแหน่งปัจจุบัน ประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งปัจจุบัน ประสบการณ์การสั่งจ่ายยาสมุนไพร ความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ทัศนคติต่อยาสมุนไพร ด้านความเชื่อมั่นในคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัยของยาสมุนไพร, ด้านปัญหา อุปสรรคในการสั่งจ่ายยาสมุนไพรและด้านการส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพร การรับรู้นโยบายสนับสนุนด้านยาสมุนไพร ด้านระบบยาสมุนไพร ด้านการสนับสนุนการสั่งจ่ายยาสมุนไพรของ รพ.สต. และการเปิดรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับยาสมุนไพร ผลการวิจัยนี้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ให้ผู้กำหนดนโยบายนำไปใช้วางแผน ปรับปรุงการปฏิบัติงาน และเป็นแนวทางพัฒนาเรื่องการส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในหน่วยบริการปฐมภูมิอย่างเหมาะสมต่อไปPublication Open Access Problems and guidelines for controlling alcoholic beverages(2024) Chardsumon PrutipinyoDue to the Alcoholic Beverage Act of 2008, problems arise in enforcing the law. There is a situation where many agencies wish to amend the law. This article aims to present the issue of the effects of drinking alcohol, alcohol control, and guidelines for amending the law that the Ministry of Public Health intends to address through six important points: 1) Definition of alcoholic beverages referring to the Liquor Act of 1950, which was later repealed by the Excise Tax Act, B.E. 2560, may cause problems when the law is amended in the future. 2) There is a committee system for driving the alcohol control implementation process. The committee is responsible for providing policy guidelines, as well as determining various measures to achieve the success of alcohol control, in accordance with various strategic plans. Implementation of the laws at the local level in a concrete manner and having an effective monitoring system. 3) There are problems with the interpretation of the terms "advertising" and "marketing communication" and issues with law enforcement, such as in the case of traditional celebrations, with exceptions for weddings and diplomatic ceremonies only. 4) Funding or sponsoring activities that provide opportunities for corporate image may directly and indirectly stimulate and cultivate a positive corporate image for children and youth, who will become new drinkers. 5) Promoting and supporting the treatment or rehabilitation of alcohol addicts or those with alcohol consumption problems. This is to promote the good health and well-being of the people. 6) Amendment of penalties appropriately for the current situation. For manufacturers and importers of alcoholic beverages, the penalty is twice as much as for individual violators.Publication Open Access ปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข จังหวัดประจวบคีรีขันธ์(2567) ธัญวรัตน์ ทองเงิน; ศริยามน ติรพัฒน์; ยุวนุช สัตยสมบูรณ์; Thanwarat Thongngun; Sariyamon Tiraphat; Youwanuch Sattayasomboonการศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง วัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับการดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง วิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์และมีอิทธิพลต่อการดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตัวแปรอิสระ ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล และปัจจัยการบริหาร กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 131 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน โดยการหาดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา และความเชื่อมั่นของเครื่องมือ โดยมีระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล ตั้งแต่วันที่ 3 – 17 มกราคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย สถิติไคสแควร์ และสถิติการถดถอยโลจิสติกทวิ ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขมีระดับการบริหารและระดับการดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 50.4, 61.80) ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์สถิติไคสแควร์ ชี้ให้เห็นว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคลด้านรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ปัจจัยการบริหารด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ และด้านบริหารจัดการ ส่วนผลการวิเคราะห์สถิติการถดถอยโลจิสติกทวิ พบว่าในมิติด้านบริหารจัดการมีผลต่อการดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลที่ได้รับจากการวิจัยเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายนำไปใช้ในการวางแผน กำหนดนโยบายหรือแผนการดำเนินงานในการปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงาน และแก้ไขปัญหาอุปสรรค เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงอย่างเหมาะสมต่อไปPublication Open Access คุณภาพชีวิตของแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา จังหวัดสมุทรสาคร(2567) กมลวรรณ สีจันทร์แจ้ง; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; สุคนธา ศิริ; Kamonwan Seejunjang; Chardsumon Prutipinyo; Sukhontha Siriการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา จังหวัดสมุทรสาคร เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม จำนวน 384 คน นําเสนอผลด้วย จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการทดสอบไคสแควร์ ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพชีวิตของแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา จังหวัดสมุทรสาคร โดยรวมอยู่ในระดับต้องปรับปรุง (ร้อยละ 56.51) รายด้าน พบว่า ด้านจิตใจและด้านสุขภาพกาย ส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี ด้านสัมพันธภาพทางสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่อยู่ในระดับต้องปรับปรุง (ร้อยละ 65.10, 56.77, 82.81 และ 87.50 ตามลำดับ) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ จำนวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ด้วยกัน การใช้บริการสุขภาพในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา สถานบริการสุขภาพที่ใช้เป็นประจำ และบริการสุขภาพที่มักใช้ มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) ข้อเสนอแนะ ควรสร้างความเข้าใจกับนายจ้างในการจัดสวัสดิการด้านการเดินทาง การปรับปรุงที่พักอาศัย การปรับชั่วโมงการทำงาน และการจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ให้แก่แรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา ในส่วนของภาครัฐ ควรมีนโยบายสนับสนุนหรือร่วมกันกับนายจ้างในการจัดสวัสดิการ และด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การจัดจ้างล่ามภาษาเมียนมา และการจัดทำเอกสารประชาสัมพันธ์เป็นภาษาเมียนมาให้มากขึ้นPublication Open Access การรับรู้ภาวะผู้นำของหัวหน้าหอผู้ป่วย และความผูกพันต่อองค์กรของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย(2567) กณิกนันต์ หงษ์ทอง; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; สุคนธา ศิริ; Kanicknan Hongthong; Chardsumon Prutipinyo; Sukhontha Siriการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้ภาวะผู้นำของหัวหน้าหอผู้ป่วยและความผูกพันต่อองค์กรของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพ อายุงานตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย รวบรวมแบบสอบถามที่สมบูรณ์ได้ 296 ชุด (ร้อยละ 98.7) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ไคสแควร์ และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า พยาบาลวิชาชีพ มีความผูกพันต่อองค์กรภาพรวมอยู่ระดับปานกลาง ความผูกพันด้านจิตใจและบรรทัดฐานอยู่ระดับสูง ส่วนการคงอยู่ระดับปานกลาง ภาวะผู้นำของหัวหน้าหอผู้ป่วยภาพรวมและทั้ง 11 ด้านอยู่ระดับสูง สถานภาพสมรส เงินเดือนและค่าตอบแทน ประสบการณ์ทำงานตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ และภาวะผู้นำของหัวหน้าหอผู้ป่วย มีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์กร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p<0.05 ภาวะผู้นำของหัวหน้าหอผู้ป่วย เงินเดือนและค่าตอบแทน และสถานภาพสมรส สามารถทำนายความผูกพันต่อองค์กรของพยาบาลวิชาชีพได้ร้อยละ 33.5 (R2 0.335) จากการศึกษาครั้งนี้ ผู้บริหารการพยาบาล ควรให้ความสำคัญมุ่งเน้นการสร้างความผูกพันต่อองค์กรอย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุนการสร้างภาวะผู้นำของหัวหน้าเพื่อพัฒนากลยุทธ์เชิงรุกในการสร้างแรงจูงใจให้กับบุคลากร รวมไปถึงสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาองค์กร และพิจารณาเกณฑ์อัตราค่าตอบแทนเพิ่มตามภาระงานที่เหมาะสมPublication Open Access กลไกการจ่ายและการควบคุมราคาค่าบริการกรณีการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินในต่างประเทศ: ประสบการณ์จาก 5 ประเทศ(2567) อุทุมพร วงษ์ศิลป์; ขวัญประชา เชียงไชยสกุลไทย; ภาสกร สวนเรือง; นำพร สามิภักดิ์; Utoomporn Wongsin; Kwanpracha Chiangchaisakulthai; Passakorn Suanrueang; Numporn Samipukบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อนําเสนอข้อมูลกลไกการจ่ายและการควบคุมราคาค่าบริการกรณีการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยการทบทวนกลไกการจ่ายและกลไกลการควบคุมราคาของต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศไต้หวัน ประเทศสิงคโปร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอังกฤษ หรือประเทศสวีเดน ทั้งนี้เพื่อนํา ไปสู่แนวทางในพัฒนาข้อเสนอกลไกการจ่ายและการควบคุมอัตราการเบิกจ่ายค่าบริการกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินและ ผู้ป่วยไม่ฉุกเฉินในโรงพยาบาลเอกชนในบริบทของประเทศไทย ทั้งนี้ รูปแบบการจ่ายประกอบด้วย การจ่ายตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม (DRG) การจ่ายตามรายการและราคาที่หน่วยบริการเรียกเก็บ (fee for service) และ การร่วมจ่าย (Co-pay) และมาตรฐานในการควบคุมราคาค่าบริการกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติและผู้ป่วยฉุกเฉิน ประกอบด้วย การควบคุมต้นทุนและพัฒนาระบบการให้บริการ การกําหนดอัตราการจ่ายให้กับโรงพยาบาล รวมถึงการปรับใช้การเจรจาต่อรองราคา และการนําเอาระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อจัดเก็บข้อมูลกลางรองรับระบบการตัดสินใจของผู้กําหนดนโยบายPublication Open Access พฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร(2567) ปุณยนุช เกิดวัน; ปิยะธิดา ขจรชัยกุล; พิทยา จารุพูนผล; วันวิสาข์ ศรีสุเมธชัย; สิทธิชัย ทองวร; Poonyanuch Kerdwan; Piyathida Khajornchaikul; Phitaya Charupoonphol; Vanvisa Sresumachai; Sittichai Thongwornการคุกคามทางเพศ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกระจายตัวเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะเกิดปัญหานี้กับเด็กนักเรียนดังนั้นจึงควรหาวิธีมิให้เกิดปัญหาดังกล่าว งานวิจัยเชิงสำรวจภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยประชากรของนักเรียนด้านระดับชั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และประสบการณ์การถูกคุกคามทางเพศ ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ เจตคติ กับพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่สามารถคาดทำนายพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยแบบหลายขั้นตอน (Multistage Random Sampling) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับนักเรียนจำนวน 306 คน วิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอผลด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติไคสแควร์ (Chi-Square) สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Product-Moment Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ความรู้เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศโดยรวม (r = 0.354) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศ ในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) เจตคติต่อการคุกคามทางเพศ (r = 0.373) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศ ในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การรับรู้ความสามารถของตนเองโดยรวม (r = 0.567) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศ ในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) ปัจจัยที่สามารถทำนายพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ได้แก่ การรับรู้ความสามารถของตนเอง ความรู้เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ ซึ่งสามารถทำนายพฤติกรรมป้องกันการคุกคามทางเพศ ได้ร้อยละ 36.1 ข้อเสนอแนะควรส่งเสริมความรู้ให้แก่ นักเรียน และบุคลากรในโรงเรียนทุกฝ่ายเพื่อให้มีความรู้ ความสามารถ และมีทักษะในการป้องกันการคุกคามทางเพศของนักเรียนPublication Open Access การมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร(2567) สุทัศชญา จำนงค์; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; ศริยามน ติรพัฒน์; Sutatchaya Jumnong; Chardsumon Prutipinyo; Sariyamon Tiraphatการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 2) ศึกษาปัจจัยลักษณะส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดยมีรูปแบบการศึกษาแบบวิจัยเชิงพรรณนา ประชากรในการศึกษาคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ที่ปฏิบัติงานในเขตอำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร กำหนดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 311 คน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติไคสแควร์ในการทดสอบความสัมพันธ์ ผลการศึกษาพบว่า ระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับสูง (ร้อยละ54.6) และปัจจัยลักษณะส่วนบุคคลได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้เฉลี่ย และระยะเวลาการเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประโยชน์จากการศึกษาในครั้งนี้ เพื่อให้องค์กรทางด้านสาธารณสุขให้ความสำคัญถึงการดำเนินงานในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ หรือโรคระบาดใหม่ในชุมชน และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานร่วมกันของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เพื่อประสิทธิภาพของงานป้องกันและควบคุมโรคต่อไปPublication Open Access ภาวะหมดไฟของพยาบาลวิชาชีพในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์(2567) สุธิดา ทวิชสังข์; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; ณัฐนารี เอมยงค์; Suthida Tawitsang; Chardsumon Prutipinyo; Natnaree Aimyongการวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาวะหมดไฟ และความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับภาวะหมดไฟของพยาบาลวิชาชีพในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ รวบรวมข้อมูลได้ 134 ชุด ช่วงระหว่างวันที่ 10 – 31 มีนาคม 2566 ใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Multiple Logistics Regression ผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้ ภาวะหมดไฟของพยาบาลวิชาชีพในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ส่วนใหญ่ปกติ ร้อยละ 54.8% มีความเสี่ยงภาวะหมดไฟร้อยละ 29.6 % มีแนวโน้มภาวะหมดไฟ ร้อยละ 14.8% พบว่าความเครียดระดับสูงมีความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟ 6.29 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มความเครียดน้อย (p-value* = 0.006) การวิจัยนี้มีข้อเสนอ ผู้บริหารสามารถนำผลการวิจัยไปเป็นแนวทางในการส่งเสริมการดูแลรักษาสุขภาพทางจิตให้บุคคลากรในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ อาทิ การตรวจ คัดกรอง ประเมินสุขภาพจิต คลินิกให้คำปรึกษารักษาสุขภาพจิต รวมทั้งเป็นแนวทางส่งเสริมสุขภาพจิตให้บุคลากรอื่นๆ ในเรือนจำและทัณฑสถาน ของกรมราชทัณฑ์ได้