ปัจจัยทำนายความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ ในเมืองมาเล ประเทศมัลดีฟส์

Abstract

วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาอิทธิพลของความซับซ้อนของแบบแผนการใช้ยา ความรอบรู้ด้านสุขภาพ สัมพันธภาพระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ การสนับสนุนจากครอบครัว และระยะเวลาของการใช้ยาลดความดันโลหิต ต่อความร่วมมือในการใช้ยาลดความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ ในเมืองมาเล ประเทศมัลดีฟส์

รูปแบบการวิจัย: การวิจัยความสัมพันธ์เชิงทำนาย

วิธีดำเนินการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ จำนวน 172 คน ในเมืองมาเล ประเทศมัลดีฟส์ โดยวิธีการเลือกแบบสะดวก เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความร่วมมือในการใช้ยา แบบวัดความซับซ้อนของแบบแผนการใช้ยา แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบสอบถามสัมพันธภาพระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ และแบบสอบถามการสนับสนุนจากครอบครัว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติก

ผลการวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง 172 คน เป็นเพศชายร้อยละ 61 อายุเฉลี่ย 55.21 ปี (SD = 10.66) มีความร่วมมือในการใช้ยาร้อยละ 54.7 โดยความซับซ้อนของแบบแผนการใช้ยา ความรอบรู้ด้านสุขภาพ สัมพันธภาพระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ การสนับสนุนจากครอบครัว และระยะเวลาของการใช้ยาลดความดันโลหิต สามารถร่วมกันทำนายความร่วมมือในการใช้ยาได้ร้อยละ 36.1 (Nagelkerke R2 = .36) ซึ่งความซับซ้อนของแบบแผนการใช้ยา ความรอบรู้ด้านสุขภาพที่เพียงพอและระดับดีมาก และสัมพันธภาพระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ที่ดี สามารถทำนายความร่วมมือในการใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (OR = .91, 95%CI [ .85, .97], p = .01; OR = 4.83, 95%CI [1.59, 14.62], p = .01; OR = 3.43, 95%CI [1.02, 11.56], p = .05 และ OR = 10.52, 95%CI [3.05, 36.19], p = .01 ตามลำดับ)

สรุปและข้อเสนอแนะ: การศึกษานี้ให้ความเข้าใจเกี่ยวกับการให้ความร่วมมือในการใช้ยาลดความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ ในเมืองมาเล ประเทศมัลดีฟส์ และปัจจัยที่มีผลต่อความร่วมมือในการใช้ยา อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องในผู้ป่วยเหล่านี้ และพยาบาลจะสามารถจัดการกับปัจจัยเหล่านี้อย่างไร เพื่อปรับปรุงความร่วมมือในการรับประทานยาลดความดันโลหิตได้อย่างต่อเนื่อง

Purpose: To examine the influence of complexity of regimen, health literacy, patient-doctor relationship, family support and duration of antihypertensive drug use on antihypertensive medication adherence in patients with essential hypertension in Malé, Maldives.

Design: Correlational predictive study.

Methods: The study includes 172 convenience samples with essential hypertension in Malé, Maldives. Demographic data questionnaire, the Hill-Bone Medication Adherence Subscale, Medication Regimen Complexity Index, the European Health Literacy Survey Questionnaire - short version, The Patient-Doctor Relationship Questionnaire, and Modified Family Support and Conflict scale for patients with essential hypertension were used as research instruments. Data were analyzed using descriptive statistics and logistic regression analysis.

Main findings: Among the 172 participants, 61% were female, mean age was 55.21 (SD = 10.66) and 54.7% of the participants were adherent to antihypertensive medication. Complexity of regimen, health literacy, patient-doctor relationship, family support and duration of antihypertensive drug use accounted for 36.1% of the variance explained in adherence to antihypertensive medication (Nagelkerke R2 = .36). It was also found that complexity of regimen, sufficient and excellent level of health literacy, and high level of patient-doctor relationship were significant predictors of medication adherence (OR = .91, 95%CI [ .85, .97], p = .01; OR = 4.83, 95%CI [1.59, 14.62], p = .01; OR = 3.43, 95%CI [1.02, 11.56], p = .05; and OR = 10.52, 95%CI [3.05, 36.19], p = .01, respectively).

Conclusion and recommendations: This study provides an understanding of antihypertensive medication adherence in patients with essential hypertension in Malé, Maldives, and the factors affecting adherence. However, further research is needed to explore more on factors affecting medication adherence in these patients and how health care providers can address these factors to improve antihypertensive medication adherence.

Article Details