ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินที่มารับบริการ ณ โรงพยาบาลชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์

Abstract

โรคเบาหวานเป็นโรคที่มีความซับซ้อน ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยทั้งในด้านอาหาร การออกกำลังกาย การรับประทานยา เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ การลดความเสี่ยงดังกล่าวผู้ป่วยต้องมีความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม การวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยใช้การศึกษาวิจัยเชิงสำรวจชนิดภาคตัดขวางในผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน ณ โรงพยาบาลชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 200 คน เพื่อหาค่าสถิติเชิงพรรณนา (ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน) การทดสอบสถิติค่าไคร์-สแควร์และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการศึกษาพบกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 59.7 ปี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 10.31 ปี สถานภาพสมรสคู่ การศึกษาชั้นประถมศึกษา อาชีพเกษตรกรรม รายได้ครัวเรือนเฉลี่ย 20,000-34,999 บาท/ปี มีน้าหนักภาวะเกิน เพศหญิงมีค่าเส้นรอบเอวเกิน 80 ซ.ม. มีโรคเบาหวานและ โรคแทรกซ้อนอื่น ๆ เป็นโรคประจำตัว ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด มีความรู้เกี่ยวกับโรคฯในระดับกลาง ทัศนคติต่อโรคฯ ในระดับสูง พฤติกรรมการบริโภค อาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะสมในระดับต่ำ พฤติกรรมการรับประทานยาเบาหวานที่เหมาะสม และภาวะเครียดระดับปานกลาง ผลการวิเคราะห์พบว่า จำนวนโรคประจำตัว ความรู้และทัศนคติ เกี่ยวกับโรคเบาหวาน พฤติกรรมการออกกำลังกาย การรับประทานยา และความเครียดมีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< .05)

Diabetes is a complex disorder that requires attention to diet, exercise, medication adherence, healthy behaviours to achieve good glycemic control to decrease fatal complications risks. Comprehensive knowledge and positive attitude of diabetes and appropriate health behaviours is vitally important to the patients. This cross-sectional survey study was conducted to understand factors associated with blood sugar control behaviours in 200 non-insulin dependent diabetic patients at Chum-Saeng Hospital, Nakorn Sawan province. Descriptive and statistical analyses used in this study included percentage, mean, standard deviation, Chi-square test and Pearson’s correlation coefficient. The results showed, subject variables are majority women, 59.7 average years of ages with standard deviation of 10.31 years; mostly, primary school education, agricultural occupations and 20,000-34,999 Baht/year in household income; mostly, overweight status, waist circumferences upper 80 cm. For female subjects, diabetes and its complication as underlying diseases, national health security service users, uncontrolled-blood sugar status. Most of the subjects showed the scores of testing of, moderate diabetic comprehensive knowledge, higher positive attitudes on diabetes, lower food consumption behaviours and behavioural exercises, moderate appropriate diabetic drug uses and stress. And, there were association between blood sugar- controlling in such samples and underlying diseases, comprehensive knowledge and positive attitudes on diabetes, behavioural exercises, diabetic drug uses and stress (p <.05).