ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และอุปสรรค กับพฤติกรรมของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคอง

Abstract

วัตถุประสงค์:เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และอุปสรรคในการดูแลกับพฤติกรรมของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคอง รูปแบบการวิจัย: การศึกษาความสัมพันธ์วิธีดําเนินการวิจัย:กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลในหอผู้ป่วยเด็กของโรงพยาบาลระดับตติยภูมิขั้นสูงแห่งหนึ่ง จําานวน 95 คน ที่มีประสบการณ์ในการทํางานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และเคยดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคองอย่างน้อย 1 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้ ทัศนคติ อุปสรรคในการดูแลและพฤติกรรมในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของสเปียร์แมน ผลการวิจัย:กลุ่มตัวอย่างมีความรู้และพฤติกรรมอยู่ในระดับมาก มีทัศนคติที่ดี และมีอุปสรรคอยู่ในระดับปานกลางซึ่งทัศนคติมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับต่ำกับพฤติกรรมของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคองอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (rs = .21, p < .05) และอุปสรรคในการดูแลมีความสัมพันธ์ทางลบระดับต่ำกับพฤติกรรมของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคองอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (rs = -.23, p < .05) ส่วนความรู้ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคอง สรุปและข้อเสนอแนะ:จากการศึกษานี้พบว่า อุปสรรคในการดูแลมีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคอง พยาบาลจึงควรมีการอภิปรายร่วมหากลยุทธ์ในการปลูกฝังทัศนคติที่ดีแก่พยาบาล และลดอุปสรรคในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคองเพื่อพัฒนาคุณภาพการพยาบาลให้มีประสิทธิภาพต่อไป

Purpose: To examine the relationship between knowledge, attitude, barriers, and nurses’ behavior in pediatric palliative care. Design: Correlational study design. Methods: The sample included 95 nurses working in the pediatric wards at a super tertiary care hospital. Nurses who were working in pediatric wards more than 1 year and had palliative care experience for at least one pediatric patient were recruited to be the study sample. Data were collected using an assessment form of demographic information, and a set of questionnaires: knowledge of, attitude towards, and barriers to pediatric palliative care, as well as pediatric palliative care behavior. Descriptive statistics and Spearman’s rank correlation coefficient were used in data analysis. Main findings: The subjects had a high level of knowledge and behavior, good attitude, and moderate level of barriers to pediatric palliative care. Attitude was significantly positive correlated at a low level with nurses’ behavior in pediatric palliative care (rs = .21, p < .05). Barriers to care were significantly negative correlated at a low level with nurses’ behavior in pediatric palliative care (rs = -.23, p < .05). Knowledge was not correlated with nurses’ behavior in pediatric palliative care. Conclusion and recommendations: This study shows that attitude towards and barriers to care are negatively correlated with nurses’ behavior in pediatric palliative care. Nurses should discuss on and find out strategies to embrace good attitude to nurses and reduce barriers to pediatric palliative care so that the quality care would be further efficient.