ผลของการให้โคลอสตรุ้มทางปากในทารกเกิดก่อนกำหนดต่ออัตราการติดเชื้อในโรงพยาบาล

Abstract

การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองเพื่อเปรียบเทียบผลของการให้โคลอสตรุ้มทาง ปากในทารกเกิดก่อนกำหนดต่ออัตราการติดเชื้อในโรงพยาบาลระหว่างกลุ่มที่ได้รับโคลอสตรุ้ม ทางปากและกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นทารกเกิดก่อนกำหนด ที่เข้ารับ การรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิดจำนวน 60 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างที่มีคุณสมบัติตาม เกณฑ์ แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 30 ราย ดำเนินการในกลุ่มควบคุมก่อนกลุ่ม ทดลอง กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ และกลุ่มทดลองได้รับการหยดโคลอสตรุ้มทาง ปากจำนวน 0.2 มิลลิลิตรบริเวณกระพุ้งแก้มทั้งสองข้างทุก 3 ชั่วโมง เป็นเวลานาน 7 วันร่วมกับ การพยาบาลตามปกติ รวบรวมข้อมูลการติดเชื้อในโรงพยาบาลจากทะเบียนรายงานผู้ป่วยติดเชื้อ ของโรงพยาบาลวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติไคสแควร์และอัตราส่วนความเสี่ยง (odds ratio) ผลการศึกษาพบว่า อัตราการติดเชื้อในโรงพยาบาลในทารกเกิดก่อนกำหนดที่ได้รับโคลอสตรุ้ม ทางปากและทารกที่ได้รับการพยาบาลตามปกติไม่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรทำการศึกษาวิจัยเพิ่ม เติมเพื่อความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการให้โคลอสตรุ้มทางปากในทารกเกิดก่อนกำหนดเพื่อ ป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล

This quasi-experimental research study aimed at investigating the effect of oropharyngeal colostrum administration on nosocomial infections in preterm infants. The sample was recruited based on the inclusion criteria, consisting of 60 preterm infants admitted into the neonatal intensive care unit. The control group was conducted first, and then the experimental group. Thirty subjects in the experimental group received oral administration of 0.2 ml. of colostrum every three hours for seven days plus usual nursing care, while the other 30 subjects in the control group received only usual nursing care. The data of nosocomial infections were gathered from the medical records of the hospital, and data analysis was conducted using chi-square test and odds ratio. The findings revealed that there was no statistically significant difference in the nosocomial infection rate among preterm infants who received oropharyngeal colostrum administration plus usual nursing care and those who received only usual nursing care. Therefore, further research is needed to better understand how to use oropharyngeal colostrum in premature infants for preventing nosocomial infections.