ประสิทธิผลของโปรแกรมเพศศึกษาและการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยเรียนของ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุพรรณบุรี

Abstract

การวิจัย กึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมเพศศึกษาและการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 65 คน เป็นกลุ่มทดลอง 30 คน กลุ่มเปรียบเทียบ 35 คน กลุ่มทดลองได้เข้าร่วมโปรแกรมเพศศึกษาและการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยเรียน ที่พัฒนาขึ้นโดยประยุกต์แนวคิดแบบจำลองการให้ข้อมูลข่าวสาร การสร้างแรงจูงใจ และพัฒนาทักษะด้านพฤติกรรม เป็นระยะเวลา 7 สัปดาห์ มีกิจกรรม สร้างเสริมความรู้โดยการบรรยายประกอบสื่อสไลด์ สาธิตการสวมถุงยางอนามัยและฝึกปฏิบัติ ฝึกทักษะ การเจรจาต่อรองและการปฏิเสธ การเสริมสร้างแรงจูงใจผ่านกลุ่มไลน์ การเรียนรู้จากตัวแบบทางบวก ส่วน กลุ่มเปรียบเทียบได้รับกิจกรรมการเรียนรู้ตามปกติ รวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการทดลองด้วย แบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired samples t-test และ Independent samples t-test ผลการทดลอง กลุ่มทดลองมีความรู้เรื่องเพศศึกษาและการป้องกัน การตั้งครรภ์ในวัยเรียน เจตคติต่อการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยเรียน การรับรู้ความสามารถตนเองและ พฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยเรียนดีกว่าก่อนการทดลอง และดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ดังนั้นสถานศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สามารถนำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ในการจัดการเรียนการสอนเรื่องเพศศึกษาให้แก่นักเรียนวัยรุ่นโดยปรับใช้ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาของนักเรียนและบริบทของโรงเรียนได้

This study was quasi-experimental research and aimed to test the effectiveness of sexuality education and pregnancy prevention program for junior secondary school in Suphanburi province. The sample of 65 8th grade students from two classes that were randomly assigned into an experimental group (30 students) and a comparison group (35 students). The experimental group received sex education and pregnancy prevention program intervention, Information, Motivation, and Behavioral Skills Model for 7 weeks through lectures with slides, demonstration of condom use, negotiation and abstinence skills, enhancing motivation through social networks line group line and learning from positive role models. The comparison group attended normal class learning activities. Data were collected before and after the experiment using a questionnaire and were analyzed and presented in percentage, mean, standard deviation, while Paired samples ttest and Independent samples t-test were used to test the study hypotheses. After the experiment, the experimental group gained significantly higher mean scores on knowledge about sex and pregnancy prevention; attitude toward pregnancy prevention; perceived self-efficacy and behavioral practices to prevent pregnancy in school than before the experiment and higher than that of the comparison group with p<0.05. Therefore, it is recommended that secondary schools should use this program related to sex and teenage pregnancy to help students the cope with the problems school context