ผลของโปรแกรมพัฒนาทักษะชีวิตต่อการรับรู้ความสามารถของตนเองในการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

Abstract

การวิจัยกึ่งทดลองเพื่อศึกษาผลของโปรแกรม พัฒนาทักษะชีวิตต่อการรับรู้ความสามารถของตนเอง ในการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของนักเรียนหญิง ชั้นมัธยมศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยใช้ แนวคิดทักษะชีวิตร่วมกับทฤษฎีการรับรู้ความสามารถ ตนเอง ผ่านการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในจังหวัด พระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วย กลุ่มทดลองเป็น นักเรียนหญิงจากโรงเรียนวัดพระญาติการาม จำนวน 36 คน ได้รับโปรแกรมพัฒนาทักษะชีวิตเพื่อป้องกัน การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และกลุ่มเปรียบเทียบเป็น นักเรียนหญิงจากโรงเรียนประตูชัย จำานวน 36 คน ได้รับการเรียนการสอนตามปกติ เก็บข้อมูลระหว่าง เดือนพฤศจิกายนถึง ธันวาคม พ.ศ. 2559 วิเคราะห์ ข้อมูลโดยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Chi-square, Independent T-test, และ Paired T-test พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนน ด้านความรู้ฯ การรับรู้ความสามารถของตนเองที่จะมี พฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ความคาดหวัง ในผลดีของการป้องกันการตั้งครรภ์ ทักษะการคิด วิเคราะห์ถึงพฤติกรรมเสี่ยงฯ ทักษะการตัดสินใจและ แก้ไขปัญหา ทักษะการสร้างสัมพันธภาพและการสื่อสาร และทักษะการจัดการกับอารมณ์และความต้องการ ของตนเอง สูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ และสูงกว่า ก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำไปประยุกต์ในการเรียน การสอนสำาหรับนักเรียนหญิงในโรงเรียนหรือจัดอบรม เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตต่อการป้องกันการตั้งครรภ์ ในวัยรุ่นต่อไป

This quasi-experimental research was aimed to study effects of a life skills program on self-efficacy to prevent teenage pregnancy among female school students in Ayutthaya Province. The program was developed by applying the life skills development concept, self-efficacy theory, and participatory learning concept. The samples comprised female mattayomsuksa level 2 students of two schools under the administration of Region 1, Primary Education Area of Ayutthaya. The experimental group comprised 36 female students from Watprayarthigararm School, participating in the life skills program to prevent teenage pregnancy for 4 sessions whereas 36 female students were in the comparison group, from Pratoochai School receiving the normal learning and teaching activities. After the experimentation, one session of teaching and learning activities was organized for the comparison group. Data collection was performed using self-administered questionnaires from November-December, 2016. Data analysis was performed by computing percentage, arithmetic mean, standard deviation, Chi-square, Independent T-test and Paired T-test. The experimental group gained signifi cantly higher mean scores of the following variables than those of the comparison group and those before the experimentation (p<0.001): knowledge on impacts of teenage pregnancy and birth control; perceived self-efficacy to prevent pregnancy; outcome expectation of benefits on prevention of pregnancy; critical thinking skills of sexual risk behaviors; decision making and problem solving skills; interpersonal relationship and communication skills and emotional and coping skills. Related organizations should apply this program in teaching and learning activities provided for female school students or in skills development training programs for preventing teenage pregnancy.