ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการทำหน้าที่ทางเพศของผู้ป่วยชายที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันภายหลังการขยายหลอดเลือดหัวใจ

Abstract

วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาอิทธิพลของความรุนแรงของโรค ความกลัวการเคลื่อนไหว ความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์ การสื่อสารระหว่างผู้ป่วยกับบุคลากรทางสุขภาพ ต่อการทำหน้าที่ทางเพศในผู้ป่วยชายที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันภายหลังการขยายหลอดเลือดหัวใจ

รูปแบบการวิจัย: การศึกษาความสัมพันธ์เชิงทำนาย

วิธีดำเนินการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยชายที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่ได้รับการขยายหลอดเลือดหัวใจที่ตึกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลติตยภูมิขั้นสูงแห่งหนึ่ง จำนวน 126 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและการเจ็บป่วยในเรื่องของความรุนแรงของโรค ความกลัวการเคลื่อนไหว ความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์ การสื่อสารระหว่างผู้ป่วยกับบุคลากรทางสุขภาพ และการทำหน้าที่ทางเพศ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ

ผลการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ ร้อยละ 75.4 และมีอายุเฉลี่ย 55 ปี (SD = 8.48) มีการทำหน้าที่ทางเพศในระดับปานกลางร้อยละ 49.2 และระดับมากร้อยละ 47.6 ความรุนแรงของโรค ความกลัวการเคลื่อนไหว ความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์ และการสื่อสารระหว่างผู้ป่วยกับบุคลากรทางสุขภาพ สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของการทำหน้าที่ทางเพศในผู้ป่วยชายที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันภายหลังการขยายหลอดเลือดหัวใจได้ ร้อยละ 5.2 (adjusted R2 = .05) ความรุนแรงของโรค (β = .19, p < .05) ความกลัวการเคลื่อนไหว (β = - .18, p < .05) เป็นเพียงสองปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการทำหน้าที่ทางเพศอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

สรุปและข้อเสนอแนะ: ความรุนแรงของโรค และความกลัวการเคลื่อนไหวมีอิทธิพลต่อการทำหน้าที่ทางเพศ ดังนั้นพยาบาลและบุคลากรทางสุขภาพควรประเมินความกลัวการเคลื่อนไหวและความรุนแรงของโรค เพื่อที่จะบริหารจัดการความกลัวการเคลื่อนไหวและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมกับความรุนแรงของโรค เพื่อส่งเสริมการทำหน้าที่ทางเพศของผู้ป่วยชายที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันภายหลังการขยายหลอดเลือดหัวใจ

Purpose: The research aimed to study the influence of disease severity, fear of movement, sexual knowledge and patient healthcare provider communication on sexual function of the male patients with acute coronary syndrome post percutaneous coronary intervention.

Design: Correlational predictive design.

Methods: The sample comprised 126 male patients with acute coronary syndrome post PCI at outpatient department in a super-tertiary hospital. Data were collected using questionnaires on demographic and illness data including disease severity, fear of movement, sexual knowledge, patient healthcare provider communication, and sexual function. Data were analyzed using descriptive statistics and multiple regression analysis.

Main findings: The results showed that 75.4% of the samples were adults. Mean age of the total sample was 55 years (SD = 8.48). Precisely 49.2% had moderate sexual function and 47.6% had high sexual function. Disease severity, fear of movement, sexual knowledge and patient healthcare provider communication were jointly explained 5.2 percent of variance of sexual function in male patients with acute coronary syndrome post PCI (adjusted R2 = .05). Disease severity (β = .19, p < .05) and fear of movement (β = - .18, p < .05) were only two significant factors influencing sexual function.

Conclusion and recommendations: Disease severity and fear of movement can influence sexual function. Hence, nurses and healthcare team should assess disease severity and fear of movement so as to manage fear of movement and advice the appropriate activities related to disease severity to promote sexual function of male patients with acute coronary syndrome post percutaneous coronary intervention.