Publication: Factors associated with medication adherence among type 2 Diabetes patients in a private clinic in Yangon, Myanmar
Issued Date
2017
Resource Type
Language
eng
ISSN
1905-1387
Rights
Mahidol University
Rights Holder(s)
ASEAN Institute for Health Development Mahidol University
Bibliographic Citation
Journal of Public Health and Development. Vol. 15, No.1 (Jan - Apr 2017), 1-18
Suggested Citation
Wai Yan Maung Maung, Sariyamon Tiraphat, Apa Puckpinyo Factors associated with medication adherence among type 2 Diabetes patients in a private clinic in Yangon, Myanmar. Journal of Public Health and Development. Vol. 15, No.1 (Jan - Apr 2017), 1-18. Retrieved from: https://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/2007
Research Projects
Organizational Units
Authors
Journal Issue
Thesis
Title
Factors associated with medication adherence among type 2 Diabetes patients in a private clinic in Yangon, Myanmar
Other Contributor(s)
Abstract
This cross-sectional quantitative research was designed to determine the proportion of adherence to oral
hypoglycemic agents (OHAs) and to explore factors associated with medication adherence among type 2 diabetes
patients in a private clinic in Yangon, Myanmar. A total of 396 type 2 diabetes patients were face to face
interviewed between April and May 2016. Chi-square test and multiple logistic regression were used to
analyze the data.
More than half (65.9%) of the patients were reported as good adherence to oral-hypoglycemic agents. The
result showed that significant predictors associated with medication adherence included household income, number
of under 12 children, knowledge on diabetes, perceived susceptibility, perceived severity, perceived benefits,
perceived barriers, self-efficacy, family support and cues to action. In multiple logistic regression, significant
predictors associated with adherence to oral hypoglycemic agents (OHAs) include high level of diabetes
knowledge (Adj OR = 3.55, 95% CI = 1.89 – 6.66), positive perceived susceptibility to diabetes complications
(Adj OR = 2.08, 95% CI = 1.08 – 4.00), positive perceived severity of diabetes mellitus (Adj OR = 2.54,
95% CI = 1.30 – 4.93), positive perception on barriers (Adj OR = 2.73, 95% CI = 1.50 – 4.97) and high
level of self-efficacy (Adj OR = 4.14, 95% CI = 1.99 – 8.61).
The result of this study indicated that health education and health promotion programs should be
promoted in order to expand the knowledge of diabetes and life-style modifications.
การวิจัยแบบภาคตัดขวางเชิงปริมาณในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อหาสัดส่วนของความร่วมมือในการกินยาเม็ดลด ระดับน้ำตาลในเลือดและเพื่อสำรวจปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอสำหรับผู้ป่วยเบา หวานชนิดที่ 2 ที่คลินิกเอกชนในเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า จำนวนผู้ป่วยทั้งหมดรวม 396 ราย ได้รับการสัมภาษณ์ ระหว่างเดือนเมษายน ถึง พฤษภาคม 2559 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การทดสอบไคสแควร์ และการถดถอยโลจิสติก พหุคูณ มากกว่าครึ่งหนึ่ง (65.9%) ของผู้ป่วยรายงานว่าให้ความร่วมมือในการกินยาเม็ดลดระดับน้ำตาลใน เลือด ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่ รายได้ของครัว เรือน จำนวนของบุตรที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยงของการเกิด โรคการรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรค การตระหนักในความสามารถตนเอง การสนับสนุนจากครอบครัว และ สิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติ การถดถอยโลจิสติกพหุคูณทำนายว่าปัจจัยที่ มีผลต่อความร่วมมือในการกินยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในเลือด ประกอบด้วย ผู้ป่วยที่มีความรู้เกี่ยวกับโรค เบาหวานในระดับที่สูง (Adj OR = 3.55, 95% CI = 1.89-6.66) ผู้ป่วยที่มีการรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยงของ การเกิดโรคในระดับที่สูง (Adj OR = 2.08, 95% CI = 1.08-4.00) ผู้ป่วยที่มีการรับรู้ความรุนแรงของโรค เบาหวานในระดับที่สูง (Adj OR = 2.54, 95% CI = 1.30-4.93) ผู้ป่วยที่มีการรับรู้ในเชิงบวกต่ออุปสรรคของโรค (Adj OR = 2.73, 95% CI = 1.50-4.97) และผู้ป่วยที่รับรู้ความสามารถของตนเองในระดับที่สูง (Adj OR = 4.14, 95% CI = 1.99-8.61) ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ ใี้ห้เห็นว่าการให้ความรู้ด้านสุขศึกษาและการส่งเสริมสุขภาพควรจะได้รับการส่งเสริมเพื่อ ที่จะขยายความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต
การวิจัยแบบภาคตัดขวางเชิงปริมาณในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อหาสัดส่วนของความร่วมมือในการกินยาเม็ดลด ระดับน้ำตาลในเลือดและเพื่อสำรวจปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอสำหรับผู้ป่วยเบา หวานชนิดที่ 2 ที่คลินิกเอกชนในเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า จำนวนผู้ป่วยทั้งหมดรวม 396 ราย ได้รับการสัมภาษณ์ ระหว่างเดือนเมษายน ถึง พฤษภาคม 2559 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การทดสอบไคสแควร์ และการถดถอยโลจิสติก พหุคูณ มากกว่าครึ่งหนึ่ง (65.9%) ของผู้ป่วยรายงานว่าให้ความร่วมมือในการกินยาเม็ดลดระดับน้ำตาลใน เลือด ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่ รายได้ของครัว เรือน จำนวนของบุตรที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยงของการเกิด โรคการรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรค การตระหนักในความสามารถตนเอง การสนับสนุนจากครอบครัว และ สิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติ การถดถอยโลจิสติกพหุคูณทำนายว่าปัจจัยที่ มีผลต่อความร่วมมือในการกินยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในเลือด ประกอบด้วย ผู้ป่วยที่มีความรู้เกี่ยวกับโรค เบาหวานในระดับที่สูง (Adj OR = 3.55, 95% CI = 1.89-6.66) ผู้ป่วยที่มีการรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยงของ การเกิดโรคในระดับที่สูง (Adj OR = 2.08, 95% CI = 1.08-4.00) ผู้ป่วยที่มีการรับรู้ความรุนแรงของโรค เบาหวานในระดับที่สูง (Adj OR = 2.54, 95% CI = 1.30-4.93) ผู้ป่วยที่มีการรับรู้ในเชิงบวกต่ออุปสรรคของโรค (Adj OR = 2.73, 95% CI = 1.50-4.97) และผู้ป่วยที่รับรู้ความสามารถของตนเองในระดับที่สูง (Adj OR = 4.14, 95% CI = 1.99-8.61) ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ ใี้ห้เห็นว่าการให้ความรู้ด้านสุขศึกษาและการส่งเสริมสุขภาพควรจะได้รับการส่งเสริมเพื่อ ที่จะขยายความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต