การพัฒนารูปแบบการจัดการอาหารเพื่อสุขภาพผู้สูงอายุจังหวัดนครปฐม

Abstract

ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ ในอีก 3 ปีข้างหน้า จึงจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับ สถานการณ์นี้ โดยเฉพาะด้านสุขภาพอนามัยของ ผู้สูงอายุ การวิจัยนี้เป็นการพัฒนารูปแบบการจัดการ อาหารเพื่อสุขภาพผู้สูงอายุจังหวัดนครปฐม โดยการ เสริมสร้างความรู้และพัฒนาพฤติกรรมการบริโภค อาหารที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งมีแกนนำผู้สูงอายุ 238 คน และผู้สูงอายุ 769 คน จาก 19 ตำบล ใน 7 อำเภอ เข้าร่วมโครงการ ผู้วิจัยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 370 คน เพื่อประเมินผลโครงการในด้านความรู้และ พฤติกรรมการบริโภคอาหารเปรียบเทียบก่อนและหลัง การดำเนินกิจกรรม กระบวนการวิจัย เน้นการสร้าง การมีส่วนร่วมและการพัฒนาศักยภาพในการค้นหา วางแผน และพัฒนารูปแบบการจัดการอาหารที่ เหมาะสมในกลุ่มผู้สูงอายุ จากการศึกษาพบว่า รูปแบบ การจัดการอาหารในแต่ละอำเภอมีความคล้ายคลึงกัน คือ เริ่มจากการปลูกผักผลไม้ในครัวเรือน และในแปลง ชุมชน จากนั้นนำผลผลิตมาร่วมกันพัฒนาตำรับอาหาร รวมทั้งมีการถนอม/แปรรูปอาหารจากผลผลิตที่มากเกิน ความต้องการในการบริโภค จากรูปแบบการจัดการ อาหารในครัวเรือนและชุมชนนี้ ช่วยสนับสนุนให้ ผู้สูงอายุสามารถดูแลสุขภาพของตนเองด้วยการปรุง ประกอบอาหารลดความหวาน มัน เค็ม รวมทั้งบริโภค ผักผลไม้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งแนวทางการศึกษาในขั้นต่อไป ควรเป็นการเปรียบเทียบรูปแบบที่แตกต่างกันระหว่าง จังหวัด และขยายเวลาการดำเนินงานเป็น 2 ปี เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของการพัฒนา

Thailand will become completely aged society in the next 3 years. Hence, Thailand needs readiness to respond to related situations, especially health problems among the elderly. This research aimed to develop a food management model in Nakhon Pathom Province suitable for elderly health accompanied by educating and improving food consumption behavior. The participants comprised of 238 elderly leaders and 769 elderly individuals from 19 subdistricts of 7 districts. Overall, 370 people were randomly selected as representative for the evaluation of knowledge and behavior by comparing pre- and postimplementation. The research process focused on building participation and developing the potential of the elderly, i.e., searching and planning to develop a suitable food management model. The result elucidated that the food management models in each district were relatively the same, i.e., vegetable and fruit gardening at home, as well as, in community areas. Healthy recipes were developed using cultivated raw food materials, and subsequently, excessive raw materials were preserved and processed. Implementation of food management models in households and communities supported elderly self-care in the context of reducing sugar, fat and sodium in the cooking process, along with an increase in vegetable and fruit consumption. The next step of the study should compare the food management models among the different subdistricts, as well as, extending the implementation for two years in sustainable development.