ผลของการให้โคลอสตรุ้มทางปากต่อระดับอิมมูโนโกลบูลลินเอในทารกเกิดก่อนกำหนด

Abstract

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองเพื่อศึกษาผลของการให้โคลอสตรุ้มทางปากต่อ ระดับอิมมูโนโกลบูลินเอในทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีอายุครรภ์ระหว่าง 28-32 สัปดาห์ที่เข้ารับ การรักษาในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิดจำนวน 10 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ที่กำหนด กลุ่มตัวอย่างได้รับการหยดโคลอสตรุ้มทางปากบริเวณกระพุ้งแก้มทั้งสองข้างปริมาณ 0.2 มิลลิลิตร ทุก 3 ชั่วโมงเป็นเวลานาน 7 วัน เริ่มหยดโคลอสตรุ้มให้ภายใน 48 ชั่วโมงหลังคลอด และวัดระดับของอิมมูโนโกลบูลินเอในปัสสาวะก่อนได้รับโคลอสตรุ้มทางปากใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด และหลังจากได้รับโคลอสตรุ้มทางปากวันที่ 5 และวันที่ 14 หลังคลอด วิเคราะห์ความแตกต่าง ของค่าเฉลี่ยระดับอิมมูโนโกลบูลินเอในปัสสาวะ โดยใช้สถิติ One-way repeated measures ANOVA ผลการวิจัย พบว่า ระดับอิมมูโนโกลบูลินเอในปัสสาวะของทารกเกิดก่อนกำหนด ก่อนได้ รับโคลอสตรุ้มทางปากใน 24 ชั่วโมงหลังคลอดมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 117.47 นาโนกรัม/มิลลิลิตร และหลังจากได้รับโคลอสตรุ้มทางปากวันที่ 5 และวันที่ 14 หลังคลอดมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 101.97 และ 809.96 นาโนกรัม/มิลลิลิตรตามลำดับ อย่างไรก็ตาม พบว่า ค่าเฉลี่ยระดับ อิมมูโนโกลบูลินเอในปัสสาวะของทารกเกิดก่อนกำหนด ก่อนและหลังได้รับโคลอสตรุ้มทางปาก ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงยังไม่สามารถสรุปความสัมพันธ์ระหว่างการให้ โคลอสตรุ้มทางปากกับระดับของอิมมูโนโกลบูลินเอได้อย่างชัดเจน ดังนั้น จึงควรมีการศึกษาวิจัย ต่อไปเกี่ยวกับระดับของอิมมูโนโกลบูลินเอ ในทารกเกิดก่อนกำหนดที่ได้รับโคลอสตุ้มทางปาก เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลทารกเกิดก่อนกำหนด

The present quasi-experimental study aimed to investigate the effect of oropharyngea ladministration of colostrum on the levels of immunoglobulin A in preterm infants with a gestational age of less than 32 weeks,who were admitted into the neonatal wards. The 10 preterm infants were recruited based on the inclusion criteria. They received oral administrations 0.2 ml of colostrum every three hours for seven consecutive days. The oral administration began within 48 hours after birth. The secretory immunoglobulin A (sIgA) in urine was measured before oropharyngeal administration of colostrum within 24 hours after birth and after oropharyngeal administration of colostrum on the 5th and 14th days after birth. The difference in the average of sIgA in urine was determined using one-way ANOVA with repeated measures. The results showed that the average level of sIgA in urine of the preterm infants before oropharyngeal administration of colostrum within 24 hours after birth was 117.47 ng/mL, and after oropharyngeal administration of colostrum on the 5th and 14th days after birth were 101.97 ng/mL and 809.96 ng/mL respectively. However, the average of sIgA in urine of preterm infants before and after oropharyngeal administration of colostrum had no statistically significant difference. It is premature to conclude the relationship between the levels of sIgA and oropharyngeal administration of colostrum in preterm infants. Therefore more studies in a larger sample with a control group are needed to better understand the relationship, thereby plannin gcare for preterm infants appropriately.