The effectiveness of integrated budgeting management for fighting corruption

Abstract

This research aimed to 1) study the existing problems during public sector operation to prevent and suppress corruption and misconduct, 2) analyze factors leading to effectiveness, and 3) investigate appropriate direction to manage budget. The research emphasizing qualitative approach employed 55 key informants who were involved with integrated budget management and anticorruption matters. The research instruments were in-depth interview (IOC = 0.84), the Delphi technique questionnaires (IOC = 0.97), and the record form of the focus group (IOC = 0.79). The instrument quality validation was checked through the content validity and the Index of Item Objective Congruence (IOC) values. The research findings revealed that the problems occurred within division which is ineffective anti-corruption tool were due to the negligence of organization leader, no enforcement on preventive measures or no serious disciplinary action to strengthen internal audit, and lack of moral atmosphere and good governance. Also, human resource management frequently applied a patronage system based on favoritism, whereas true value and ethics has not been embedded under the Merit System so that those who seized opportunity for personal gain or career advancement would allow themselves to foster crooked policies and facilitate corrupt transaction. Politics, management, resources, and good governance led to effectiveness in budgeting management, which coincided with John P. Campbell's 19 criteria: overview efficiency, effectiveness, quality, job performance satisfaction, motivation, morale, control, conflict, unity, stability, involvement and decentralization, highlight successes, plan and targeting, objective consensus, understanding organization purposes, consistency between role and norms, skill in human resource management, work management, managing information and communication, and readiness. The Integrated Budget Management should apply the mechanism tactic of "Team Thailand Anti-Corruption 4.0" with understanding, synergy and sincerity. The use of CPS (cultivate prevention-suppression) or the practice of 3Cs (cultivate-counter-conquer) with sharing resources between 2 divisions and more to deliver outputs in the form of value chain at upstream-midstream and downstream must be acknowledged. Also, the National Committee must oversee the operation with permanent management structure. CEOs (Chief Executive Officer) must adopt the concept on the integrated management routine to consistent work rather than ad hoc missions. NACC should be the hosts in supervising and aligning with the AOCs (Anti-Corruption Operation Centers) between Agenda/Function/Area Based (ministries, department, agencies in the regions, provinces, provincial groups, zones, and local government) in order to reach the expected outcomes in alignment with the indicators of integrated budgeting plan with more concrete and practical manual

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในการบริหารงานภาครัฐเพื่อป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ 2) ศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยที่ก่อให้เกิดประสิทธิผลต่อการบริหารงบประมาณแผนบูรณาการ 3) ศึกษาแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารงบประมาณ การวิจัยใช้เทคนิคเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ผู้ให้ข้อมูลหลักคือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงบประมาณแผนบูรณาการและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ จำนวน 55 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (ค่า IOC = 0.84) แบบสอบถามความคิดเห็นด้วยเทคนิคเดลฟาย (ค่า IOC = 0.97) แบบบันทึกข้อมูลการสนทนากลุ่ม (ค่า IOC = 0.79) การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น คือกลไกป้องกันการทุจริตของหน่วยงานไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากผู้นำองค์กรละเลย การบริหารงานไม่มีการบังคับใช้มาตรการด้านการป้องกันหรือไม่มีการลงโทษทางวินัยอย่างจริงจัง ขาด การสร้างความเข้มแข็งให้ระบบตรวจสอบภายใน (Internal Audit) ขาดการส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศจริยธรรม (Moral Atmosphere) และธรรมาภิบาล (Good Governance) การบริหารงานบุคคลยังเป็นระบบอุปถัมภ์ ใช้ระบบพรรคพวก ยังไม่เกิดการปลูกฝังค่านิยม จริยธรรมภายใต้ระบบคุณธรรม (Merit System) ความรู้ความสามารถ หากมีโอกาสได้รับ ผลประโยชน์ส่วนตัวหรือความก้าวหน้าในตำแหน่งจะยินยอมเป็นคนกลางเพื่อสนองตอบนโยบายและร่วมมือทุจริตคอร์รัปชั่น ปัจจัยที่ก่อให้เกิดประสิทธิผลต่อการบริหารงบประมาณ ประกอบด้วย ด้านการเมือง ด้านการบริหาร ด้านทรัพยากร และด้านธรรมาภิบาล ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์การวัดประสิทธิผลองค์กรตามแนวคิดของ John P. Campbell จำนวน 19 เกณฑ์ ได้แก่ ประสิทธิผลภาพรวม ประสิทธิภาพ คุณภาพ ความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน การจูงใจ ขวัญกำลังใจ การควบคุม ความขัดแย้ง-ความสามัคคี เสถียรภาพ การมีส่วนร่วมและการกระจายอำนาจ การเน้นความสำเร็จ การวางแผนและการกำหนดเป้าหมาย ฉันทามติของเป้าประสงค์ การเข้าใจเป้าประสงค์ขององค์การ ความสอดคล้องระหว่างบทบาทและปทัฏฐาน ทักษะการจัดการบุคคล ทักษะการจัดการงาน การจัดการข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร ความพร้อมแนวทางการบริหารงบประมาณที่เหมาะสม คือ ใช้กลไก "การจัดการงบประมาณแบบบูรณาการ" มีองค์ประกอบ "ความเข้าใจ ร่วมใจ และจริงใจ" ร่วมมือกันปฏิบัติงานรูปแบบบูรณาการเป็น "ทีมงาน" หรือ "ทีม Thailand Anti-Corruption 4.0" โดยใช้กลยุทธแบบเครือข่ายในการดำเนินงาน 3 ป. คือ ปลูกฝัง - ป้องกัน - ปราบปราม มีการใช้ทรัพยากรร่วมกันตั้งแต่ 2 หน่วยงานขึ้นไปเพื่อนำส่งผลผลิตลักษณะห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ต้นน้ำ - กลางน้ำ - ปลายน้ำ กำกับและบริหารงานโดยคณะกรรมการระดับชาติ โครงสร้างการบริหารแบบถาวร นำรูปแบบผู้บริหารระดับสูง (CEO) มาปรับใช้ ร่วมกันปฏิบัติงานในทุกขั้นตอนแบบภารกิจปกติ (Routine) ต่อเนื่อง ป.ป.ช. เป็นเจ้าภาพ ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) ทำหน้าที่เชื่อมโยงมิตินโยบายสำคัญ - กระทรวง หน่วยงาน - พื้นที่ (ภาค จังหวัด กลุ่มจังหวัด เขตและท้องถิ่น) เพื่อผลลัพธ์ตามตัวชี้วัดเป้ าหมายของแผนงานบูรณาการที่วัดผลสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีคู่มือที่ชัดเจน