Self-reflexive and self-practices of the obesity children : a case study of the sixth grade students in Ubonratchatani province
Issued Date
2023
Copyright Date
2012
Language
eng
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
x, 241 leaves
Access Rights
restricted access
Rights Holder(s)
Mahidol University
Bibliographic Citation
Thesis (Ph.D. (Medical and Health Social Sciences))--Mahidol University, 2012
Suggested Citation
Jutipon Ponkerd Self-reflexive and self-practices of the obesity children : a case study of the sixth grade students in Ubonratchatani province. Thesis (Ph.D. (Medical and Health Social Sciences))--Mahidol University, 2012. Retrieved from: https://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/89523
Title
Self-reflexive and self-practices of the obesity children : a case study of the sixth grade students in Ubonratchatani province
Alternative Title(s)
การคิดไตร่ตรองสะท้อนตัวตนและการปฏิบัติตัวของเด็กอ้วน : กรณีศึกษานักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดอุบลราชธานี
Author(s)
Advisor(s)
Abstract
Qualitative case studies of obese children regarding self-reflexive thoughts and selfreactions against their obesities were established at a primary school in Ubonratchatani Province. The study objectives were 1) to explore the social construction of obesity (by families, school teachers and friends, and the social media) in aspects of meaning and social actions in response to child obesity and 2) to explore self-reflexive thoughts and self-practices against obesities of obese children. Sixteen participants were the sixth-grade students who were identified as obese by body mass index criteria. Data was collected during September, 2010 to February, 2011 by written self-stories, pictorial ethnography, in-depth interviews, non-participation observation and focus groups. The first finding was obese children initially realized that obesity was normal and a family preference. This was because their families, the main determination, had constructed the meaning of obesity in children as 'healthy children' since their children were little kids. Not only constructing the positive meaning, parents also treated their children to become obese. For example, there was no limit on the amount of food; and junk or sweet foods that were given to the children as rewards. Obese children thought that in spite of their fat bodies, nothing was harmful to them. They still enjoyed eating and ignored warnings or orders to have some exercise from their parents. The second finding was obese children had to rethink the meaning of obesity when they were in different circumstances, such as situations in school. At school, they interacted with some persons (friends and teachers) who teased them about their obesity or treated them as disgusting persons. Moreover, they needed to join compulsory school activities that were sometimes so hard for obese persons, such as physical exercises. Besides, the regular activity of growth monitoring by body weight repeatedly made them perceive that they are abnormal persons. All of these experiences lead them to realize that obesity is a threat since a fat body is socially undesirable. Obese children then struggled to be socially accepted such as joining activities that they were important persons like playing 'Cha-ka-Yeau'. The third finding was the social media were more significant determining than the family and the school. Television media demonstrated some interconnections from obesity to diseases, beauty, and sexual attraction. Obese children then perceived obesity as fatal and disturbance of forming self-identity. As a result, some of the obese-child participants could reform themselves. Initially, they chose their identity based on their desires. Then, they develop their self-control to derive their desired bodies. The first suggestion is for the family. Families should realize their way of thinking and taking care of their children influence the future habits of their children. Parents should provide the meaning of 'healthy' as that is acquired by a balance of good diets and appropriate exercises. Also, parents should help their children to have discipline. The second suggestion is for the school as the place to officially detect obesity. School teachers should set special programs for obese students so that the activities are suitable for them and they feel free to join. The last suggestion is to monitor the social media since obese children are influenced by both positive and negative effects of the social media. Parents and teachers should be aware of some possible negative effects by the media.
การศึกษาเรื่องการคิดไตร่ตรองสะท้อนตัวตน และการปฏิบัติตัวของเด็กอ้วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จังหวัด อุบลราชธานี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการประกอบสร้างความหมายและการปฏิบัติเกี่ยวกับความอ้วนของครอบครัว โรงเรียน และสื่อโฆษณา 2) เพื่อศึกษาการคิดไตร่ตรองสะท้อนตัวตน และการปฏิบัติตัวของเด็กอ้วน ผู้เข้าร่วมวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 16 คน มีความอ้วนตามดัชนีมวลกาย การเก็บข้อมูลประกอบด้วย การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม การวาดรูป การเขียนเรียงความ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสัมภาษณ์กลุ่ม เก็บข้อมูลเดือนกันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554 ข้อค้นพบ ประเด็นแรก ครอบครัวเป็นตัวกำหนดหลักในการประกอบสร้างความหมายความอ้วนตั้งแต่แรกเกิดว่า เด็กอ้วนคือเด็กแข็งแรง และใช้อาหาร ขนมบำรุงเลี้ยงและเป็นรางวัลในเวลาเดียวกัน จนเด็กไตร่ตรองว่าความอ้วน คือ ความปกติ เป็นที่ยอมรับของพ่อแม่ และถึงแม้ร่างกายอ้วนก็ยังไม่เป็นปัญหาใดใด เด็กยังคงมีความสุขกับการรับประทาน และไม่สนใจการเตือนหรือ บังคับให้ออกกำลังกาย ประเด็นที่สอง เมื่อเด็กอ้วนเข้าสู่โรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างไปจากบ้าน คือ เพื่อน ครู วิชาที่เรียน ซึ่งเป็นเงื่อนไขต่อการปฏิสัมพันธ์ของเด็กอ้วน เช่น การล้อเลียน การเคลื่อนไหวร่างกายในการเรียนวิชาพลศึกษาที่ไม่เอื้อต่อความอ้วน และการชั่งน้ำหนักในกิจกรรมสาธารณสุข เป็นต้น ทำให้เด็กเริ่มคิดไตร่ตรองว่าความอ้วนเป็นสิ่งที่คุกคาม ร่างกายที่อ้วนเป็นสิ่งที่สังคมไม่พึงปรารถนา เด็กจึงพยายามปฏิบัติตนให้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มให้ได้ อาทิ การเลือกเล่นชักเย่อ เป็นต้น ประเด็นที่สาม สื่อโทรทัศน์ส่งผลต่อความคิดเกี่ยวกับความอ้วนมากกว่าตัวกำหนดจากครอบครัวและโรงเรียน โดยสื่อโทรทัศน์เชื่อมโยงความอ้วนกับโรค ความสวยงามและเรื่องเพศ จนเด็กไตร่ตรองว่าความอ้วนเป็นอันตรายทั้งสุขภาพและรูปลักษณ์ จนในที่สุด เด็กอ้วนส่วนหนึ่งเลือกการสะท้อนตัวตนด้วยการปรับสร้างตัวตนใหม่ อาทิ การควบคุมจัดระเบียบร่างกายตนเอง และการเลือกอัตลักษณ์ของตนเองตามความต้องการ เป็นต้น ข้อเสนอแนะ สถาบันครอบครัว ควรปรับเปลี่ยนการให้ความคิดและวิธีการเลี้ยงดูเด็กแต่แรกเริ่ม โดยมองว่าสุขภาพดี คือความสมดุลย์ระหว่างอาหารและการออกกำลังกาย ครอบครัวควรสร้างความมีวินัยให้กับเด็ก สถาบันโรงเรียน ซึ่งเป็นสถาบันที่เผชิญสถานการณ์ที่สภาพร่างกายเด็กอ้วนเข้าเกณฑ์ ควรมีแนวทางจัดกิจกรรมให้มีความเฉพาะสำหรับเด็กอ้วน เพื่อให้เด็กอ้วนได้ร่วมทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ และสื่อเป็นสถานบันที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อเด็กอ้วน อย่างไรก็ตามสื่ออาจส่งผลทั้งด้านบวกและด้านลบผู้ปกครองและครูควรเฝ้าระวังและให้คำแนะนำ ในกรณีที่สื่ออาจส่งผลด้านลบแก่เด็กอ้วน
การศึกษาเรื่องการคิดไตร่ตรองสะท้อนตัวตน และการปฏิบัติตัวของเด็กอ้วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จังหวัด อุบลราชธานี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการประกอบสร้างความหมายและการปฏิบัติเกี่ยวกับความอ้วนของครอบครัว โรงเรียน และสื่อโฆษณา 2) เพื่อศึกษาการคิดไตร่ตรองสะท้อนตัวตน และการปฏิบัติตัวของเด็กอ้วน ผู้เข้าร่วมวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 16 คน มีความอ้วนตามดัชนีมวลกาย การเก็บข้อมูลประกอบด้วย การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม การวาดรูป การเขียนเรียงความ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสัมภาษณ์กลุ่ม เก็บข้อมูลเดือนกันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554 ข้อค้นพบ ประเด็นแรก ครอบครัวเป็นตัวกำหนดหลักในการประกอบสร้างความหมายความอ้วนตั้งแต่แรกเกิดว่า เด็กอ้วนคือเด็กแข็งแรง และใช้อาหาร ขนมบำรุงเลี้ยงและเป็นรางวัลในเวลาเดียวกัน จนเด็กไตร่ตรองว่าความอ้วน คือ ความปกติ เป็นที่ยอมรับของพ่อแม่ และถึงแม้ร่างกายอ้วนก็ยังไม่เป็นปัญหาใดใด เด็กยังคงมีความสุขกับการรับประทาน และไม่สนใจการเตือนหรือ บังคับให้ออกกำลังกาย ประเด็นที่สอง เมื่อเด็กอ้วนเข้าสู่โรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างไปจากบ้าน คือ เพื่อน ครู วิชาที่เรียน ซึ่งเป็นเงื่อนไขต่อการปฏิสัมพันธ์ของเด็กอ้วน เช่น การล้อเลียน การเคลื่อนไหวร่างกายในการเรียนวิชาพลศึกษาที่ไม่เอื้อต่อความอ้วน และการชั่งน้ำหนักในกิจกรรมสาธารณสุข เป็นต้น ทำให้เด็กเริ่มคิดไตร่ตรองว่าความอ้วนเป็นสิ่งที่คุกคาม ร่างกายที่อ้วนเป็นสิ่งที่สังคมไม่พึงปรารถนา เด็กจึงพยายามปฏิบัติตนให้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มให้ได้ อาทิ การเลือกเล่นชักเย่อ เป็นต้น ประเด็นที่สาม สื่อโทรทัศน์ส่งผลต่อความคิดเกี่ยวกับความอ้วนมากกว่าตัวกำหนดจากครอบครัวและโรงเรียน โดยสื่อโทรทัศน์เชื่อมโยงความอ้วนกับโรค ความสวยงามและเรื่องเพศ จนเด็กไตร่ตรองว่าความอ้วนเป็นอันตรายทั้งสุขภาพและรูปลักษณ์ จนในที่สุด เด็กอ้วนส่วนหนึ่งเลือกการสะท้อนตัวตนด้วยการปรับสร้างตัวตนใหม่ อาทิ การควบคุมจัดระเบียบร่างกายตนเอง และการเลือกอัตลักษณ์ของตนเองตามความต้องการ เป็นต้น ข้อเสนอแนะ สถาบันครอบครัว ควรปรับเปลี่ยนการให้ความคิดและวิธีการเลี้ยงดูเด็กแต่แรกเริ่ม โดยมองว่าสุขภาพดี คือความสมดุลย์ระหว่างอาหารและการออกกำลังกาย ครอบครัวควรสร้างความมีวินัยให้กับเด็ก สถาบันโรงเรียน ซึ่งเป็นสถาบันที่เผชิญสถานการณ์ที่สภาพร่างกายเด็กอ้วนเข้าเกณฑ์ ควรมีแนวทางจัดกิจกรรมให้มีความเฉพาะสำหรับเด็กอ้วน เพื่อให้เด็กอ้วนได้ร่วมทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ และสื่อเป็นสถานบันที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อเด็กอ้วน อย่างไรก็ตามสื่ออาจส่งผลทั้งด้านบวกและด้านลบผู้ปกครองและครูควรเฝ้าระวังและให้คำแนะนำ ในกรณีที่สื่ออาจส่งผลด้านลบแก่เด็กอ้วน
Degree Name
Doctor of Philosophy
Degree Level
Doctoral Degree
Degree Department
Faculty of Social Sciences and Humanities
Degree Discipline
Medical and Health Social Sciences
Degree Grantor(s)
Mahidol University