ภาวะผู้นำเส้นทางสู่เป้าหมาย และปัจจัยสถานการณ์ของผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ที่มีผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เขตตรวจราชการสาธารณสุข ที่ 3

Abstract

การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยใช้วิธีการสำรวจแบบภาคตัดขวาง (Cross-Sectional Survey) มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงาน ของผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เขตตรวจราชการสาธารณสุขที่ 3 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบล สุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถามจำนวน 170 ชุด ได้รับกลับคืน จำนวน 139 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 81.76 คงเหลือแบบสอบถามที่สมบูรณ์สามารถนำมาวิเคราะห์ได้จำนวน 116 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 68.24 ที่นำมาวิเคราะห์ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Independent-Samples t-test ความแปรปรวนแบบทางเดียว เปรียบเทียบความต่างโดยวิธี Tukey และการวิเคราะห์ถดถอยพหุ ผลการวิจัยพบว่า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เขตตรวจราชการสาธารณสุขที่ 3 มีประสิทธิผลการปฏิบัติงานระดับสูง ใช้ภาวะผู้นำเส้นทางสู่เป้าหมายแบบมีส่วนร่วมมากที่สุด มีโครงสร้างภารกิจ ความต้องการผลสัมฤทธิ์ และความต้องการอิสระสูง มีความคลุมเครือในบทบาทน้อย ส่วนใหญ่มีความ เชื่อในอำนาจแห่งตนภายใน ภาวะผู้นำเส้นทางสู่เป้าหมายของ ผอ.รพ.สต. แตกต่างกันส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานที่ต่างกัน (F = 2.992, p-value < 0.05) ปัจจัยสถานการณ์ด้านความคลุมเครือในบทบาทแตกต่างกันส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานแตกต่างกัน (F = 6.722, p-value < 0.01) ภาวะผู้นำเส้นทางสู่เป้าหมาย แบบสั่งการและความคลุมเครือในบทบาทสามารถร่วมกันอธิบายการผันแปรประสิทธิผลการปฏิบัติงานของ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ได้ร้อยละ 14.0 (R2 = 0.140 p <0.0001) จากผลการวิจัยครั้งนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในเขตตรวจราชการสาธารณสุข ที่ 3 น่าจะ กำหนดนโยบายการเตรียมความพร้อมผู้ที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล พัฒนาความรู้ระเบียบวิธีปฏิบัติงานและการใช้ภาวะผู้นำให้สอดคล้องกับสถานการณ์

This research is quantitative research with a cross - sectional survey. The objectives were to look for factors that affect performance effectiveness of district health promotion directors in Public Health Region 3. The sample group wฟห composed of district health promotion directors. Sampling was done using the systematic random sampling method. Data collection tools were 170 questionnaires, of which 139 questionnaires were collected (81.76%) but only 116 questionnaires (68.24%) were analyzed. Data were analyzed by using independent samples t-tests, ANOVA, Tukey comparison method, and multiple regression analysis. The results revealed that district health promotion hospital directors in Public Health Region 3 had a high level of performance effectiveness. They used participative leadership the most. Hospitals had a mission structure, need for achievement, and need for autonomy. Role ambiguity was less. Most of them believed in their own path- goal leadership style. Different path-goal leadership behaviour of district health promotion directors affected performance in different ways(F = 2.992, p-value p< 0.05). Situational factors in the aspect of role ambiguity resulted in different results in performance effectiveness (F = 6.722, p-value p< 0.01). Directive path-goal leadership behaviour and role ambiguity could explain 14 % of the variation in performance effectiveness of district health promotion directors (R2 = 0.140, p-value p< 0.0001). According to this research, provincial public health offices in Region 3 should establish policies to prepare those who are going to be hospital directors by developing their knowledge in regulations and leadership behaviour that is appropriate to the situation.