การสำรวจสถานการณ์การปนเปื้อนของกรดไขมันชนิดทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหารในประเทศไทย
Issued Date
2550-12-20
Resource Type
Language
tha
ISBN
9789746235372
Call No.
วิจัย WA701 ว785ก 2550
Rights
มหาวิทยาลัยมหิดล
Suggested Citation
วิสิฐ จะวะสิต, สมเกียรติ โกศัลวัฒน์, ธีรชัย ว่องเมทินี, ศศิอำไพ พฤฒิพรธานี, ดารณี หมู่ขจรพันธ์, ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ, วิภา พงษ์สวัสดิ์ (2550). การสำรวจสถานการณ์การปนเปื้อนของกรดไขมันชนิดทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหารในประเทศไทย. สืบค้นจาก: https://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/30018
Title
การสำรวจสถานการณ์การปนเปื้อนของกรดไขมันชนิดทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหารในประเทศไทย
Alternative Title(s)
Situational survey on Trans Fatty Acids contamination in food products in Thailand
Other Contributor(s)
Abstract
กรดไขมันชนิทรานส์ (Trans fatty acids, TFA) เป็นกรดไขมันที่พบได้ตามธรรมชาติ และเกิดขึ้นจากไขมันอื่นๆ ที่ผ่านกระบวนการ Hydrogenation กรดไขมันชนิดนี้กำลังได้รับความสนใจจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก เนื่องจากมีรายงานการศึกษาพบว่า การบริโภคอาหารทีมีกรดไขมันชนิดทรานส์มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของปริมาณ LDL-Cholesterol ในเลือด เช่นเดียวกันกับการบริโภคกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) นอกจากนั้นการบริโภคกรดไขมันชนิดทรานส์ยังมีผลต่อการลดลงของปริมาณ HDL-Cholesterol ในเลือดอีกด้วย ซึ่งเป็นการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ ของประชากรโลก ทั้งนี้ในต่างประเทศซึ่งให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพของผู้บริโภคได้แนะนำให้ลดหรืองดใช้กรดไขมันทรานส์ เพื่อให้อาหารที่มีไขมันชนิดดังกล่าวในปริมาณที่ต่ำลง
ในประเทศไทยพบว่า มีประชากรที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดในจำนวนที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยสาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันชนิดทรานส์ อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณกรดไขมันประเภทนี้ในผลิตภัณฑ์อาหารของประเทศไทย และยังไม่ได้มีการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อาหารต้องระบุถึงปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ไว้บนฉลากโภชนาการ ดังนั้นจึงควรมีการสำรวจสถานการณ์การปนเปื้อนของกรดไขมันชนิดทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหารที่จำหน่ายในประเทศไทย เพื่อใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นแนวทางในการแนะนำการบริโภคสำหรับประชากรทั่วไป อีกทั้งอาจนำไปใช้ประกอบการพิจารณาความเหมะสมในการระบุปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์บนฉลากโภชนาการของประเทศไทยต่อไป
ผลการศึกษาพบว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่นสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ได้มีข้อกำหนดและคำแนะนำการบริโภคกรดไขมันชนิดทรานส์ (TFA) ที่หลากหลายแต่ก็อยู่ในทิศทางเดียวกัน โดยเน้นให้ในปริมาณที่ต่ำที่สุด และกำหนดว่าต้องแจ้งให้ผู้บริโภคได้ทราบ
ในการศึกษานี้ได้มีการกำหนดเกณฑ์สำหรับความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยใช้กรดไขมันชนิดทรานส์ (TFA) และกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) เป็นตัวชี้วัด โยแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มดังนี้
(1) กลุ่มเสี่ยงสูง ได้แก่ กลุ่มอาหารที่ประกอบด้วย TFA > 0.7 g/serving และ SFA+TFA 4 g/serving
(2) กลุ่มเสี่ยงสูง ได้แก่ กลุ่มอาหารที่ประกอบด้วย TFA > 0.7 g/serving หรือ SFA+TFA 4 g/serving
(3) กลุ่มเสี่ยงต่ำ ได้แก่ กลุ่มอาหารที่ประกอบด้วย TFA < 0.7 g/serving และ SFA+TFA g/serving
ผลการสำรวจโดยสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า อาหารในกลุ่มโดนัท ทอดทั้งที่จำหน่ายตามรถเข็น ร้านค้าข้างถนน จนถึงยี่ห้อที่มีชื่อเสียงเป็นปัญหามากที่สุด เนื่องจากถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ยังพบกรดไขมันชนิดทรานส์ในอาหารกลุ่มอื่น เช่น มาร์การีนเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผลการวิเคราะห์ความเสี่ยงแสดงว่าปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ในอาหารกลุ่มอื่นมิได้สูงจนเป็นปัยหาแต่กลับเป็นกรดไขมันอิ่มตัวที่มีปริมาณสูงเกินไป ปัญหาในเราเรื่องความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดที่พบในอาหารในประเทศไทยส่วนใหญ่จึงมาจากกรดไขมันอิ่มตัวเป็นหลัก โดยกรดไขมันชนิดทรานส์มีส่วนไม่มากนัก ทั้งนี้การปริโภคไขมันในปริมาณสูงน่าจะเป็นประเด็นที่สำคัญกว่า เพราะจะทำให้ได้รับกรดไขมันทั้ง 2 ชนิดในปริมาณสูงจนถึงระดับที่เกิดความเสี่ยงได้ ดังนั้นในสถานการณ์ปัจจุบันจึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแนะนำในเรื่องการหลีกเลี่ยงกรดไขมันชนิดทรานส์เพราะอาจจะต้องใช้เวลาในการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคอีก แต่ควรแนะนำให้จำกัดการบริโภคไขมันและไขมันอิ่มตัวจะเหมาะสมกว่านอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ผลิตก็มีความพยายามในการลดปริมาณกรดไขมันชนิทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหารด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสความต้องการของผู้บริโภครวมถึงกฎหมายของประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งนิยมใช้ไขมันอิ่มตัวตามธรรมชาติเข้ามาทดแทน
เนื่องจากผลิตภัณฑ์อาหารที่พบว่าเป็นปัญหาของกรดไขมันชนิดทรานส์ในประเทสไทย มักเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ปรุงจำหน่ายทั่วไปซึ่งไม่มีฉลากโภชนาการ การจะกำหนดให้มีปริมาณกรดไขมันชนิด
ทรานส์บนฉลากโภชนาการของไทยจึงอาจยังไม่มีความจำเป็น หากแต่มาตรการเร่งด่วนที่ควรดำเนินงานจึงเป็นการควบคุมวัตถุดิบที่เป็นแหล่งของกรดไขมันชนิดทรานส์ ทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ
Sponsorship
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย