ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติและอุปสรรคในการดูแลกับพฤติกรรมของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคอง

Abstract

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และอุปสรรคในการดูแล กับพฤติกรรมของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคอง กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยเด็กทั่วไป หอผู้ป่วยเด็กวิกฤต หอผู้ป่วยพิเศษเด็ก และหอผู้ป่วยศัลยกรรมเด็กของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จำนวน 95 คน โดยมีประสบการณ์ในการทำงานดูแลผู้ป่วยเด็กเป็นระยะเวลาตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป และมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคองอย่างน้อย 1 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีโควต้า ข้อมูลวิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนา (Descriptive statistics) และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของสเปียร์แมน (Spearman's rank correlation coefficient) กำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคองอยู่ในระดับมาก และอุปสรรคของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคองอยู่ในระดับปานกลาง สำหรับผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่า ความรู้ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมของพยาบาลใน การดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคอง (rs = .096, p = .356) ส่วนทัศนคติมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคอง (rs = .209, p = .042) อุปสรรคในการดูแลมีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคอง (rs = -.233, p = .023) สืบเนื่องจากผลการศึกษาครั้งนี้ พยาบาลวิชาชีพควรมีการอภิปรายเกี่ยวกับกลวิธีในการลดอุปสรรคของการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคอง ถ้าอุปสรรคต่าง ๆ ในการดูแลเหล่านี้ลดลง พยาบาลจะมีพฤติกรรมใน การดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคองเพิ่มขึ้น ดังนั้น พยาบาลจึงสามารถให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยเด็กในระยะประคับประคองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

This descriptive research aimed to examine the relationship between knowledge, attitude, barriers to care, and behavior of nurses in pediatric palliative care. The sample included 95 nurses working in the general pediatric wards, the pediatric intensive care units, the private pediatric wards, and the surgical pediatric wards in a university hospital. The subjects were working in pediatric wards more than 1 year. They had experience in providing pediatric palliative care at least 1 patient. The sample was recruited by quota sampling. The data analysis used were descriptive statistics and Spearman's rank correlation coefficient. Statistical significance was set at .05. The results revealed that nurses had a high level of knowledge, attitude, and behavior in pediatric palliative care, and a moderate level of barriers to care in pediatric palliative care. According to analysis of Spearman's rank correlation, knowledge was not correlated with behavior of nurses in pediatric palliative care (rs = .096, p = .356). Attitude was significantly positively correlated with behavior of nurses in pediatric palliative care (rs = .209, p = .042). Barriers to care were significantly negatively correlated with behavior of nurses in pediatric palliative care (rs = -.233, p = .023). Based on the study findings, professional nurses should discuss on strategies to reduce barriers to palliative care. If these barriers are decreased, their behavior in palliative care would be increased. Nurses could provide effective care to children in palliative care period.