การศึกษาคุณลักษณะวิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

Abstract

การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะวิทยานิพนธ์ ระดับมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยศึกษาตัวแปรคุณลักษณะวิทยานิพนธ์ 3 ด้าน ดังนี้ 1) ตัวแปรคุณลักษณะ ด้านการพิมพ์ 2) ตัวแปรคุณลักษณะด้านเนื้อหาสาระของงานวิจัย และ 3) ตัวแปรคุณลักษณะด้านวิธีวิทยาการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 171 เรื่อง (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ถึง 2554) ใช้แบบบันทึกคุณลักษณะงานวิจัยเป็นเครื่องมือ การวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่และค่าร้อยละ ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. คุณลักษณะวิทยานิพนธ์ด้านการพิมพ์ ประกอบด้วย 1) ปีที่ทำวิทยานิพนธ์เสร็จ พบว่า ส่วนใหญ่ทำเสร็จปีพ.ศ. 2552 มากที่สุด 2) ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย พบว่า ส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลา 13-24 เดือน 3) จำนวนหน้าทั้งหมดพบว่า ส่วนใหญ่มีจำนวน 101-200 หน้า 4) จำนวนหน้าไม่รวมภาคผนวก พบว่า ส่วนใหญ่มีจำนวน 101-200 หน้า และ 5) ภาษาที่ใช้ในการทำวิทยานิพนธ์ พบว่า ส่วนใหญ่ทำวิทยานิพนธ์เป็นภาษาไทย 2. คุณลักษณะวิทยานิพนธ์ด้านเนื้อหาสาระของงานวิจัย ประกอบด้วย 1) วัตถุประสงค์ของการวิจัย พบว่า ส่วนใหญ่ เพื่อศึกษาและเพื่อหาความสัมพันธ์มากที่สุด 2) เนื้อหาสาระด้านรัฐประศาสนศาสตร์ พบว่า ส่วนใหญ่มีเนื้อหาด้านหลักการบริหารและ การบริหารจัดการมากที่สุด 3) แนวคิดและทฤษฎี พบว่า ส่วนใหญ่ใช้แนวคิดและทฤษฎีการบริหารจัดการภาครัฐมากที่สุด 4) ประเภท สมมติฐาน พบว่า ส่วนใหญ่เป็นสมมติฐานแบบไม่มีทิศทางมากที่สุด 5) จำนวนสมมติฐาน พบว่า ส่วนใหญ่มีจำนวน 2-4 ข้อ 6) สถานภาพของกลุ่มประชากร/กลุ่มตัวอย่าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการและพนักงานราชการมากที่สุด 7) แหล่งที่มาของกลุ่ม ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นองค์การบริหารส่วนตำบลมากที่สุด 8) เขตพื้นที่จังหวัดที่เก็บรวบรวมข้อมูล พบว่า ส่วน ใหญ่เป็นเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร 9) จำนวนตัวแปรต้น พบว่า ส่วนใหญ่มีจำนวน 6-10 ตัวแปร 10) จำนวนตัวแปรตาม พบว่า ส่วน ใหญ่มีจำนวน 1-5 ตัวแปร และ 11) จำนวนเอกสารอ้างอิง พบว่า ส่วนใหญ่มีเอกสารอ้างอิง 26-50 แหล่ง 3. คุณลักษณะวิทยานิพนธ์ด้านวิธีวิทยาการวิจัย ประกอบด้วย 1) ประเภทของงานวิจัย พบว่า ส่วนใหญ่คืองานวิจัย เชิงปริมาณ 2) ขนาดของกลุ่มตัวอย่างประชากร พบว่า ส่วนใหญ่มีจำนวน 301-400 คน 3) วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ส่วนใหญ่ใช้ กลุ่มประชากรศึกษา 4) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย พบว่า ส่วนใหญ่ใช้แบบสอบถาม 5) การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ พบว่า ส่วน ใหญ่หาค่าความเชื่อมั่นและหาค่าความเที่ยงตรง 6) จำนวนผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ พบว่า ส่วนใหญ่ไม่ระบุ จำนวนผู้เชี่ยวชาญ และ 7) การวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ส่วนใหญ่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Descriptive Statistics

The objectives of this research were to study Master's Degree Theses' features in the Public Administration Programme, Faculty of the Social Sciences and Humanities, Mahidol University, consisting of three variables of theses' features: 1) The publication, 2) The contents, and 3) The research method. The sample for this research were 171 theses of the Master's Degree in the Public Administration Programme, Faculty of the Social Sciences and Humanities, Mahidol University. Data were gathered by employing a research features recording form. Frequency and percentage were also used to analyze the data in this research. The results of this research were as follows : 1. The features of theses in publications were 1) most theses were finished in 2009, 2) most of the researchers spent 13-24 months doing research, 3) most of theses were 101-200 pages, 4) most theses did not include an appendix, and 5) most of the theses were Thai. 2. The features of the theses contents were 1) most of the objectives were to study relationships, 2) most of the contents in Public Administration were the principles of management and administration, 3) most of the concepts and theories were the concepts of public administration, 4) most hypotheses were uncertain, 5) most had two to four hypotheses, 6) most of the theses were written by officials and public officers, 7) most were from the Subdistrict Administrative Organization, 8) most information was collected from Bangkok, 9) most had six to ten independent variables, 10) most had one to five dependent variables, and 11) most had twenty-six to fifty reference sources. 3. The features of the theses' research methods were 1) most of the research studies were quantitative research, 2) most sample populations were 301-400 persons, 3) most samples were people, 4) most of the studies used a questionnaire, 5) most of the research tools were assessed as reliable and valid, 6) most did not specify the number of experts for the assessment of the research tools, and 7) most of the data analysis used descriptive statistics.