The legal enforcement of the ombudsman in Thailand
Issued Date
2023
Copyright Date
2016
Language
eng
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
x, 205 leaves : ill.
Access Rights
restricted access
Rights Holder(s)
Mahidol University
Bibliographic Citation
Thesis (Ph.D. (Criminology, Justice Administration and Society))--Mahidol University, 2016
Suggested Citation
Napichchaya Kansanoy The legal enforcement of the ombudsman in Thailand. Thesis (Ph.D. (Criminology, Justice Administration and Society))--Mahidol University, 2016. Retrieved from: https://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/89793
Title
The legal enforcement of the ombudsman in Thailand
Alternative Title(s)
การบังคับใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทย
Author(s)
Abstract
A mixed method research was applied to this research. The quantitative approach was to analyze the legal enforcement to investigate the state power and to recognize the problems and limitations of the legal enforcement imposed by the Thai ombudsman. Its 400 samples were from the Attorney Bureau, the Investigation Bureau, the Intake and Early Resolution Bureau, and the Legal Bureau, which were involved with the ombudsman's legal enforcement. Its data collection was through questionnaire. The second part was a qualitative approach in order to recognize the problems and limitations of legal enforcement imposed by the Thai ombudsman and its efficiency of the legal enforcement. The 10 key informants were equipped with knowledge, specialization and experiences of legal enforcement from variety of interdisciplinary professionals. Results showed that problems and limitations of the legal enforcement were imposing the state agencies to clarify facts and to demand them to follow opinions or recommendations of the ombudsman. It was accorded with the findings in the qualitative research that problems and limitations were at high levels. In addition, the causes were also from its internal administration, the complexity of the complaints, the irrelevancy of laws and the limitations of its legal enforcement. The researcher recommended that there should be amendments of the Organic Acts on Ombudsman and laws related for their consistency. Also, broader investigation should be enacted for empowerment in the ombudsman. The ombudsman's works should be in team and aggressive approach such as site visits to commonly solve problems with all network parties and propaganda of the ombudsman's power and duties should be used. This included publicizing the ombudsman's achievement and reports of non-cooperation for the state agencies without fails. Besides imposing social sanctions on agencies of non-cooperating with the ombudsman's works, law enforcement should be imposed on the state agencies and officers who resist the Organic Act with rigidity. In addition, the administrative measures should be enforced and enacted in the legal punishment exercised by ombudsman. Such measures should be efficient in the legal enforcement of the ombudsman in order to deter dissents and would help the missions of the ombudsman to achieve better reasults in protecting the rights, liberty and public interests
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mix method) ส่วนแรกเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เพื่อวิเคราะห์สภาพการบังคับใช้อำนาจในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และเพื่อทราบถึงปัญหาและอุปสรรคการใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มงานนิติการ กลุ่มงานสอบสวน กลุ่มงานรับเรื่องราวร้องทุกข์ และกลุ่มงานกฎหมายซึ่งเป็นบุคคลที่ปฏิบัติงานอยู่ในองค์กร ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน จำนวนทั้งสิ้น 400 คน เก็บข้อมูลทั้งหมดด้วยวิธีการใช้แบบสอบถาม ส่วนที่สองเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อทราบถึงปัญหาและอุปสรรคการบังคับใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทย และเพื่อทราบถึงแนวทางการบังคับใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่มีประสิทธิภาพกลุ่มตัวอย่างเป็นการคัดเลือกมีความรู้ ความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐ โดยแบ่งกระจายกลุ่มตัวอย่างตามลักษณะวิชาชีพที่หลากหลาย จำนวนทั้งสิ้น 10 คน ผลการศึกษาวิจัยนี้พบว่าปัญหาการบังคับให้หน่วยงานชี้แจงข้อเท็จจริงและการให้หน่วยงานปฏิบัติตามความเห็นหรือข้อเสนอแนะเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทย สอดคล้องกับการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณที่พบว่า กลุ่มตัวอย่างได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคของหน่วยงานต่อการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินอยู่ในระดับมาก นอกจากนี้สาเหตุการบังคับใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินยังเกิดจากปัจจัยอื่น อาทิ ปัญหาการจัดระบบการบริหารภายใน ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ปัญหาความยุ่งยากซับซ้อนของเรื่องร้องเรียน และปัญหาความไม่สอดคล้องกันของกฎหมายและข้อจำกัดอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทย ซึ่งผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะว่าควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องกันและควรบัญญัติกฎหมายให้อำนาจการตรวจสอบกับผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทยที่กว้างขึ้น นอกเหนือจากแนวทางการใช้มาตรการทางสังคม (Social Sanction) ลงโทษกับหน่วยงาน ที่ไม่ให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว ควรมีการนำมาตรการทางกฎหมาย (Law Enforcement) มาใช้บังคับกับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ซึ่งกระทำการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินอย่างเคร่งครัดและควรมีการนำมาตรการทางบริหารมาบัญญัติไว้เป็นบทลงโทษในกฎหมายของผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทย มาตรการเหล่านี้น่าจะทำให้การบังคับใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินเกิดประสิทธิภาพในการข่มขู่ยับยั้งต่อผู้ที่จะละเมิดต่อกฎหมายของผู้ตรวจการแผ่นดินและทำให้การดำเนินภารกิจตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับมอบหมายเกิดสัมฤทธิ์ผลในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชนได้มากยิ่งขึ้น
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mix method) ส่วนแรกเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เพื่อวิเคราะห์สภาพการบังคับใช้อำนาจในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และเพื่อทราบถึงปัญหาและอุปสรรคการใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มงานนิติการ กลุ่มงานสอบสวน กลุ่มงานรับเรื่องราวร้องทุกข์ และกลุ่มงานกฎหมายซึ่งเป็นบุคคลที่ปฏิบัติงานอยู่ในองค์กร ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน จำนวนทั้งสิ้น 400 คน เก็บข้อมูลทั้งหมดด้วยวิธีการใช้แบบสอบถาม ส่วนที่สองเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อทราบถึงปัญหาและอุปสรรคการบังคับใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทย และเพื่อทราบถึงแนวทางการบังคับใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่มีประสิทธิภาพกลุ่มตัวอย่างเป็นการคัดเลือกมีความรู้ ความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐ โดยแบ่งกระจายกลุ่มตัวอย่างตามลักษณะวิชาชีพที่หลากหลาย จำนวนทั้งสิ้น 10 คน ผลการศึกษาวิจัยนี้พบว่าปัญหาการบังคับให้หน่วยงานชี้แจงข้อเท็จจริงและการให้หน่วยงานปฏิบัติตามความเห็นหรือข้อเสนอแนะเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทย สอดคล้องกับการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณที่พบว่า กลุ่มตัวอย่างได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคของหน่วยงานต่อการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินอยู่ในระดับมาก นอกจากนี้สาเหตุการบังคับใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินยังเกิดจากปัจจัยอื่น อาทิ ปัญหาการจัดระบบการบริหารภายใน ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ปัญหาความยุ่งยากซับซ้อนของเรื่องร้องเรียน และปัญหาความไม่สอดคล้องกันของกฎหมายและข้อจำกัดอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทย ซึ่งผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะว่าควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องกันและควรบัญญัติกฎหมายให้อำนาจการตรวจสอบกับผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทยที่กว้างขึ้น นอกเหนือจากแนวทางการใช้มาตรการทางสังคม (Social Sanction) ลงโทษกับหน่วยงาน ที่ไม่ให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว ควรมีการนำมาตรการทางกฎหมาย (Law Enforcement) มาใช้บังคับกับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ซึ่งกระทำการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินอย่างเคร่งครัดและควรมีการนำมาตรการทางบริหารมาบัญญัติไว้เป็นบทลงโทษในกฎหมายของผู้ตรวจการแผ่นดินในประเทศไทย มาตรการเหล่านี้น่าจะทำให้การบังคับใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินเกิดประสิทธิภาพในการข่มขู่ยับยั้งต่อผู้ที่จะละเมิดต่อกฎหมายของผู้ตรวจการแผ่นดินและทำให้การดำเนินภารกิจตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับมอบหมายเกิดสัมฤทธิ์ผลในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชนได้มากยิ่งขึ้น
Degree Name
Doctor of Philosophy
Degree Level
Doctoral Degree
Degree Department
Faculty of Social Sciences and Humanities
Degree Discipline
Criminology, Justice Administration and Society
Degree Grantor(s)
Mahidol University