การประยุกต์ใช้แนวคิดนวัตกรรมการดูแลภาวะเรื้อรังในการสร้างเสริมพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง กรุงเทพมหานคร

Abstract

การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการประยุกต์ใช้แนวคิดนวัตกรรมการดูแลภาวะเรื้อรัง ในการสร้างเสริมพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนทั้งชายและหญิง อายุ 35-59 ปี แลมีระดับความดันโลหิต ในเกณฑ์เสี่ยงของ JNC 7 แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และ กลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 30 คน ดำเนินการตามโปรแกรม 12 สัปดาห์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555- มกราคม 2556 โดยกลุ่มทดลอง ได้รับโปรแกรมการประยุกต์ใช้แนวคิดนวัตกรรมการดูแลภาวะเรื้อรัง ประกอบด้วยกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างการรับรู้ข่าวสาร สร้างแรงจูงใจ และสร้างการมีส่วนร่วม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ก่อนและหลังการทดลอง ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับบริการสุขภาพ และให้ดเนินชีวิตตามปกติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน paired t-test และ independent-test กำหนดระดับความเชื่อมันทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05 ผลการวิจัย พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลอง มีการเปลี่ยนแปลงด้านการรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยงความรุนแรง ประโยชน์ อุปสรรค ต่อการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง การรับรู้ต่อการมีส่วนร่วมของตนเอง ครอบครัว แกนนำชุมชน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพ ด้านการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด และการเปลี่ยนแปลงภาวะสุขภาพ (ดัชนีมวลกาย รอบเอว ความดันโลหิต) ดีกว่าก่อนการทดลอง และดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) ผลการวิจัยครั้งนี้สนับสนุนผลของการประยุกต์ใช้แนวคิดนวัตกรรมการดูและภาวะเรื้อรัง ในการสร้างเสริมพฤติกรรมสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังอื่น ๆ โดยพยาบาลสาธารณสุขสามารถนำรูปแบบมาใช้เป็นแนวทาง เพื่อผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดีของประชาชน

This quasi-experimental research aimed to employ the innovative care for chronic conditions application to promote health behavior in a group at risk of hypertension living in an urban community of Metropolitan Bangkok. Participants were males and females aged 35-59 years old, who were people at risk of hypertension (JNC 7 classification of blood pressure). The experimental group (n = 30) and the comparision group (n = 30) participated in the 12-week program, from November 2012 to January 2013. The experimental group joined the program activites aimed to perceive health information, raise motivation, and participate in hypertension prevention whereas the comparision group had the routine health care service and continued their usual lifestyle. Data collection was done at pretest and posttest: data analysis included percentage, mean and standard deviation, paired t-test, and independent t-test with statistical significance of .05. The results indicate that, at posttest, the experiment group had higher mean scores of perception on severity, susceptibility, benefits and barriers of hypertension prevention practice than those at the pretest and than those of the comparison group, with statistical significance. They also had higher mean scores of perception on selfparticipation and participation from family members, community leaders, and health personnel. Their health behavior, diet control behavior, exercise, stress management and their health status indicators, Body Mass Index, waist circumference, and blood pressure level were also better than those at the pretest and than those of the comparison group, with statistical significance. These findings support the innovative care for chronic conditions application to promote health behavior in the group at risk of hypertension. Public health nurses could apply these strategies in other health promoting schemes for better public health outcomes