Treatment efficacy of botulinum toxin for orofacial pain and dysfunction : a systematic review and meta-analysis
Issued Date
2024
Copyright Date
2018
Resource Type
Language
eng
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
xvi, 99 leaves : ill.
Access Rights
open access
Rights
ผลงานนี้เป็นลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล ขอสงวนไว้สำหรับเพื่อการศึกษาเท่านั้น ต้องอ้างอิงแหล่งที่มา ห้ามดัดแปลงเนื้อหา และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้า
Rights Holder(s)
Mahidol University
Bibliographic Citation
Thesis (M.Sc. (General Dentistry))--Mahidol University, 2018
Suggested Citation
Suphanthaka Sairat Treatment efficacy of botulinum toxin for orofacial pain and dysfunction : a systematic review and meta-analysis. Thesis (M.Sc. (General Dentistry))--Mahidol University, 2018. Retrieved from: https://repository.li.mahidol.ac.th/handle/123456789/92222
Title
Treatment efficacy of botulinum toxin for orofacial pain and dysfunction : a systematic review and meta-analysis
Alternative Title(s)
การทบทวนวรรณกรรมอย่างมีระบบ และอภิวิเคราะห์ถึงประสิทธิพลังของโบทูลินัมท็อกซินที่มีต่อความผิดปกติและเจ็บปวดของใบหน้าช่องปาก
Author(s)
Abstract
This study was a systematic review and meta-analysis to compare the efficacy of BTX and other comparators for treatment of orofacial pain and dysfunction (OFD). Pubmed and Scopus databases were conducted through randomized controlled trial. Eighteen RCTs (946 patients) met the inclusion criteria, and were divided into three groups for pooled outcomes. Group 1 was myofascial pain (7 RCTs, 246) and group 2 was with tension-type headache, chronic daily headache, and migraine (9 RCTs, 598) and group 3 had post-herpetic neuralgia and trigeminal neuralgia (2 RCTs, 102). Intervention was done on the botulinum toxin type A (BTX-A) group, and comparators were normal saline (NSS), active drugs and standard treatments. In group 1, BTX-A subjects had a significantly lower VAS score compared to the NSS group (pooled WMD= -1.81, 95% CI: -3.23 to -0.39), BTX-A subjects had a lower VAS score than those in the active treatment group, but this was not significant (pooled WMD = -0.37, 95% CI: -1.89 to 1.16), BTX-A subjects had maximum mouth opening without pain less than the NSS group but this was also not significant (pooled WMD = -1.98, 95% CI: -9.19 to 5.23). In group 2, the BTX-A subjects had a greater VAS score than the NSS subjects but not significant (pooled WMD = 0.22, 95% CI: -0.51 to 0.94). However, the BTXA subjects had significantly lower headache day than the NSS subjects (pooled WMD = -1.66 95% CI: -2.64 to -0.69), and a significantly lower number of drug pill ingest than the NSS subjects (pooled WMD = -2.51 95% CI: -4.42 to -0.60). There were only 2 studies in group 3, so we could not analyze the outcome from this group. In our meta-analysis, BTX-A subjects showed a clinical significant pain relief in myofascial pain group, and the BTX-A subjects had significantly lower headache day and significantly lower number of drug pill ingest than the NSS subjects in the neurovascular group.
การศึกษานี้เป็นการทบทวนวรรณกรรมอย่างมีระบบ และอภิวิเคราะห์ถึงประสิทธิพลัง ของโบทูลินัมท็อกซิน (BTX) ที่มีต่อความผิดปกติและเจ็บปวดของใบหน้าช่องปาก เปรียบเทียบกับน้ำเกลือ (NSS) การรักษาฉับไว และ/หรือการรักษาแบบมาตรฐาน โดยมีการสืบคนข้อมูลเฉพาะการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) จากผู้ทำวิจัยสองท่านอย่างอิสระ พบว่ามี 18 การศึกษา (946 คน) ที่มีคุณสมบัติของกลุ่มตัวอย่างตามที่เลือกเข้าศึกษา หลังจากนั้นได้แบ่งออกเป็นสามกลุ่มเพื่อนำไปคำนวณทางสถิติ ได้ผลดังนี้ กลุ่มที่ 1 กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและพังผืด (7 RCTs, 246 คน) พบว่ากลุ่มตัวอย่าง BTX มีค่าคะแนน VAS น้อยกว่ากลุ่ม NSS อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (pooled WMD = -1.81, 95% CI: -3.23 to -0.39), และมีค่าคะแนน VAS น้อยกว่ากลุ่มการรักษาฉับไว อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (pooled WMD = -0.37, 95% CI: -1.89 to 1.16) กลุ่ม BTX มีระยะอ้าปากกว้างที่สุดโดยไม่ปวดน้อยกว่ากลุ่ม NSS อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (pooled WMD = -1.98, 95% CI: -9.19 to 5.23) กลุ่มที่ 2 อาการปวดศีรษะแบบตึงเครียด ปวดศีรษะแบบเรื้อรังทุกวัน และไมเกรน (9 RCTs, 598) พบว่ากลุ่ม BTX มีค่าคะแนน VAS มากกว่ากลุ่ม NSS อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (pooled WMD = 0.22, 95% CI: -0.51 to 0.94) และมีจำนวนวันที่มีอาการปวดศีรษะต่อเดือนน้อยกว่ากลุ่ม NSS อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (pooled WMD = -1.66 95% CI: -2.64 to -0.69) นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่าง BTX ยังรับประทานยาแก้ปวดต่อเดือนน้อยกว่ากลุ่ม NSS อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (pooled WMD = -2.51 95% CI: -4.42 to -0.60) ส่วนกลุ่มที่ 3 อาการปวดเหตุเส้นประสาทงูสวัด และกลุ่มอาการปวดเส้นประสาทใบหน้า (2 RCTs, 102) มีเพียง 2 การศึกษา คณะผู้วิจัยไม่สามารถนำมาคำนวณทางสถิติได้ โดยสรุปแล้วการศึกษานี้พบว่า กลุ่มตัวอย่าง BTX ในผู้ป่ วยกลุ่มที่ 1 มีอาการปวดทางคลินิกลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและทางคลินิก และในผู้ป่วยกลุ่มที่ 2 พบว่า กลุ่มตัวอย่าง BTX มีจำนวนวันที่มีอาการปวดศีรษะต่อเดือนมีจำนวนเม็ดยาที่ต้องรับประทานเพื่อแก้ปวดต่อเดือนน้อยกว่ากลุ่ม NSS อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
การศึกษานี้เป็นการทบทวนวรรณกรรมอย่างมีระบบ และอภิวิเคราะห์ถึงประสิทธิพลัง ของโบทูลินัมท็อกซิน (BTX) ที่มีต่อความผิดปกติและเจ็บปวดของใบหน้าช่องปาก เปรียบเทียบกับน้ำเกลือ (NSS) การรักษาฉับไว และ/หรือการรักษาแบบมาตรฐาน โดยมีการสืบคนข้อมูลเฉพาะการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) จากผู้ทำวิจัยสองท่านอย่างอิสระ พบว่ามี 18 การศึกษา (946 คน) ที่มีคุณสมบัติของกลุ่มตัวอย่างตามที่เลือกเข้าศึกษา หลังจากนั้นได้แบ่งออกเป็นสามกลุ่มเพื่อนำไปคำนวณทางสถิติ ได้ผลดังนี้ กลุ่มที่ 1 กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและพังผืด (7 RCTs, 246 คน) พบว่ากลุ่มตัวอย่าง BTX มีค่าคะแนน VAS น้อยกว่ากลุ่ม NSS อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (pooled WMD = -1.81, 95% CI: -3.23 to -0.39), และมีค่าคะแนน VAS น้อยกว่ากลุ่มการรักษาฉับไว อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (pooled WMD = -0.37, 95% CI: -1.89 to 1.16) กลุ่ม BTX มีระยะอ้าปากกว้างที่สุดโดยไม่ปวดน้อยกว่ากลุ่ม NSS อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (pooled WMD = -1.98, 95% CI: -9.19 to 5.23) กลุ่มที่ 2 อาการปวดศีรษะแบบตึงเครียด ปวดศีรษะแบบเรื้อรังทุกวัน และไมเกรน (9 RCTs, 598) พบว่ากลุ่ม BTX มีค่าคะแนน VAS มากกว่ากลุ่ม NSS อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (pooled WMD = 0.22, 95% CI: -0.51 to 0.94) และมีจำนวนวันที่มีอาการปวดศีรษะต่อเดือนน้อยกว่ากลุ่ม NSS อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (pooled WMD = -1.66 95% CI: -2.64 to -0.69) นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่าง BTX ยังรับประทานยาแก้ปวดต่อเดือนน้อยกว่ากลุ่ม NSS อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (pooled WMD = -2.51 95% CI: -4.42 to -0.60) ส่วนกลุ่มที่ 3 อาการปวดเหตุเส้นประสาทงูสวัด และกลุ่มอาการปวดเส้นประสาทใบหน้า (2 RCTs, 102) มีเพียง 2 การศึกษา คณะผู้วิจัยไม่สามารถนำมาคำนวณทางสถิติได้ โดยสรุปแล้วการศึกษานี้พบว่า กลุ่มตัวอย่าง BTX ในผู้ป่ วยกลุ่มที่ 1 มีอาการปวดทางคลินิกลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและทางคลินิก และในผู้ป่วยกลุ่มที่ 2 พบว่า กลุ่มตัวอย่าง BTX มีจำนวนวันที่มีอาการปวดศีรษะต่อเดือนมีจำนวนเม็ดยาที่ต้องรับประทานเพื่อแก้ปวดต่อเดือนน้อยกว่ากลุ่ม NSS อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
Description
General Dentistry (Mahidol University 2018)
Degree Name
Master of Science
Degree Level
Master's degree
Degree Department
Faculty of Dentistry
Degree Discipline
General Dentistry
Degree Grantor(s)
Mahidol University