Quality of life in post treatment cervical cancer patients : a causal model
Issued Date
2024
Copyright Date
2017
Language
eng
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
xi, 205 leaves : ill.
Access Rights
open access
Rights Holder(s)
Mahidol University
Bibliographic Citation
Thesis (Ph.D. (Nursing))--Mahidol University, 2017
Suggested Citation
Malee Ngamprasert Quality of life in post treatment cervical cancer patients : a causal model. Thesis (Ph.D. (Nursing))--Mahidol University, 2017. Retrieved from: https://repository.li.mahidol.ac.th/handle/123456789/91658
Title
Quality of life in post treatment cervical cancer patients : a causal model
Alternative Title(s)
คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกหลังการรักษา : แบบจำลองเชิงสาเหตุ
Author(s)
Abstract
The purpose of this descriptive cross-sectional study was to investigate the relationships between palliative care dimensional factors (model of care, provider competence, provider support) and patient dimensional factors (age, stage, radiotherapy, comorbidity, social support, self-management) on the quality of life of cervical cancer patients. Participants were 447 cervical cancer patients and 16 healthcare providers from various levels of 12 cancer center hospitals in Thailand, using two-stage sampling and structural analysis. The study indicated that more than 50% of cervical cancer patients had a low general quality of life. More than half of the patients have problems with the physical, role, emotional and social functioning due to the urinary symptoms and the vaginal symptoms. The symptoms that patients had experienced before and during cervical cancer treatment made the patients, as a woman, anxious about sexual health including the role and the responsibility toward oneself, family, and society. Structural equation model analysis showed that the services of physicians and nurses in multidisciplinary, specialists, and generalist model of care did not improve the quality of life of the patients because the healthcare providers had low competencies in palliative care, and the care they provided did not respond to the patient's needs concerning a woman's role and responsibility. The best ways to enhance patient's self-management and quality of life were to let the patient's family or the spouses taking care of them. However, the current palliative care delivery service system in Thailand did not encourage families to help patients deal with their roles and responsibilities. The results of this study showed that lacking sexual health sensitivity, especially on role and responsibility as a woman, which is vital for the patient's self-management, the palliative care delivery service system in Thailand mainly provided physical care and did not encourage patient's family to collaborate in patients' care. It also indicated that to promote the patient's quality of life, there was a need to develop a sexual health-sensitive service system for disease like cervical cancer, and pay attention to other factors like the age difference, the severity of comorbidity, and the treatment differences.
การศึกษาเชิงบรรยายภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยระดับสถานบริการ (รูปแบบการดูแล บุคลากรที่มีสมรรถนะ การดูแลโดยบุคลากร) และระดับผู้ป่วย (อายุ ระยะโรค การรักษามะเร็ง โรคร่วม การสนับสนุนทางสังคม การจัดการตนเองของผู้ป่วย) ต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก ผู้เข้าร่วมการศึกษาเป็นผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก 447 รายและบุคลากรสุขภาพจำนวน 16 ราย จากโรงพยาบาลศูนย์มะเร็งระดับต่างๆ ในประเทศไทยจำนวน 12 โรงพยาบาล ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบสองขั้นตอน และใช้การวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพชีวิตทั่วไปของผู้ป่วยมะเร็งปากมดมดลูกมากกว่าร้อยละ 50 อยู่ในระดับ ต่ำ โดยมากกว่าครึ่งของผู้ป่วยมีปัญหาในการทำหน้าที่ของร่างกาย บทบาท อารมณ์ และสังคม เนื่องจากมีอาการของระบบทางเดินปัสสาวะ และอาการของช่องคลอด ส่งผลกระทบให้ผู้ป่วยเกิดความอ่อนล้าเนื่องจากมีความกังวลต่อบทบาท และความรับผิดชอบที่มีต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม ผลการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงโครงสร้าง พบว่า ปัจจัยรูปแบบการบริการรูปแบบต่าง ๆ ทั้งที่ใช้ แพทย์และพยาบาลแบบสหสาขา แบบผู้เชี่ยวชาญ และแบบบุคลากรทั่วไป ให้การดูแลผู้ป่วยไม่ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น เนื่องจากบุคลากรมีสมรรถนะในการดูแลแบบประคับประคองในระดับต่ำ และให้การดูแลที่ไม่ตอบสนองต่อความต้องการด้านสุขภาพทางเพศที่รวมทั้ง บทบาท และความรับผิดชอบของผู้ป่วยในฐานะผู้หญิงได้ และทั้ง ๆ ที่การดูแลโดยคู่ครอง/ครอบครัวของผู้ป่วยเป็น วิธีการที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีความสามารถในการจัดการตนเองและทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีต่อผู้ป่วยได้มากที่สุด แต่ กลับพบว่าระบบบริการแบบประคับประคองที่พบอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันนี้กลับไม่ส่งเสริมให้ครอบครัว ช่วยเหลือผู้ป่วยให้สามารถจัดการกับปัญหาด้านร่างกายที่มีผลต่อบทบาทและความรับผิดชอบของผู้ป่วยได้ ผลการศึกษานี้ทำให้รู้สถานการณ์ระบบการดูแลแบบประคับประคองในประเทศไทยที่ให้การดูแลด้านร่างกายเป็นส่วนใหญ่ ยังขาดการผลักดันให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย เนื่องจากขาดความไวต่อ ความแตกต่างในด้านการรับรู้ บทบาท และความรับผิดชอบของผู้หญิงที่มีต่อตนเอง ครอบครัวและสังคม อันเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทางเพศที่มีความสำคัญต่อความสามารถในการจัดการตนเองของผู้หญิง ชี้ให้เห็นความสำคัญที่ต้องมีการพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่ไวต่อสุขภาพทางเพศของผู้หญิงโดยคำนึงถึงความแตกต่าง ของอายุ ของความรุนแรงของโรคร่วม และของการรักษาเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
การศึกษาเชิงบรรยายภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยระดับสถานบริการ (รูปแบบการดูแล บุคลากรที่มีสมรรถนะ การดูแลโดยบุคลากร) และระดับผู้ป่วย (อายุ ระยะโรค การรักษามะเร็ง โรคร่วม การสนับสนุนทางสังคม การจัดการตนเองของผู้ป่วย) ต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก ผู้เข้าร่วมการศึกษาเป็นผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก 447 รายและบุคลากรสุขภาพจำนวน 16 ราย จากโรงพยาบาลศูนย์มะเร็งระดับต่างๆ ในประเทศไทยจำนวน 12 โรงพยาบาล ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบสองขั้นตอน และใช้การวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพชีวิตทั่วไปของผู้ป่วยมะเร็งปากมดมดลูกมากกว่าร้อยละ 50 อยู่ในระดับ ต่ำ โดยมากกว่าครึ่งของผู้ป่วยมีปัญหาในการทำหน้าที่ของร่างกาย บทบาท อารมณ์ และสังคม เนื่องจากมีอาการของระบบทางเดินปัสสาวะ และอาการของช่องคลอด ส่งผลกระทบให้ผู้ป่วยเกิดความอ่อนล้าเนื่องจากมีความกังวลต่อบทบาท และความรับผิดชอบที่มีต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม ผลการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงโครงสร้าง พบว่า ปัจจัยรูปแบบการบริการรูปแบบต่าง ๆ ทั้งที่ใช้ แพทย์และพยาบาลแบบสหสาขา แบบผู้เชี่ยวชาญ และแบบบุคลากรทั่วไป ให้การดูแลผู้ป่วยไม่ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น เนื่องจากบุคลากรมีสมรรถนะในการดูแลแบบประคับประคองในระดับต่ำ และให้การดูแลที่ไม่ตอบสนองต่อความต้องการด้านสุขภาพทางเพศที่รวมทั้ง บทบาท และความรับผิดชอบของผู้ป่วยในฐานะผู้หญิงได้ และทั้ง ๆ ที่การดูแลโดยคู่ครอง/ครอบครัวของผู้ป่วยเป็น วิธีการที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีความสามารถในการจัดการตนเองและทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีต่อผู้ป่วยได้มากที่สุด แต่ กลับพบว่าระบบบริการแบบประคับประคองที่พบอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันนี้กลับไม่ส่งเสริมให้ครอบครัว ช่วยเหลือผู้ป่วยให้สามารถจัดการกับปัญหาด้านร่างกายที่มีผลต่อบทบาทและความรับผิดชอบของผู้ป่วยได้ ผลการศึกษานี้ทำให้รู้สถานการณ์ระบบการดูแลแบบประคับประคองในประเทศไทยที่ให้การดูแลด้านร่างกายเป็นส่วนใหญ่ ยังขาดการผลักดันให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย เนื่องจากขาดความไวต่อ ความแตกต่างในด้านการรับรู้ บทบาท และความรับผิดชอบของผู้หญิงที่มีต่อตนเอง ครอบครัวและสังคม อันเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทางเพศที่มีความสำคัญต่อความสามารถในการจัดการตนเองของผู้หญิง ชี้ให้เห็นความสำคัญที่ต้องมีการพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่ไวต่อสุขภาพทางเพศของผู้หญิงโดยคำนึงถึงความแตกต่าง ของอายุ ของความรุนแรงของโรคร่วม และของการรักษาเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
Description
Nursing (Mahidol University 2017)
Degree Name
Doctor of Philosophy
Degree Level
Doctoral Degree
Degree Department
Mahidol University. Faculty of Nursing
Degree Discipline
Nursing
Degree Grantor(s)
Mahidol University