ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกเรียนอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี : กรณีศึกษานักเรียนอาชีวศึกษา จังหวัดนครปฐม

Abstract

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านครอบครัว และปัจจัยทางด้านการศึกษาของนักเรียนอาชีวศึกษา จังหวัดนครปฐม 2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านรครอบครัวและปัจจัยทางด้านการศึกษาที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกเรียนอาชีวศึกษา ระบบทวิภาคี การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนอาชีวศึกษา ในจังหวัดนครปฐม 3 สถาบัน จำนวน 323 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบโควต้า และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบไคสแควร์ (Chi-square) ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกเรียนอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ได้แก่ เพศ ส่วนตัวแปรความสนใจของนักเรียน ความคาดหวังถึงการทำงานในอนาคต และอิทธิพลจากกลุ่มเพื่อนไม่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกเรียนอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ผลการศึกษาปัจจัยด้านครอบครัวพบว่า การสนับสนุนจากผู้ปกครองมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกเรียนอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ในขณะที่ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวไม่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกเรียนอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี สำหรับปัจจัยทางด้านการศึกษา คือ เกรดเฉลี่ย การรับรู้ข่าวสารทางการศึกษา ภาพลักษณ์ของหลักสูตร และสาขาวิชาที่เปิดสอน ไม่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกเรียนอาชีวศึกษา ระบบทวิภาคี ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยครั้งนี้ สถานศึกษาควรทำการสำรวจถึงสาขาวิชาที่เป็นที่ต้องการของนักเรียนและจัดหาบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้นเพื่อเปิดการสอนเพิ่มเติมหรือสร้างเสริมและพัฒนาวิชาชีพใหม่ที่ทันสมัย ในขณะเดียวกันภาครัฐควรมีการสนับสนุนสถานประกอบการให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบทวิภาคีมากขึ้น ตลอดจนทำการประชาสัมพันธ์สถานประกอบการและสถานศึกษาที่ร่วมมือกันจัดการเรียนการสอนในระบบทวิภาคีจนประสบความสำเร็จให้แก่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแบบอย่างต่อไป

The objectives of this survey research were to study personal factors, family factors, and educational factors of vocational students in Nakornpathom province, and to study personal factors, family factors, and educational factors relating to decision-making on the selection of dual vocational training programmes. A sample group of 323 vocational students was derived by quota sampling in three institutes in Nakornpathom province. Data was collected by questionnaire created by reviewing related research and literature. Statistics consisting of percentage, mean, standard deviation, and chi-square were used to analyze data. The research results showed that the main personal factor relating to decision-making on the selection of dual vocational training programmes was sex. The variables affecting student interest, expectation of future work, and influence of friends did not relate to their decision-making on the selection of dual vocational training programmes. For family factors, parental support was important, while, family financial status was unimportant. For educational factors, grade point average, receipt of educational information, programme image, and subject fields did not relate to decision-making on the selection of dual vocational training programmes. Research recommendations are as follows; educational institutes should survey subject fields required by students and provide experts for those subject fields in order to provide more instruction or create and develop new occupational subjects. Meanwhile, the government should encourage the workplace to increasingly participate in arranging instruction on dual vocational training programmes. The government should also make public relations to various related agencies to know about success of the workplace and educational institutes which cooperated to arrange such programme so that such agencies can use as a model.