Browsing by Author "มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุข"
Now showing 1 - 20 of 90
- Results Per Page
- Sort Options
Publication Open Access PDPA กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล(2565) ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขPublication Open Access กฎหมายกับการควบคุมมลภาวะทางอากาศ(2560) ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; Chardsumon Prutipinyo; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสภาพแวดล้อมอยู่หลายฉบับ สำหรับ พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ซึ่งถือเป็นกฎหมายกลางในการรักษาสภาพแวดล้อม ปัญหาของกฎหมายควบคุมมลพิษทางอากาศเกิดจากหลายสาเหตุ อาทิเช่น 1. กฎหมายยังขาด มาตรการจูงใจ ในการควบคุมกระบวนการผลิต 2. การลงโทษให้ประจักษ์ชัดตามความรุนแรงของการ กระทำ 3. การติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึง 4. ปรากฏการณ์ธรรมชาติ อาทิ เช่น ปรากฏการณ์เรือนกระจกที่เกิดขึ้นเพราะโลกจะได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ที่ส่องผ่านบรรยากาศลงมา อยู่อย่างสม่ำเสมอ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการเกษตรกรรมและการพัฒนาอุตสาหกรรม มีผลทำให้ โลกร้อนขึ้นด้วยสาเหตุที่ทำให้ปริมาณก๊าซชนิดต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วเพิ่มขึ้น ส่วนปัญหาการควบคุม มลภาวะทางอากาศระหว่างประเทศ สำหรับกรณีมลพิษหมอกควันข้ามแดนจะต้องประสานเพื่อ ดำเนินการแก้ไขปัญหาทั้งในระดับพหุภาคีและทวิภาคีตามข้อกำหนดในข้อตกลงอาเซียน เรื่องมลพิษ จากหมอกควันข้ามแดนในพื้นที่อนุภูมิภาคแม่น้ำโขง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยต้องดำเนินการอนุวัติ การกฎหมายให้เป็นไปตามอนุสัญญาฯ และพิธีสารฯ ใน 3 มาตรการ คือ มาตรการทางกฎหมายในการ ป้องกัน ในการควบคุมและจัดการแก้ปัญหา และ ในการฟื้นฟูแก้ไขปัญหา โดยมาตรการทางกฎหมายใน การป้องกันถือเป็นพันธกรณีที่สำคัญ ได้แก่ การเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน ท้องถิ่น การให้สิทธิหน้าที่แก่ประชาชนในการจัดการทรัพยากรฯ และการจัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันหมอกควัน ไฟป่าPublication Open Access กฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ: กรณีศึกษาวิวัฒนาการภาพคำเตือนสุขภาพบนซองบุหรี่(2558) นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์; Nithat Sirichotiratana; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขหีบห่อผลิตภัณฑ์ยาสูบมีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างมากสำหรับการโฆษณาผลิตภัณฑ์ยาสูบ เมื่อ การโฆษณาและส่งเสริมการขายถูกจำกัดด้วยกฎหมายในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และผู้บริหารของ อุตสาหกรรมยาสูบต่างมองเห็นอนาคตว่าวันหนึ่งหีบห่อผลิตภัณฑ์จะเป็นช่องทางเดียวสำหรับการ ส่งเสริมการขาย กรอบอนุสัญญาการควบคุมการบริโภคยาสูบขององค์การอนามัยโลก เสนอว่าพื้นที่คำ เตือนด้านสุขภาพจะต้องไม่น้อยกว่า 30% แต่ควรจะเป็น 50% หรือมากกว่าของพื้นที่บนหีบห่อ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ และอาจจะมีภาพคำเตือนรวมอยู่ด้วย ข้อความสุขภาพบนหีบห่อผลิตภัณฑ์ยาสูบ ต้องการสื่อสารถึงความเสี่ยงทางสุขภาพจากการสูบบุหรี่ ข้อความสุขภาพมีประสิทธิผลในการลดการ บริโภคยาสูบโดยจูงใจให้ผู้สูบบุหรี่พยายามเลิกสูบบุหรี่ หรือสูบให้น้อยลง คำเตือนสุขภาพช่วยลดความ น่าสนใจของซอง/กล่องบุหรี่ที่มีต่อกลุ่มเยาวชน ประเทศไทยเป็นประเทศที่สี่ของโลกที่พิมพ์คำเตือน พร้อมภาพสี่สี และพบว่ามีผลทำให้ผู้สูบบุหรี่เปลี่ยนแปลงค่านิยมโดยกระตุ้นเตือนใจและความจำของผู้ สูบ รวมทั้งทำให้เริ่มคิดถึงการเลิกสูบบุหรี่ มาตรการการใช้หีบห่อปราศสีสันแบบเรียบง่าย ซึ่งหมายถึง การทำให้พื้นที่ส่วนที่ไม่ใช่คำเตือนเป็นสีเดียวกันทุกยี่ห้อ ชื่อของยี่ห้อพิมพ์เป็นมาตรฐานเดียวกันหมดทั้ง ขนาดและรูปร่างตัวอักษร พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นคำเตือนด้านสุขภาพซึ่งกำหนดโดยรัฐบาล ความ เคลื่อนไหวที่มุ่งสู่หีบห่อปราศสีสันแบบเรียบง่ายได้เริ่มขึ้นในประเทศออสเตรเลีย และงานวิจัยหลายชิ้น สำรวจผลกระทบของหีบห่อผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบเรียบง่าย พบว่า ไม่เป็นที่ดึงดูดความสนใจ โดยเฉพาะ ในกลุ่มเด็กและเยาวชน หีบห่อผลิตภัณฑ์ยาสูบปราศสีสันแบบเรียบง่ายเป็นการแก้ไขปัญหาอย่าง ครอบคลุมเพื่อไม่ให้อุตสาหกรรมยาสูบใช้เป็นช่องทางการสื่อสารที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิด ซอง/กล่องบุหรี่ปราศจากสีสันจะทำให้หีบห่อผลิตภัณฑ์ยาสูบเป็นมาตรฐานเดียวกันหมดซึ่งจะลดสถานะ และบทบาทของหีบห่อผลิตภัณฑ์ในการสื่อสารและดึงดูดความสนใจPublication Open Access กฎหมายควบคุมยาเสพติดเปรียบเทียบ(2560) ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขการศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary research) ศึกษาทบทวนและ เปรียบเทียบกับกฎหมายยาเสพติด ประเทศไทย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ผลการศึกษา พบว่า ประเทศญี่ปุ่นใช้นโยบายมุ่งปราบปรามการเสพยาเสพติดอย่างเข้มงวด มี มาตรการเชิงป้องกันอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน การให้การบำบัดรักษาผู้ติดยา ประเทศ เนเธอร์แลนด์ รัฐจะสร้างระบบบำบัดรักษาให้กับผู้เสพ การให้ความรู้ถึงอันตรายของยาเสพติดต่อ สังคมและโรงเรียน รวมทั้งการมีระบบที่ปรึกษาสายด่วน นโยบายการลดอันตรายจากการเสพติด ยาเสพติด และบังคับบำบัดสำหรับผู้ติดยาจนเป็นนิสัย ประเทศสหราชอาณาจักรหรืออังกฤษ มี นโยบายที่ผ่อนปรนโทษทางยาเสพติดมากขึ้น เพราะยุทธศาสตร์ยาเสพติดมีประสิทธิผลน้อยมาก ในการลดการใช้ยาเสพติดในทางที่ผิดและการจำหน่ายที่ผิดกฎหมาย รัฐบาลอังกฤษจึงได้พัฒนา แผนยุทธศาสตร์ยาเสพติดปี ค.ศ. 2008-2018 (2008-18 Drug Strategy Plan) ประเทศ สหรัฐอเมริกา นโยบายระดับรัฐบาลกลางยังเข้มงวด แต่ในระดับมลรัฐกลับเริ่มทยอยใช้นโยบาย ลดทอนมากขึ้นในความผิดคดียาเสพติด โดยมองผู้เสพว่าเป็นผู้ป่วยมากกว่าจะเป็นอาชญากร จากการทบทวนกฎหมายทั้ง 5 ประเทศ มีข้อเสนอแนะ 4 ด้าน ได้แก่ การป้องกัน การ ปราบปราม การบำบัดรักษา และ การลดทอนความผิดทางอาญาของการเสพยาเสพติดชนิดที่ไม่ ร้ายแรง เช่น การเสพกัญชาหรือมีกัญชาเพื่อใช้ส่วนตัว โดยใช้การลงโทษระดับกลาง ได้แก่ การ ทำงานบริการสังคม การกักขัง การคุมความประพฤติแบบเข้มงวด เป็นต้น แต่หากเสพติดขั้น รุนแรงจะต้องเข้าโครงการบำบัดรักษาแบบบังคับ ผู้เสพยาเสพติดซึ่งทางการแพทย์ถือว่าเป็น ผู้ป่วย จึงควรได้รับโอกาสมากขึ้นในการกลับคืนสู่สังคมอย่างมีศักดิ์ศรี แม้อาจจะต้องใช้ ระยะเวลาในการบำบัดรักษาหลายครั้งก็ตามPublication Open Access กฎหมายและนโยบายการควบคุมยาสูบอย่างครอบคลุม(2558) ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; Chardsumon Prutipinyo; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขการใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของยาสูบเป็นมาตรการหรือยาแรงที่สุด ประเทศ ไทยได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติว่า มีมาตรการควบคุมการบริโภคยาสูบที่อยู่ในระดับดีมาก ประเทศหนึ่งการควบคุมการบริโภคยาสูบอย่างครอบคลุมต้องใช้หลายมาตรการควบคู่กัน ที่ผ่านมา ประเทศไทยใช้ทั้งมาตรการราคาและภาษีเพื่อลดความต้องการยาสูบและมาตรการที่ไม่ใช่ราคาที่จะลด อุปสงค์การบริโภคยาสูบ ได้แก่ การป้องกันจากการสัมผัสกับควันบุหรี่กฎหมายเกี่ยวกับสาระของ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กฎหมายเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์ยาสูบ บรรจุภัณฑ์และการติดฉลาก ของผลิตภัณฑ์ยาสูบ การให้ความรู้และการสื่อสารโทษของยาสูบ การโฆษณายาสูบส่งเสริมการขาย และการให้การสนับสนุน และมาตรการลดความต้องการเกี่ยวกับการพึ่งพาบุหรี่และเลิกสูบItem Open Access กฎหมายสำหรับการบริหารงานสาธารณสุข(2558) ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขPublication Open Access กรอบอนุสัญญาการควบคุมการบริโภคยาสูบขององค์การอนามัยโลก(2558) นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์; Nithat Sirichotiratana; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขกรอบอนุสัญญาการควบคุมการบริโภคยาสูบขององค์การอนามัยโลก นำเสนอแนวทาง ใหม่สำหรับความร่วมมือทางด้านสุขภาพในระดับนานาชาติด้วยกรอบทางด้านกฎหมายในการสร้าง อนาคตด้านสุขภาพสำหรับประชากรโลก เวลาหลายปีที่ใช้ในการเตรียมการและเจรจาในการร่าง กรอบอนุสัญญาฯ นับเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลหลายประเทศดำเนินการออกกฎหมายและนโยบายเชิง รุก ซึ่งสอดคล้องกับร่างกรอบอนุสัญญาฯ ช่วงระยะเวลาที่มีการเจรจาต่อรองในการร่างกรอบ อนุสัญญาฯ ดูเหมือนจะกระตุ้นประเทศต่างๆให้ดำเนินการควบคุมยาสูบไปในแนวทางของร่าง กรอบอนุสัญญาฯดังกล่าว การเจรจาข้อตกลงกรอบอนุสัญญาฯ เป็นการยกระดับปัญหาการควบคุม ยาสูบให้เป็นประเด็นการเมืองด้านสุขภาพของประชาคมโลก นอกจากนี้ยังสร้างความตระหนักและ แสวงหาทางแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้กำหนดนโยบาย และเป็นผลทำให้เกิดข้อตกลง ระดับโลกในการดำเนินการแก้ไขปัญหา การเจรจากรอบอนุสัญญาฯ ทำให้เกิดการก่อตัวของ พันธมิตรกรอบอนุสัญญาฯ คือเครือข่ายขององค์กรที่ไม่ใช่ภาครัฐทั่วโลกร่วมกันทำงานในมิติต่างๆ ของการควบคุมยาสูบ และเป็นกลุ่มที่สำคัญซึ่งส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมมีบทบาทที่สำคัญในการ กำหนดนโยบายด้วยการใช้กลยุทธ์ที่หลากหลาย กรอบอนุสัญญาการควบคุมการบริโภคยาสูบของ องค์การอนามัยโลก นับเป็นการสร้างประวัติ ศาสตร์ทางด้านสาธารณสุข ในฐานะที่เป็นสนธิสัญญา ทางด้านสุขภาพระดับโลกฉบับแรกภายใต้การ สนับสนุนขององค์การอนามัยโลก และให้กำเนิดมิติ ใหม่ทางด้านกฎหมายแก่ความร่วมมือด้านสุขภาพระดับนานาชาติPublication Open Access กระบวนการถ่ายทอดนโยบายจากหน่วยงานภาครัฐสู่การนำไปปฏิบัติของผู้ประกอบการ ผู้ผลิต ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ยาสูบ(2560) ปานทิพย์ โชติเบญจมาภรณ์; จิระวัฒน์ อยู่สะบาย; รัตนาพร ฉัตรมงคล; ปวีณ์ธิดา เหลื่อมเจริญ; อิศรา หมีพลัด; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; Pantip Chotbenjamaporn; Chirawat Yoosabai; Rattanaporn Chatmongkol; Paveethida Luamcharoen; Isara Meeplad; Chardsumon Prutipinyo; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขโครงการประเมินนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการถ่ายทอดและแนวทางการบังคับใช้กฎหมาย สุขภาพของภาครัฐไปสู่ผู้ผลิต ผู้นำเข้าและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยาสูบ ศึกษาการตรวจแนะนำและการบังคับ ใช้ข้อกฎหมายของภาครัฐไปสู่ผู้ประกอบการร้านค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ รวมทั้งศึกษาปัญหา อุปสรรคของ กระบวนการถ่ายทอดและบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ภาครัฐไปสู่ผู้ปฏิบัติ วิธีการศึกษาคือการจัดโครงการ จัดสัมมนาเพื่อซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 สำหรับ ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาสูบ ลงพื้นที่ เพื่อตรวจแนะนำและการแจ้งข่าวสารกฎหมาย ของเจ้าหน้าที่รัฐไปสู่ผู้ปฏิบัติรวมทั้งสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดและบังคับใช้กฎหมายถึง ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากกระบวนการถ่ายทอดและบังคับใช้กฎหมายในกลุ่มงานพัฒนาและบังคับใช้ กฎหมายของสำนักควบคุมการบริโภคยาสูบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย การทดสอบค่าที (Independent t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ผลการประเมิน พบว่า ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาสูบส่วนใหญ่มีความรู้และ ความเข้าใจในสาระสำคัญของกฎหมายตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 อยู่ในระดับดี ความเข้าใจเจตนารมณ์และสาระสำคัญของข้อบทกฎหมาย ความสามารถในการนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ ในการปฏิบัติงาน ความสามารถนำความรู้ไปเผยแพร่ถ่ายทอดแก่ผู้เกี่ยวข้อง และความมั่นใจและความสามารถ นำความรู้ที่ได้รับไปปฏิบัติได้คะแนนอยู่ในระดับดี ร้านค้าปลีกและร้านสะดวกซื้อที่จำหน่ายบุหรี่ให้ความร่วมมือ ในการปฏิบัติตามกฎหมายดี ปัญหา อุปสรรคในจากกระบวนการถ่ายทอดและบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ ภาครัฐไปสู่ผู้ปฏิบัติ คือ ยังขาดแคลนบุคคลากรในระดับท้องถิ่น รวมทั้งองค์กรและบุคลากรที่ทำงานควบคุม ยาสูบอย่างจริงจังPublication Open Access กระบวนวิธีพิจารณาด้านจริยธรรมการแพทย์(2552-09) ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; Chardsumon Prutipinyo; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขการรวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนวิธีพิจารณาด้านจริยธรรมการแพทย์ของแพทยสภา ใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสัมภาษณ์เชิงลึกจากตัวแทนคณะกรรมการด้านจริยธรรมและคณะกรรมการแพทยสภา ระหว่างวันที่ 5 มกราคม ถึงวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552 วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการวินิจฉัยด้านจริยธรรมถือเป็นกระบวนการภายในของแพทยสภา เมื่อแพทยสภาได้รับคำร้องเรียนจากผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยแล้ว จำดำเนินการตวจสอบตามคำกล่าวหา ขั้นตอนดำเนินการวินิจฉัยของแพทยสภาถูกกำกับโดยกฎหมายปกครองอีกชั้นหนึ่ง แพทยสภาดำเนินการพิจารณาสอบสวนเรื่องร้องเรียนนั้นโดยผ่านทางคณะอนุกรรมการ 2 ชุด แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรก ดำเนินการลงมติว่าเป็นคดีมีมูลหรือไม่ โดยคณะอนุกรรมการจริยธรรม ถ้าคดีมีมูล สงสัยว่าจะมีการประพฤติผิดจริยธรรมการตัดสินของคณะอนุกรรมการจริยธรรมจะต้องผ่านมติความเห็นชอบของคณะกรรมการแพทยสภาก่อน ขั้นตอนที่สอง ส่งให้คณะอนุกรรมการสอบสวน หากแพทย์ที่ถูกกล่าวหานั้นได้ประพฤติผิดจริง คณะอนุกรรมการสอบสวนก็จะเสนอบทลงโทษต่อคณะกรรมการแพทยสภา ให้ตัดสินลงโทษแพทย์ผู้นั้น ในกรณีที่คณะอนุกรรมการจริยธรรมสรุปว่าเป็นคดีไม่มีมูล เรื่องร้องเรียนนั้นก็เป็นอันยุติ และแจ้งให้ผู้ร้องเรียนทราบผล การพิจารณาการลงโทษทางจริยธรรมโดยแพทยสภามี 4 ระดับ ได้แก่ ว่ากล่าวตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาตมีกำหนดระยะเวลา และเพิกถอนใบอนุญาต โทษที่รุนแรงสุดคือ การเพิกถอนใบอนุญาต กระบวนวิธีพิจารณานี้มีหลักประกันความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย แต่กระบวนการพิจารณาต้องใช้เวลาและต้องใช้การวินิจฉัยของแทพย์ผู้เชี่ยวชาญ การศึกษานี้มีข้อเสนอแนะควรให้มีกลไกที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ป่วยและแพทย์เพื่อให้ลดจำนวนการเข้าสู่กระบวนการพิจารณาPublication Open Access การค้าและสุขภาพ:การควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง(2560) ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; Chardsumon Prutipinyo; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขภายหลังประเทศไทยได้ให้การรับรองหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนม แม่ในการประชุมสมัชชาอนามัยโลกครั้งที่ 34 ที่มีมติให้แต่ละประเทศปรับปรุงหลักเกณฑ์เรื่อง ดังกล่าวให้เป็นกฎหมาย เจตนารมณ์ของกฎหมายควบคุมการตลาดนมผงดัดแปลงเพื่อให้เด็กแต่ละ คนจะได้รับความเท่าเทียมในอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารเพียงพอ สิทธิที่จะได้รับน้ำนมแม่ซึ่งเป็น อาหารที่มีคุณค่าและเหมาะสมที่สุด กฎหมายนี้ได้บัญญัติให้พ่อแม่ต้องได้รับข้อมูลและความ ช่วยเหลือเกี่ยวกับการให้นมแม่อย่างครบถ้วน เพื่อที่จะมีความเชื่อมั่นในการให้นมแม่ข้อมูลเกี่ยวกับ นมผงที่จะออกสู่สาธารณชนต้องมีการควบคุม ไม่ให้มีการโฆษณาเกินจริง หรือชักนำให้เข้าใจผิดว่า นมผงมีคุณค่าเทียบเคียงนมแม่ พ่อแม่จะไม่ถูกชักจูงให้เข้าใจเรื่องการให้นมแม่อย่างผิดๆ โดย การตลาด และการโฆษณานมผงห้ามการแจกนมผงฟรีให้กับแม่ตั้งครรภ์ หลังคลอด หรือแม่ที่มีลูก เล็ก ทั้งนี้เพราะ ทารกต้องดูดนมแม่เพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนมในทันทีหลังคลอด หากมีการให้นมผง ในช่วงนี้ ลูกจะไม่ดูดเต้าแม่ ร่างกายแม่จะหยุดผลิตน้ำนม ทำให้ต้องซื้อนมผงมาชงให้ลูกกินต่อไป เรื่อยๆ นอกจากนี้ การโฆษณาและการทำการตลาดของนมผง ทำให้ราคานมผงแพงเกินจริง ครอบครัวที่มีความจำเป็นต้องใช้นมผง จะต้องสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมากไปกับผลิตภัณฑ์ที่ ต้นทุนการผลิตต่ำ แต่ต้นทุนการโฆษณาสูง ถ้าไม่มีการโฆษณา ราคาของนมผงจะเป็นธรรมมากขึ้น จึงสมควรที่จะบัญญัติกฎหมายนี้Publication Open Access การค้าเสรีและผลกระทบต่อการควบคุมการบริโภคยาสูบ(2558) นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์; Nithat Sirichotiratana; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขPublication Open Access การคุ้มครองการเรียกเก็บค่าบริการของผู้รับบริการในหน่วยบริการตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ในกรุงเทพมหานคร(2561) ศิรินภา ใจยะบาล; สุธี อยู่สถาพร; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; ยุวนุช สัตยสมบูรณ์; Sirinapa Jaiyaban; Suthee Usathaporn; Chardsumon Prutipinyo; Youwanuch Sattayasomboon; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขการวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวทาง และกระบวนการ คุ้มครองการเรียกเก็บค่าบริการในกรุงเทพมหานคร โดยใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างเก็บข้อมูลในกลุ่ม ตัวอย่าง คือ เจ้าหน้าที่หน่วยบริการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ของโรงพยาบาลจำนวนเรื่องร้องเรียนมาก ที่สุด ในปี 2558 จำนวน 10 แห่ง และผู้บริหารสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน 2 คน ผลการวิจัย พบว่า หน่วยบริการมีแนวทาง และกระบวนการคุ้มครองการเรียกเก็บค่ายา หรือ เวชภัณฑ์ หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์นอกรายการเบิก ว่าหน่วยบริการแจ้งให้ผู้รับบริการทราบก่อน หาก ผู้ป่วยไม่สามารถชำระค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ แพทย์จะปรับไปใช้ยา หรืออุปกรณ์ หรือเวชภัณฑ์ หรือเรียกเก็บ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากผู้ป่วยเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อหน่วยบริการ หากเป็นกรณีรับส่งต่อมา หน่วยบริการที่ ให้การรักษาจะดำเนินการเช่นเดียวกับเบื้องต้น แต่เพิ่มเติมการตกลงกับหน่วยบริการประจำให้ช่วยเหลือ ค่าใช้จ่ายก่อน แต่ค่ายา อุปกรณ์ เวชภัณฑ์ ที่ผู้ป่วยร้องขอ หน่วยบริการทั้งหมดจะเรียกเก็บจากผู้ป่วย เมื่อ เกิดเรื่องร้องเรียน หน่วยบริการบางแห่งคืนเงินให้แก่ผู้ป่วยทุกรายเพื่อลดผลกระทบ และหน่วยบริการบาง แห่งจะคืนเงินให้หากไม่ขัดต่อนโยบายหน่วยบริการ ทั้งนี้ หน่วยบริการที่ได้รับคำสั่งตามมาตรา 59 (2) คืน เงินให้ตามคำสั่งทุกรายและปรับกระบวนการ เช่น แจ้งเวียนภายในหน่วยบริการ ผู้บริหารสำนักงาน หลักประกันสุขภาพแห่งชาติเห็นว่าเหมาะสมแล้ว ควรมีการแจ้งเวียนให้หน่วยบริการอื่นทราบ และควรสร้าง มาตรการควบคุมจากทุกภาคส่วน ข้อเสนอแนะ ควรมีกองทุนสนับสนุนค่ายา/อุปกรณ์ทางการแพทย์นอกรายการเบิกจ่ายจาก หน่วยบริการประจำ โดยมีคณะทำงานพิจารณาความจำเป็นผู้ป่วยรายกรณี กำหนดมาตรการควบคุมจาก ส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง แจ้งเวียนให้หน่วยบริการทราบผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียนจาก คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข และปรับระบบการเบิกจ่ายให้เป็นปัจจุบัน และจูงใจผู้ให้บริการมากขึ้นPublication Open Access การจัดการความเสี่ยงทางคลินิกของบุคลากรการแพทย์ โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์(2565) จรัญ โดยเจริญ; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; วิริณธิ์ กิตติพิชัย; Charan Doicharoen; Chardsumon Prutipinyo; Wirin Kittipichai; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุข; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอนามัยครอบครัวการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวัดระดับการจัดการความเสี่ยงทางคลินิก และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการความเสี่ยงทางคลินิกของบุคลากรการแพทย์ โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรการแพทย์ที่ให้บริการผู้ป่วยโดยตรง จำนวน 260 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา และหาค่าความเที่ยงโดยวิธีแอลฟาของครอนบาค ในส่วนที่ 2 และ 3ได้เท่ากับ .805 และ .957 ตามลำดับ วิเคราะห์โดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติหาความสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 94.2) มีอายุระหว่าง 22-30 ปี (ร้อยละ 57.7) เป็นพยาบาลวิชาชีพ (ร้อยละ 86.2) การศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 96.20) มีชั่วโมงการทำงาน 41-50 ชั่วโมง/ต่อสัปดาห์ (ร้อยละ 36.20) และมีระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลอยู่ระหว่าง 3-5 ปี (ร้อยละ 35.8) การวิเคราะห์การจัดการความเสี่ยงทางคลินิก พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับสูง ( =3.57, S.D.=0.63) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า การกระทำที่ไม่ปลอดภัย การควบคุมกำกับติดตามการกระทำที่ไม่ปลอดภัย และอิทธิพลจากองค์กร มีความสัมพันธ์กับการจัดการความเสี่ยงทางคลินิกของบุคลากรการแพทย์ โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ (r= -0.906, r=0.682 และ r = 0.430 ตามลำดับ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (0.05) ดังนั้น ควรส่งเสริมให้บุคลากรค้นหาความเสี่ยงเชิงรุกจากการปฏิบัติงาน และการศึกษา เรียนรู้ อุบัติการณ์ความเสี่ยงจากหน่วยงานอื่น เพื่อวิเคราะห์ความรุนแรง ความถี่ และการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ ผู้บริหารมีส่วนสำคัญต่อระบบบริหารจัดการความเสี่ยงทางคลินิก โดยกำหนดผู้มีบทบาทหน้าที่คอยควบคุมกำกับ ติดตาม และกำหนดมาตรการป้องกันการกระทำที่ไม่ปลอดภัยของบุคลากรการแพทย์Publication Open Access การดำเนินการในลักษณะองค์การเพื่อสังคมโดยอุตสาหกรรมยาสูบ(2560) นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์; Nithat Sirichotiratana; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขการเป็นองค์กรธุรกิจเพื่อสังคมเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมยาสูบใช้เป็นเครื่องมือในการ ส่งเสริมภาพลักษณ์ การประชาสัมพันธ์เพื่อลดกระแสต่อต้านจากสังคม และสร้างความน่าเชื่อถือ ในระดับชาติและระดับสากล ดังนั้น การดำเนินกิจกรรมการเป็นองค์กรธุรกิจเพื่อสังคมเป็น เครื่องมือทางการตลาดและประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีสำหรับองค์กร โดยมี เป้าประสงค์ในการโน้มน้าวผู้กำหนดนโยบายและการมีอิทธิพลเหนือนโยบายสาธารณสุข รายงานการวิเคราะห์ขององค์การอนามัยโลกสรุปได้ว่า การทำกิจกรรมเพื่อสังคมและ อุตสาหกรรมยาสูบเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างพฤติกรรมของการมีจริยธรรมและการขาย ผลิตภัณฑ์แห่งความตาย ดังนั้น การใช้มาตรา 5.3 ในกรอบอนุสัญญาการควบคุมยาสูบของ องค์การอนามัยโลก เป็นสิ่งจำเป็นในการควบคุมอุตสาหกรรมยาสูบอย่างมีประสิทธิผลPublication Metadata only การดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551(2555) นิภาภรณ์ จันโทภาส; สุรชาติ ณ หนองคาย; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; เชษฐ รัชดาพรรณาธิกุล; ดุสิต สุจิรารัตน์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุข; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. ภาควิชาสังคมศาสตร์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาระบาดวิทยาPublication Open Access การตัดสินใจใช้บริการรักษาพยาบาลข้ามขั้นตอนของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในโรงพยาบาลศิริราช(2560) สุรางคนา สมันเลาะห์; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์; สุธี อยู่สถาพร; นพดล โสภารัตนาไพศาล; Surangkana Samanloh; Chardsumon Prutipinyo; Nithat Sirichotiratana; Suthee U-sathaporn; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการตัดสินใจใช้บริการข้ามขั้นตอนของผู้ป่วยโรคมะเร็งและเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการรับรู้สิทธิการรักษาพยาบาลตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มาใช้บริการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลศิริราช ขนาดตัวอย่างจำนวน 213 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ป่วยที่ใช้สิทธิตามขั้นตอน จำนวน 142 คน และกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้สิทธิข้ามขั้นตอน จำนวน 71 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม ผลการศึกษา พบว่า ผู้เข้าร่วมวิจัยกลุ่มที่ใช้สิทธิตามขั้นตอนมีการรับรู้ขั้นตอนการใช้สิทธิ การรักษาอยู่ในระดับดี แต่การใช้สิทธิในภาวะฉุกเฉินและกรณีป่วยเป็นโรคเฉพาะในระดับปานกลาง แต่กลุ่มผู้ป่วยที่ใช้สิทธิข้ามขั้นตอน มีการรับรู้ขั้นตอนการใช้สิทธิ การรักษาอยู่ในระดับดี แต่การใช้สิทธิในภาวะฉุกเฉินและกรณีป่วยเป็นโรคเฉพาะในระดับต่ำ การยอมรับและเชื่อถือต่อแพทย์และโรงพยาบาลศิริราช ร้อยละ 91.2 การตัดสินใจใช้บริการข้ามขั้นตอนมีปัจจัยหลายด้าน การรับรู้สิทธิขั้นพื้นฐานทางสุขภาพ การรับรู้บริการทางสุขภาพที่สามารถใช้ในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงการรับรู้สถานพยาบาลที่สิทธิเข้ารับบริการรักษาพยาบาลในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจในการใช้บริการข้ามขั้นตอนการรักษาตามสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนี้สถานภาพสมรส รายได้ ค่าใช้จ่าย ปัจจัยทางสาธารณูปโภคและการเจ็บป่วยครั้งล่าสุด ก็มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจในการใช้บริการข้ามขั้นตอนการรักษาตามสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากผลการวิจัย จึงควรมีการให้ความรู้เกี่ยวกับข้อมูลของโครงการหลักประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นในทุกด้าน เพื่อลดปัญหาการตัดสินใจในการใช้บริการข้ามขั้นตอนของผู้ป่วยโรคมะเร็งPublication Open Access การตัดสินใจใช้สิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตของผู้ป่วยทหารผ่านศึก(2561) รุ่งมณี พุกไพจิตร์; สุธี อยู่สถาพร; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์; Rungmanee Pukpaijit; Suthee Usathaporn; Chardsumon Prutipinyo; Nithat Sirichotiratana; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการตัดสินใจใช้สิทธิทำหนังสือ แสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตของ ผู้ป่วยทหารผ่านศึก ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาคือผู้ป่วยทหารผ่านศึกที่พักรักษาตัวในหอผู้ป่วยอัมพาต ของโรงพยาบาลทหารผ่านศึกจำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสังเกต และแบบ สัมภาษณ์เชิงลึก ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยทหารผ่านศึกส่วนใหญ่มีอายุในช่วง 51-60 ปี นับถือศาสนาพุทธ เป็นบัตรทหารผ่านศึกชั้น 4 มากที่สุด มีสภาพความพิการ คือ อัมพาตครึ่งท่อนมากที่สุด มีระยะเวลารับ การรักษามากที่สุดคือ 20 ปีขึ้นไป ความสัมพันธ์ของผู้ป่วยและครอบครัว ผู้ป่วยทหารผ่านศึกส่วนใหญ่ เลิกกับภรรยาเนื่องจากความพิการด้านร่างกาย จากแบบประเมิน The Barthel Activity of Daily Living scale พบว่า ผู้ป่วยทหารผ่านศึกมีระดับการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันคือ สามารถทำกิจวัตร ประจำวันได้เองในระดับปานกลางมากที่สุด ผู้ป่วยทหารผ่านศึกเคยประสบการณ์กับภาวะใกล้ตายด้วย ตนเอง และเคยมีประสบการณ์เห็นผู้ที่อยู่ในภาวะใกล้เสียชีวิต หรือเสียชีวิต ผู้ป่วยทหารผ่านศึกทุกคนยัง ขาดความรู้ แต่ทุกคนก็ตัดสินใจใช้สิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่ เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตโดยบริการสาธารณสุขที่ผู้ป่วยทหารผ่านศึกต้องการที่จะ ปฏิเสธมากที่สุดคือการช่วยฟื้นคืนชีพ และการใส่ท่อช่วยหายใจตามลำดับ จากผลการศึกษามีข้อเสนอแนะคือ ควรมีการส่งเสริมให้ผู้ป่วยทหารผ่านศึกมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตด้านเอกสารสำหรับผู้ป่วยทหารผ่านศึกที่จะประสงค์จะใช้สิทธิในการแสดงเจตนาดังกล่าวPublication Open Access การเตรียมความพร้อมรับอุทกภัยของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอในเขตสุขภาพที่ 1, 2, และ 3(2560) กาญจนา เอี่ยมอักษร; สุรชาติ ณ หนองคาย; ยุวนุข สัตยสมบูรณ์; วิริณธิ์ กิตติพิชัย; Kanjana Iamaksorn; Surachart Na Nongkhai; Youwanuch Sattayasomboon; Wirin Kittipichai; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุข; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอนามัยครอบครัวการเตรียมความพร้อมรับอุทกภัยมีความสำคัญ ต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน การวิจัย เชิงพรรณนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการเตรียม ความพร้อมรับอุทกภัย ของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ในเขตสุขภาพที่ 1, 2 และ 3 ใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูล จากผู้รับผิดชอบงานเตรียมความพร้อมรับอุทกภัย จำานวน 155 คน สถิติวิเคราะห์ใช้ Independent T-test และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ที่ระดับ สำาคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า การเตรียม ความพร้อมรับอุทกภัยของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ อยู่ในระดับดี (ร้อยละ 76.13) ความรู้ การรับรู้ ในการเตรียมความพร้อมรับอุทกภัย และการมีส่วนร่วม ของเครือข่ายในการเตรียมความพร้อมรับอุทกภัย อยู่ในระดับดี (ร้อยละ 90.3, 60.6, และ 63.2 ตามลำดับ) สำานักงานที่มีประสบการณ์ในการรับ อุทกภัยในรอบ 10 ปี 3 ครั้งขึ้นไป มีคะแนนเฉลี่ย การเตรียมความพร้อมรับอุทกภัยมากกว่าสำนักงาน ที่มีประสบการณ์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 ครั้งอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.025) การมีส่วนร่วมของ หน่วยงานเครือข่ายในการเตรียมความพร้อมรับ อุทกภัยสัมพันธ์กับการเตรียมความพร้อมรับอุทกภัย (p = 0.003) ข้อเสนอแนะคือ ผู้บริหารเขตสุขภาพ ควรมีนโยบายจัดทำแผนและฝึกปฏิบัติการเตรียม ความพร้อมรับอุทกภัยร่วมกันระหว่างสำนักงาน สาธารณสุขอำเภอที่มีประสบการณ์น้อย (0-2 ครั้ง) กับสำนักงานที่มีประสบการณ์รับอุทกภัยตั้งแต่ 3 ครั้ง ขึ้นไป เพื่อให้สำนักงานสาธารณสุขทุกแห่งมีการเตรียม ความพร้อมในระดับดีPublication Open Access การทบทวนกฎหมายและนโยบายด้านผู้สูงอายุสู่การจัดการสุขภาพ(2558) ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; Chardsumon Prutipinyo; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขข้อมูลสถิติผู้สูงอายุในประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว ประเทศไทยได้มีการบัญญัติพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 โดยกำหนดให้ผู้สูงอายุมีสิทธิที่ได้รับ การคุ้มครอง ส่งเสริมและสนับสนุนในด้านต่างๆ เช่น บริการสุขภาพ บริการด้านสังคม การช่วยเหลือ หรือยกเว้นค่าบริการสาธารณะต่างๆ การได้รับการสงเคราะห์ในด้านที่อยู่อาศัย เบี้ยยังชีพ เป็นต้น มี การลดหย่อนด้านภาษีให้กับผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์สินแก่กองทุน รวมทั้งการลดหย่อนภาษีให้กับผู้ อุปการะบุพการี จากกฎหมายสู่การจัดการดูแลผู้สูงอายุ มีกลไกการพัฒนานโยบายสำหรับผู้สูงอายุของ ประเทศไทย มี 3 ระดับ คือ 1) ในระดับชาติ มีคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติที่ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2549 ตามแนวทางการพัฒนานโยบายแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 2) ในระดับ กระทรวง กระทรวงที่เป็นหลักในการจัดบริการสำหรับผู้สูงอายุคือ กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ และ 3) ในระดับปฏิบัติการ หน่วยงานส่วนภูมิภาค พัฒนาบริการตามกรอบและการสนับสนุนวิชาการ จากหน่วยงานส่วนกลาง ภาพรวมจากกฎหมายสู่ การจัดการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุต้องทำแบบองค์รวม และบูรณาการทั้งในมิติด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง การจัดการความเข้มแข็งชุมชนให้เอื้อต่อการพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุ โดยส่งเสริมและ พัฒนาบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุPublication Open Access การทบทวนองค์ความรู้การห้ามโฆษณาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างสิ้นเชิง(2554) นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์; Nithat Sirichotiratana; นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุขอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์พยายามที่สร้างภาพลักษณ์ให้เป็นที่ยอมรับในสังคม และใช้กลยุทธ์ ในการโฆษณาเพื่อดึงดูดเยาวชนและวัยรุ่นให้เป็นลูกค้า หรือเหยื่อรายใหม่ ถึงแม้จะปฏิเสธมาโดยตลอดว่าไม่ได้ใช้ การโฆษณาเพื่อล่อลวง หรือดึงดูดเยาวชนให้เข้ามาเป็นลูกค้า แต่เมื่อดูพฤติกรรมแล้วเห็นได้ชัดว่าอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ทุ่มเทงบประมาณในการโฆษณาและทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อดึงดูดเยาวชนและวัยรุ่นตลอดมา มาตรการการห้ามโฆษณาเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็นและมีประสิทธิผลเป็นอย่างมากในการป้องกันไม่ให้เยาวชน หลงกลการโฆษณาชวนเชื่อของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งการให้ข้อมูลที่ถูกต้องด้านสุขภาพ หรือ การต่อต้านการโฆษณาจะเป็นสิ่งที่จำเป็นในการปกป้องสุขภาพของประชาชน ประเทศที่มีการห้ามโฆษณาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งครอบคลุมสื่อทุกประเภท และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด (ทั้งเบียร์ ไวน์ และสุรากลั่น) อย่างเข้มงวด เป็นหนึ่งมาตรการในการลดปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และลดจำนวนนักดื่มหน้าใหม่ อย่างมีประสิทธิผล องค์การอนามัยโลกเสนอแนะมาตรการการห้ามโฆษณาอย่างสิ้นเชิง เป็นหนึ่งในมาตรการที่มีประสิทธิผลของการควบคุมการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ The alcohol industry portrays positive images concerning alcohol consumption through all advertising media. These images often are geared to attract young people by showing young and attractive people in active social activities. Although the industry strongly denies that they have targeted youth in their advertisements, but the effect of their advertising campaigns in the marketplace have precisely that result. Tens of millions of Baht are spent on television, radio and print advertisements promising consumers will have a much better time in their lives if they consume the product these companies promote. An advertising ban is a necessary and effective measure in preventing youth from the deception and propaganda of the alcohol industry. Providing accurate health information or counter advertising is imperative in protecting the public health. Countries which enforce a total ban upon alcohol advertising, including all advertisingavenues and every kind of alcoholic beverage (beer, wine, and spirits), usually experience a decline in overall sales with a corresponding reduction in the number of young people most often seduced into becoming an alcohol consumer. The World Health Organization recommends a total ban on alcohol advertising as one of the most effective measures in alcohol control.