Publication:
พฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพของกำลังพล กองทัพบก ตามโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต

dc.contributor.authorภัทริดา เอกบรรณสิงห์en_US
dc.contributor.authorธราดล เก่งการพานิชen_US
dc.contributor.authorมณฑา เก่งการพานิชen_US
dc.contributor.authorเอกกมล สินหนังen_US
dc.contributor.otherมหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์en_US
dc.contributor.otherกรมกำลังพลทหารบกen_US
dc.date.accessioned2022-04-21T16:15:17Z
dc.date.available2022-04-21T16:15:17Z
dc.date.created2565-04-21
dc.date.issued2550
dc.description.abstractการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกำลังพลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 จนถึงปัจจุบัน ตาม “โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต” แสดงให้เห็นว่ากองทัพบกให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิตของ กำลังพล การส่งเสริมสุขภาพจึงเป็นมิติหนึ่งของคุณภาพชีวิตที่ต้องได้รับการพัฒนาด้วย การวิจัย เชิงสำรวจภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ปัจจัยที่สัมพันธ์ และกำหนดพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของกำลังพล กองทัพบก โดยครอบคลุมพฤติกรรมสุขภาพ 5 ด้าน คือ การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และการป้องกันอุบัติเหตุจราจร ศึกษาในกำลังพลตัวอย่าง 1,043 นาย และผู้บังคับหน่วยทหาร 9 หน่วย ด้วยแบบสอบถามระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคม พ.ศ.2549 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ไคว์สแควร์ สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ ถดถอยพหุแบบขั้นตอน การศึกษา พบว่า กำลังพลมีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพระดับดีมาก ร้อยละ 38.7 และควรปรับปรุง ร้อยละ 22.7 พฤติกรรมในมิติย่อยที่เด่นของกำลังพล คือการออกกำลังกายอยู่ในระดับดีมาก ร้อยละ 90.3 ส่วนการรับประทานอาหาร การไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และการป้องกันอุบัติเหตุจราจร ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมอยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่พฤติกรรมการไม่สูบบุหรี่อยู่ในระดับควรปรับปรุง ร้อยละ 41.2 แม้ว่าพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพกำลังพลในภาพรวมจะอยู่ในระดับดีมากและปานกลาง อย่างไรก็ตาม พบว่า พฤติกรรมสุขภาพของกำลังพลบางด้านจำเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไข กล่าวคือ กำลังพลรับประทานอาหารวันละ 1-2 มื้อ ร้อยละ 33.2 ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังทุกวันและบ่อยมาก ร้อยละ 53.0 ดื่ม ชา กาแฟ ทุกวันและบ่อยมาก ร้อยละ 28.4 ปัจจุบันกำลังพลสูบบุหรี่ ร้อยละ 41.2 ดื่มเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ 61.2 สวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง ร้อยละ 76.1 คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ร้อยละ 46.7 เคยดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 1 ชั่วโมง ก่อนขับขี่ยานพาหนะ ร้อยละ 39.3 เคยรับประทานยา กระตุ้นระบบประสาทก่อนการขับขี่ยานพาหนะ ร้อยละ 29.0 และไม่ข้ามถนนตรงทางม้าลาย ร้อยละ 46.9 ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของกำลังพลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 คือ อายุ ระดับการศึกษา และทัศนคติเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ การรับรู้ความ สามารถตนและการรับรู้ประโยชน์เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ การสร้างสมการทำนายพฤติกรรม ส่งเสริมสุขภาพของกำลังพล พบว่า ตัวแปรจำนวน 4 ตัว เรียงลำดับตามความสามารถทำนายจาก มากไปน้อย ดังต่อไปนี้ การรับรู้ความสามารถตนเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ ระดับการศึกษา เพศและสถานภาพในกองทัพบก สามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพได้ ร้อยละ 13.7 เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกำลังพล หน่วยทหารของกองทัพบกที่เกี่ยวข้องควรสร้าง ความตระหนักและส่งเสริมให้กำลังพลรับประทานอาหารครบ 3 มื้อ ลด ละ เลิก การดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ส่งเสริมให้กำลังพลเลิกสูบบุหรี่ และเลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และสร้างความตระหนักในการ ป้องกันอุบัติเหตุจราจร ข้อเสนอแนะในการดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตระยะต่อไป ต้องจัดกิจกรรมที่เน้นคุณธรรมและจริยธรรมของกำลังพลและครอบครัว และกิจกรรมเศรษฐกิจ พอเพียง การวิจัยในครั้งต่อไปควรเพิ่มเติมปัจจัยให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถทำนาย พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของกำลังพลได้มากขึ้น และดำเนินการวิจัยประเมินผลเพื่อประเมิน การดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกองทัพบก ในทุกมิติ เพื่อให้ทราบถึงความ สำเร็จของการดำเนินงานและปัญหาอุปสรรคอันจะเป็นแนวทางในการปรับปรุงโครงการต่อไปen_US
dc.description.abstractThe continuous quality of life development for the Royal Thai Army under the quality of life development project has parceled from 1999 up to the present, it shows that the Royal Thai Army has recognized the importance of quality of life of army officers. Health promotion is one aspect of quality of life that has been developed. This cross-section survey research aimed to study health-promoting behavior, and factors affecting and determining healthpromoting behavior in the Royal Thai Army. The health-promoting behaviors studied were dietary, physical exercise, smoking, alcohol drinking, and traffic accident prevention behaviors. The study group comprised 1,043 Thai Army personnel and 9 army administrative officers. The data were collected by questionnaire during October and December, 2006. The data were analyzed by computing frequency, percentage, arithmetic means, standard deviation, Chi-square, Pearson’s Product Moment coefficient Correlation and Stepwise Multiple Regression Analysis.en_US
dc.identifier.citationวารสารสุขศึกษา. ปีที่ 30, ฉบับที่ 105 (ม.ค.- เม.ย. 2550), 75-105en_US
dc.identifier.urihttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/64564
dc.language.isothaen_US
dc.rightsมหาวิทยาลัยมหิดลen_US
dc.rights.holderคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลen_US
dc.subjectพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพen_US
dc.subjectคุณภาพชีวิตen_US
dc.subjectกองทัพบกen_US
dc.subjectJournal of Health Educationen_US
dc.titleพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพของกำลังพล กองทัพบก ตามโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตen_US
dc.title.alternativeHealth–Promoting Behavior Among the Royal Thai Army Under Quality of Life Development Projecten_US
dc.typeResearch Articleen_US
dspace.entity.typePublication

Files

Original bundle

Now showing 1 - 1 of 1
Thumbnail Image
Name:
ph-ar-tharadol-2550.pdf
Size:
2.22 MB
Format:
Adobe Portable Document Format

License bundle

Now showing 1 - 1 of 1
No Thumbnail Available
Name:
license.txt
Size:
1.71 KB
Format:
Item-specific license agreed upon to submission
Description:

Collections