Mother's work related to infant morbidity and mortality in Thailand
15
Issued Date
2014
Copyright Date
2014
Resource Type
Language
eng
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
xi, 135 leaves : ill.
Access Rights
open access
Rights
ผลงานนี้เป็นลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล ขอสงวนไว้สำหรับเพื่อการศึกษาเท่านั้น ต้องอ้างอิงแหล่งที่มา ห้ามดัดแปลงเนื้อหา และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้า
Rights Holder(s)
Mahidol University
Bibliographic Citation
Thesis (Ph.D. (Demography))--Mahidol University, 2014
Suggested Citation
Tiwarat Tor.Jarern Mother's work related to infant morbidity and mortality in Thailand. Thesis (Ph.D. (Demography))--Mahidol University, 2014. Retrieved from: https://repository.li.mahidol.ac.th/handle/123456789/113130
Title
Mother's work related to infant morbidity and mortality in Thailand
Alternative Title(s)
อาชีพของมารดาสัมพันธ์กับการเจ็บป่วยและการตายของทารกในประเทศไทย
Author(s)
Abstract
A mother is the key caretaker of children in their early life. The relationship between the mother and her infant has an important impact on the infant's health and mortality. In recent times, the proportion of women in the workforce has increased responsibilities. Hence it is important to understand the relationship between the socioeconomic-occupation of mothers during late pregnancy and infant morbidity and mortality; in specific age groups; related to experiences of infant hospitalization within the first year of age; and their survival probability at that given time. This study is a prospective cohort study of Thai children (PCTC) during the period from 2000-2002. Data were collected, and a prospective cohort analysis was performed on mothers and infants, 4,155 and 4,245, respectively. In a multivariate analysis of infant morbidity, there was no significance between working and non-working mothers’ experiences with infant hospitalization. Although, those working mother in use one of the regarding by five socioeconomic-subgroups: non-work (unemployment), informal work, low occupations level (Blue collar), middle occupations level (high-waged Blue-collar jobs or low-waged White-collar jobs) and high occupations level (White-collar) subgroups showed that the significantly higher adds of having experienced infant's hospitalization among the high occupations level and non-working mothers (adjusted odds ratio (AOR) = 1.7), and overtime (AOR = 1.7) as per Generalized Estimating Equations (GEE). When considering infant morbidity during the 7-12 months of age, the middle and high occupational level subgroup compared to non-working mothers had an association with experienced infant hospitalization (AOR = 1.9 and 1.5 respectively). The mortality results of the Kaplan-Meier's analysis did not find the link between mother's work sub-groups and the death in neonatal or post-neonatal period, whereas the Fisher's Exact analysis or Chi-Square results did not find these relationships. However, some infant’s factors: gender, birth weight, and gestational age, previous experienced to hospital infant morbidity (prior to 3 months and 6 months of infant ages); bottle feeding; and DPT vaccine within first 6 months. Mother's age, mother's education; mother's household income per head quartile, and residential area of the mother were statistically significantly to infant morbidity. Furthermore, there are other infant mortality factors related to variables which include: visits to an ANC clinic, perinatal hospitalized infant morbidity, preterm birth (< 37 week of gestational age), and low birth weight (< 2,500 gram), and place of residence. In conclusion, the work responsibilities of pregnant mothers in the workforce had no statistically significant relationship with infant morbidity and mortality, while the high socioeconomic-occupational subgroups of mothers had a statistically significant association with experienced hospitalized infant morbidity compared to non-working mothers in the second half year of life and over an extended period of time. This evidence directs that benefits policy makers who are concerned with pregnant mothers’ employment, maternity leave of high occupational level and its affect on reducing experiences of having to be admitted into the hospital of infants in second half of their first year and over time. Thai public health staff should be concerned about the dynamic of mother's work subgroups throughout the first year of life.
มารดาเป็นบุคคลสำคัญในการเลี้ยงดูเด็กในช่วงแรก ๆ ของชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างมารดาและเด็กทารกมีความสำคัญต่อสุขภาพและการตายของเด็กทารก สัดส่วนของการทำงานของผู้หญิงไทยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง อาชีพตามสภาวะเศรษฐกิจสังคมของมารดา ตั้งแต่ช่วงปลายของการตั้งครรภ์ กับการเจ็บป่วยและการตายของเด็กทารก ตามประสบการณ์การนอนโรงพยาบาลในแต่ละกลุ่มช่วงอายุ และ ตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้นตามเวลา กลุ่มโรคที่พบบ่อยในเด็ก และ โอกาสการรอดชีวิตในแต่ละช่วงอายุ ในช่วงขวบปีแรกของชีวิต การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบติดตามไปข้างหน้า จากโครงการวิจัยระยะยาวในเด็กไทยระหว่างปี 2543-2545 ข้อมูล มารดาตั้งแต่ตั้งครรภ์และเด็กทารก จนครบอายุ 1 ปี จำนวนทั้งหมด 4,155 และ 4,245 เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการป่วยและตายของเด็ก ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์การป่วยพบว่า เมื่อควบคุมตัวแปรอื่น ๆ แล้ว มารดาที่ทำงานเทียบกับมารดาที่ไม่ทำงานนั้น พบว่า มารดาที่ทำงานไม่มีความสัมพันธ์กับประสบการณ์เคยป่วยนอนโรงพยาบาลของเด็ก แต่พบว่า เมื่อแบ่งกลุ่มอาชีพของมารดาตามสภาวะเศรษฐกิจและสังคม เป็น 5 กลุ่ม คือ ไม่ทำงาน กลุ่มอาชีพแรงงานนอกระบบ กลุ่มอาชีพ ระดับพื้นฐาน ระดับปานกลาง และระดับสูง แล้วนั้น มารดาที่ทำอาชีพในกลุ่มเศรษฐกิจและสังคมระดับสูงจะมีโอกาสที่ลูกจะป่วยมากกว่ามารดาที่ไม่ทำงาน (adjusted odds ratio (AOR) = 1.7) จาก การวิเคราะห์ Multiple logistic regression และ เมื่อช่วงอายุของทารกที่เปลี่ยนไปตามเวลา (AOR = 1.7) จาก การวิเคราะห์ Generalized Estimating Equation นอกจากนี้ เมื่อแยกพิจารณากลุ่มอายุ ในช่วง 7-12 เดือน กลุ่มมารดาที่มีอาชีพทางเศรษฐกิจและสังคมระดับปานกลางและสูง มีโอกาสที่ลูกจะมีประสบการณ์นอนโรงพยาบาลสูงมากกว่ามารดาที่ไม่ทำงาน 1.9 และ 1.5 เท่า ตามลำดับ ส่วนผลการวิเคราะห์การตาย โดย Kaplan-Meier แสดงให้เห็นว่า การตายช่วงแรกเกิด (< 28 วัน) และ การตายของทารกหลังคลอด 28 วัน ไม่มีความสัมพันธ์กับอาชีพของมารดา เช่นเดียวกับ ผลการวิเคราะห์โดย Fisher's Exact และ Chi-square ที่ไม่พบความสัมพันธ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่นที่มีความสัมพันธ์กับการป่วยของทารก เช่น ปัจจัยของทารก ได้แก่ เพศ น้ำหนักแรกเกิด อายุครรภ์ที่คลอด, ปัจจัยจาก ตัวแปรแทรกกลางของ มอสเลย์ และ เฉิน (ค.ศ. 1984) ได้แก่ ประสบการณ์นอนโรงพยาบาลในช่วงอายุก่อน 3 เดือน (และ 6 เดือน) ระยะเวลาการเริ่มให้นมโดยใช้ขวดนม การฉีดวัคซีน คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ในช่วงอายุ 6 เดือน อายุของมารดา, ปัจจัยจากเศรษฐกิจสังคม ของมารดา ได้แก่ การศึกษา, รายได้ต่อหัวประชากรในครัวเรือนควอร์ไทล์ และ ปัจจัยด้านชุมชน: พื้นที่อยู่อาศัย ส่วนปัจจัยอื่นสัมพันธ์กับการตายของทารกได้แก่ การเข้าใช้บริการคลินิกฝากครรภ์ ประสบการณ์การนอนโรงพยาบาลโดยกลุ่มโรคปริกำเนิด การคลอดก่อนกำหนด (< 37 สัปดาห์) น้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่าเกณฑ์ (< 2500 gram) และที่อยู่อาศัย มีผลต่อการตายของเด็กทารก โดยสรุปแล้ว การทำงานของหญิงตั้งครรภ์ไม่มีความสัมพันธ์กับการป่วยและการตายของเด็กทารกอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลุ่มอาชีพของมารดาเมื่อแบ่งตามสภาวะเศรษฐกิจและสังคม เป็น 5 กลุ่ม มีความแตกต่าง คือ กลุ่มอาชีพระดับสูง มีโอกาสที่เด็กทารกจะมีประสบการณ์การนอนโรงพยาบาลมากกว่ากลุ่มที่ไม่ทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 7-12 เดือน และเมื่อพิจารณาช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น ผลการวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการลาคลอดบุตรของมารดาในกลุ่มอาชีพระดับสูง และนโยบายลดการป่วยนอนโรงพยาบาลของเด็กทารก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังของขวบปีแรก เจ้าหน้าที่สาธารณสุขไทยควรกำหนดยุทธศาสตร์ในการดูแลการเจ็บป่วยของทารกตามช่วงอายุที่ แตกต่างกันในขวบปีแรก ตามกลุ่มอาชีพของมารดาที่แตกต่างกัน
มารดาเป็นบุคคลสำคัญในการเลี้ยงดูเด็กในช่วงแรก ๆ ของชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างมารดาและเด็กทารกมีความสำคัญต่อสุขภาพและการตายของเด็กทารก สัดส่วนของการทำงานของผู้หญิงไทยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง อาชีพตามสภาวะเศรษฐกิจสังคมของมารดา ตั้งแต่ช่วงปลายของการตั้งครรภ์ กับการเจ็บป่วยและการตายของเด็กทารก ตามประสบการณ์การนอนโรงพยาบาลในแต่ละกลุ่มช่วงอายุ และ ตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้นตามเวลา กลุ่มโรคที่พบบ่อยในเด็ก และ โอกาสการรอดชีวิตในแต่ละช่วงอายุ ในช่วงขวบปีแรกของชีวิต การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบติดตามไปข้างหน้า จากโครงการวิจัยระยะยาวในเด็กไทยระหว่างปี 2543-2545 ข้อมูล มารดาตั้งแต่ตั้งครรภ์และเด็กทารก จนครบอายุ 1 ปี จำนวนทั้งหมด 4,155 และ 4,245 เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการป่วยและตายของเด็ก ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์การป่วยพบว่า เมื่อควบคุมตัวแปรอื่น ๆ แล้ว มารดาที่ทำงานเทียบกับมารดาที่ไม่ทำงานนั้น พบว่า มารดาที่ทำงานไม่มีความสัมพันธ์กับประสบการณ์เคยป่วยนอนโรงพยาบาลของเด็ก แต่พบว่า เมื่อแบ่งกลุ่มอาชีพของมารดาตามสภาวะเศรษฐกิจและสังคม เป็น 5 กลุ่ม คือ ไม่ทำงาน กลุ่มอาชีพแรงงานนอกระบบ กลุ่มอาชีพ ระดับพื้นฐาน ระดับปานกลาง และระดับสูง แล้วนั้น มารดาที่ทำอาชีพในกลุ่มเศรษฐกิจและสังคมระดับสูงจะมีโอกาสที่ลูกจะป่วยมากกว่ามารดาที่ไม่ทำงาน (adjusted odds ratio (AOR) = 1.7) จาก การวิเคราะห์ Multiple logistic regression และ เมื่อช่วงอายุของทารกที่เปลี่ยนไปตามเวลา (AOR = 1.7) จาก การวิเคราะห์ Generalized Estimating Equation นอกจากนี้ เมื่อแยกพิจารณากลุ่มอายุ ในช่วง 7-12 เดือน กลุ่มมารดาที่มีอาชีพทางเศรษฐกิจและสังคมระดับปานกลางและสูง มีโอกาสที่ลูกจะมีประสบการณ์นอนโรงพยาบาลสูงมากกว่ามารดาที่ไม่ทำงาน 1.9 และ 1.5 เท่า ตามลำดับ ส่วนผลการวิเคราะห์การตาย โดย Kaplan-Meier แสดงให้เห็นว่า การตายช่วงแรกเกิด (< 28 วัน) และ การตายของทารกหลังคลอด 28 วัน ไม่มีความสัมพันธ์กับอาชีพของมารดา เช่นเดียวกับ ผลการวิเคราะห์โดย Fisher's Exact และ Chi-square ที่ไม่พบความสัมพันธ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่นที่มีความสัมพันธ์กับการป่วยของทารก เช่น ปัจจัยของทารก ได้แก่ เพศ น้ำหนักแรกเกิด อายุครรภ์ที่คลอด, ปัจจัยจาก ตัวแปรแทรกกลางของ มอสเลย์ และ เฉิน (ค.ศ. 1984) ได้แก่ ประสบการณ์นอนโรงพยาบาลในช่วงอายุก่อน 3 เดือน (และ 6 เดือน) ระยะเวลาการเริ่มให้นมโดยใช้ขวดนม การฉีดวัคซีน คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ในช่วงอายุ 6 เดือน อายุของมารดา, ปัจจัยจากเศรษฐกิจสังคม ของมารดา ได้แก่ การศึกษา, รายได้ต่อหัวประชากรในครัวเรือนควอร์ไทล์ และ ปัจจัยด้านชุมชน: พื้นที่อยู่อาศัย ส่วนปัจจัยอื่นสัมพันธ์กับการตายของทารกได้แก่ การเข้าใช้บริการคลินิกฝากครรภ์ ประสบการณ์การนอนโรงพยาบาลโดยกลุ่มโรคปริกำเนิด การคลอดก่อนกำหนด (< 37 สัปดาห์) น้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่าเกณฑ์ (< 2500 gram) และที่อยู่อาศัย มีผลต่อการตายของเด็กทารก โดยสรุปแล้ว การทำงานของหญิงตั้งครรภ์ไม่มีความสัมพันธ์กับการป่วยและการตายของเด็กทารกอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลุ่มอาชีพของมารดาเมื่อแบ่งตามสภาวะเศรษฐกิจและสังคม เป็น 5 กลุ่ม มีความแตกต่าง คือ กลุ่มอาชีพระดับสูง มีโอกาสที่เด็กทารกจะมีประสบการณ์การนอนโรงพยาบาลมากกว่ากลุ่มที่ไม่ทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 7-12 เดือน และเมื่อพิจารณาช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น ผลการวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการลาคลอดบุตรของมารดาในกลุ่มอาชีพระดับสูง และนโยบายลดการป่วยนอนโรงพยาบาลของเด็กทารก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังของขวบปีแรก เจ้าหน้าที่สาธารณสุขไทยควรกำหนดยุทธศาสตร์ในการดูแลการเจ็บป่วยของทารกตามช่วงอายุที่ แตกต่างกันในขวบปีแรก ตามกลุ่มอาชีพของมารดาที่แตกต่างกัน
Description
Demography (Mahidol University 2014)
Degree Name
Doctor of Philosophy
Degree Level
Doctoral
Degree Department
Institute for Population and Social Research
Degree Discipline
Demography
Degree Grantor(s)
Mahidol University
