SI-Article
Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/123456789/76
Browse
Recent Submissions
Publication Open Access หลักการการประเมินผลทางแพทยศาสตร์ศึกษาประสบการณ์จากการร่วมการประชุมวิชาการแพทยศาสตร์ศึกษานานาชาติของสมาคมแพทยศาสตร์ศึกษายุโรป “Association of Medical Education in Europe (AMEE) 2014(2558) ฉันทชา สิทธิจรูญ; Chantacha SitticharoonPublication Open Access ผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาทัศนคติต่อวิชาชีพของนักศึกษากายอุปกรณ์ผ่านกิจกรรมเสริมหลักสูตร(2558) ธันยพร รักบางบูรณ์; รลักษณ์ ปรากฏมงคล; ณณ์ชิตา โยคะนิตย์; นิศารัตน์ โอภาสเกียรติกุล; Thanyaporn Rakbangboon; Voraluck Prakotmongkol; Punchita Yokanit; Nisarat Opartkiattikulงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ของกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่จัดขึ้นจำเพาะสำหรับนักศึกษากายอุปกรณ์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อปลูกฝังและพัฒนาทัศนคติต่อวิชาชีพของนักศึกษากายอุปกรณ์ โดยกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่จัดขึ้นระหว่างปีการศึกษา 2553 ถึงปีการศึกษา 2556 คณะผู้วิจัยได้ทำการศึกษาข้อมูลย้อนหลังโดยทำการวิเคราะห์และเปรียบเทียบตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ 2 ตัว คือ อัตราการคงอยู่ของนักศึกษาไทยจนสำเร็จการศึกษา และอัตราการทำงานด้านกายอุปกรณ์ของบัณฑิตไทย ผลการวิจัยพบว่า ก่อนปีการศึกษา 2553 นักศึกษากายอุปกรณ์ชาวไทยมีอัตราการคงอยู่เฉลี่ยเพียงร้อยละ 71 แต่ภายหลังจากที่คณะผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรตั้งแต่ปีการศึกษา 2553 เป็นต้นมา พบว่าอัตราการคงอยู่เฉลี่ยของนักศึกษาไทยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 83 และจากการศึกษาอัตราการทำงานด้านกายอุปกรณ์ของบัณฑิตไทยภายหลังสำเร็จการศึกษาพบว่าบัณฑิตรุ่นที่ 1 ถึง 5 ที่สำเร็จการศึกษาก่อนการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร มีอัตราผู้ที่ทำงานด้านกายอุปกรณ์ร้อยละ 75 ส่วนบัณฑิตรุ่นที่ 6 ถึง 9 ซึ่งสำ เร็จการศึกษาในขณะที่โรงเรียนฯได้ดำเนินการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร พบว่ามีอัตราผู้ทำงานด้านกายอุปกรณ์เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 90 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นทั้งสองตัวชี้วัด ดังนั้นการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรน่าจะมีส่วนช่วยให้นักศึกษาเกิดความตระหนักในความสำคัญของบทบาทของนักกายอุปกรณ์ส่งผลให้เกิดความรัก และภาคภูมิใจในวิชาชีพ และเลือกที่จะทำงานในสาขาวิชาชีพนี้ต่อไปPublication Open Access การศึกษาผลของการใช้งานใบส่งถ่ายภาพรอยโรคผิวหนังแบบพัฒนาปรับปรุงใหม่(2558) นาราวิญจน์ นาราวรนันท์; กมลพรรณ เลิศรุจิวณิช; ศักดา สุขรื่น; Narawin Naravoranun; Kamonpan Lertrujiwanit; Sakda Sookงานวิจัยนี้ศึกษาเกี่ยวกับใบส่งถ่ายภาพรอยโรคผิวหนังซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างแพทย์กับนักวิชาการโสตทัศนศึกษา(ช่างภาพ) มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบผลของใบส่งถ่ายภาพรอยโรคผิวหนังแบบพัฒนาปรับปรุงใหม่โดยประเมินความพึงพอใจใบส่งถ่ายภาพฯแบบเดิม กับ แบบปรับปรุงครั้งที่ 1 จากบุคลากรในภาควิชาตจวิทยา และสถานเทคโนโลยีการศึกษาแพทยศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล รวม 34 คน จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาแก้ไขเป็นใบส่งถ่ายภาพฯ แบบปรับปรุงครั้งที่ 2 ผลการวิจัยพบว่าใบส่งถ่ายภาพ แบบพัฒนาปรับปรุงใหม่ครั้งที่ 2 มีประสิทธิภาพดีมาก จากการนำไปใช้150 ใบ พบปัญหาเพียง 1 ใบ เนื่องจากพบรอยโรคของผู้ป่วยเกิดขึ้นบริเวณมุมที่ไม่มีในใบส่งถ่ายภาพ จึงได้เพิ่มรูปด้านข้างของข้อมือในมุมสันมือ radial และ ulnar เข้าไปในใบส่งถ่ายภาพรอยโรคผิวหนังแบบพัฒนาปรับปรุงใหม่อีกครั้ง ปัจจุบันใบส่งถ่ายภาพที่ได้รับการพัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพจากการวิจัยนี้ได้นำไปสู่การปฏิบัติจริงทดแทนใบส่งถ่ายภาพรอยโรคผิวหนังแบบเดิมที่คลินิกโรคผิวหนัง ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลPublication Open Access ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักศึกษาแพทย์ระดับชั้นปรีคลินิก(2558) สุชีรา วิบูลย์สุข; นิตยาภรณ์ บุญสวัสดิ์; Sucheera Wiboolsuk; Nittayaporn Bunsawatการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการเรียนรู้อย่างมีความสุข และศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักศึกษาแพทย์ระดับชั้นปรีคลินิกกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 และชั้นปีที่ 3 จำนวน 243 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค (α) = 0.859 สถิติที่ใช้คือ ค่าเฉลี่ย ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของค่าเฉลี่ย ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นบันได ผลการวิจัยพบว่านักศึกษาแพทย์ระดับชั้นปรีคลินิกมีระดับการเรียนรู้อย่างมีความสุขทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.42 ด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก คือ ด้านเปิดประตูสู่ธรรมชาติรองลงมาด้านความมุ่งมั่นและ มั่นคง และด้านความรักความศรัทธา ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างมีความสุขทั้ง 5 ปัจจัย มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการเรียนรู้อย่างมีความสุข อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเรียนรู้อย่างมีความสุขมากที่สุด คือ ปัจจัยด้านผู้เรียน มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.51 รองลงมา คือ ปัจจัยด้านเพื่อน ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม และปัจจัยด้านผู้สอน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.39, 0.37, 0.36 ตามลำดับ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างมีความสุขที่สามารถร่วมกันพยากรณ์การเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักศึกษาแพทย์ระดับชั้นปรีคลินิก คือ ปัจจัยด้านผู้เรียน ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม ปัจจัยด้านเพื่อน สามารถร่วมกันพยากรณ์การเรียนรู้อย่างมีความสุขได้ร้อยละ 30.5 และสมการถดถอยในรูปคะแนนมาตรฐาน คือ การเรียนรู้อย่างมีความสุข = 0.370 ด้านผู้เรียน + 0.198 ด้านสภาพแวดล้อม + 0.115 ด้านเพื่อนPublication Open Access แฟ้มสะสมงาน (Portfolio) กับแพทยศาสตร์ศึกษา(2558) สุรีย์ลักษณ์ สุจริตพงศ์; ปวีณา เชี่ยวชาญวิศวกิจ; บุษฏี ประทุมวินิจPublication Open Access Publication Open Access การติดตามผู้สัมผัสโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้(2558) เจนจิต ฉายะจินดา; ชนากานต์ เกิดกลิ่นหอมPublication Open Access Publication Open Access การจัดการเรียนการสอนแพทยศาสตร์ด้วยสถานการณ์จำลอง(2558) ตรีภพ เลิศบรรณพงษ์Publication Open Access การศึกษาทัศนคติของนักศึกษาแพทย์ชั้นปรีคลินิกต่อการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล(2558) นุชจรีย์ หงษ์เหลี่ยม; พัชดาพรรณ อุดมเพ็ชร; พรรณิการ์ พุ่มจันทร์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติของนักศึกษาแพทย์ชั้นปรีคลินิกต่อการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ใน 2 ด้าน คือ ด้านอาจารย์ผู้สอน และด้านการจัดการเรียนการสอน จำแนกตามเพศ ชั้นปี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยผู้วิจัยศึกษากับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 และชั้นปีที่ 3 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 273 คน มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) และเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามทัศนคติของนักศึกษาแพทย์ชั้นปรีคลินิกต่อการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาแพทย์ร้อยละ 50.90 เป็นเพศหญิง ซึ่งมีค่าเฉลี่ยคะแนนของทัศนคติของนักศึกษาแพทย์ชั้นปรีคลินิกต่อการจัดการเรียนการสอน หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในด้านอาจารย์ผู้สอน และด้านการจัดการเรียนการสอน โดยรวมมีความเหมาะสมมากที่สุด ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.07 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.65 และด้านอาจารย์ผู้สอนมีความเหมาะสมมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยรวม เท่ากับ 4.18 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.47 และด้านการจัดการเรียนการสอนมีความเหมาะสมมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยรวม เท่ากับ 3.96 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.83Publication Open Access การสร้างข้อสอบอัตนัยประยุกต์(2558) เชิดศักดิ์ ไอรมณีรัตน์Publication Open Access Publication Open Access พฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักศึกษาแพทย์ ระดับปรีคลินิก ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล(2558) พรรณิการ์ พุ่มจันทร์; นุชจรีย์ หงษ์เหลี่ยม; พัชดาพรรณ อุดมเพ็ชร; Pannika Poomjan; Nucharee Hongliam; Phachadapan Odompetการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักศึกษาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์กับ เพศ ชั้นปี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และค่าใช้จ่ายต่อเดือน โดยผู้วิจัยศึกษากับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาแพทย์ระดับปรีคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จำนวน 280 คน ซึ่งมาจากการคำนวณด้วยโปรแกรม G*Power ผู้วิจัยได้แจกแบบสอบถามมากกว่าจำนวนที่ต้องการเก็บ ได้แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์จำนวน 369 ฉบับ และเก็บรวบรวมแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ของนักศึกษาแพทย์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ 0.91 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ Chi-square การทดสอบทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาแพทย์ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 52.3 และเพศชายร้อยละ 47.7 มีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.40 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.53 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า นักศึกษาแพทย์มีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในด้านการติดต่อสื่อสารมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.56 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61เมื่อทดสอบสมมติฐาน พบว่าเพศต่างกันมีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ด้านความบันเทิงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เลือกใช้สื่อสังคมออนไลน์ และเครื่องมือที่ใช้ในการเชื่อมต่อสื่อสังคมออนไลน์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ชั้นปีต่างกันมีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ทางด้านการศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เลือกใช้สื่อ สังคมออนไลน์และเครื่องมือที่ใช้ในการเชื่อมต่อสื่อสังคมออนไลน์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่างกัน เลือกใช้สื่อสังคมออนไลน์และเครื่องมือที่ใช้ในการเชื่อมต่อสื่อสังคมออนไลน์แตกต่าง กันอย่างมีนัยสำ คัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และค่าใช้จ่ายต่อเดือนต่างกัน มีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์โดยรวม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05Publication Open Access ความรู้ ทักษะการตรวจประเมินเท้าเบาหวาน และการนำความรู้ไปใช้ของพยาบาลศิริราชภายหลังการฝึกอบรมภายในเพื่อเพิ่มพูนทักษะการดูแลผู้เป็นเบาหวาน(2558) อัจฉรา สุวรรณนาคินทร์; กุลภา ศรีสวัสดิ์; นวพร ชัชวาลพาณิชย์; จุภาภรณ์ กังวานภูมิ; Atchara Suwannakin; Gulapar Srisawasdi; Navaporn Chadchavalpanichaya; Chupaporn Kangwanpoomการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามผลความรู้ ทักษะการตรวจประเมินเท้าเบาหวาน การนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ และปัญหาอุปสรรคในงานประจำ หลังจากที่ได้รับการอบรมภายในเพื่อเพิ่มพูนทักษะการดูแลผู้เป็นเบาหวานไปแล้ว 2 ปี ในกลุ่มพยาบาลศิริราชที่เข้ารับการอบรมจำนวน 112 คน ทำการเปรียบเทียบความรู้หลังอบรมทันทีกับ 2 ปีหลังอบรม โดยใช้แบบทดสอบความรู้ที่ได้รับการตรวจสอบคุณภาพแล้ว ส่วนการประเมินทักษะทำโดยสุ่มตัวอย่างพยาบาล 62 คน แล้วผู้วิจัยไปประเมินด้วยตนเองโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า ผลการวิจัยพบว่าแบบทดสอบได้รับการตอบกลับ 51 คน (45.5%) เมื่อเปรียบเทียบคะแนนความรู้การดูแลเท้าเบาหวานหลังจากอบรมทันที กับหลังจากอบรมไปแล้ว 2 ปี พบว่าความรู้ลดลงอย่างมีนัยสำ คัญทางสถิติ (p < 0.05) และพบว่า มีพยาบาล 25 คน (49.0%) นำ ความรู้ที่ได้รับไปใช้ในงานประจำ ปัญหาหลักของการไม่นำ ความรู้ไปใช้ เนื่องจากการขาดบุคลากร (64.7%) และ ทำงานในหน่วยงานที่ไม่มีผู้เป็นเบาหวาน (26.5%) จากการสุ่มประเมินทักษะ พบว่ามีพยาบาลเพียง 1 คนเท่านั้น (1.9%) ที่สามารถตรวจประเมินเท้าได้อย่างถูกต้อง ความรู้ที่ได้รับจากงานวิจัยนี้สามารถช่วยเป็นแนวทางในการวางแผนการอบรมให้มีประสิทธิภาพนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงPublication Open Access ความคิดเห็นของนักศึกษาผู้ช่วยพยาบาล ต่อคุณลักษณะบทบาทหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษาโรงเรียนผู้ช่วยพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล(2558) ประนอม พรมแดง; สมฤทัย เพชรประยูร; วราภรณ์ สร้อยเงินวัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาผู้ช่วยพยาบาล ต่อระบบอาจารย์ที่ปรึกษา ของโรงเรียนผู้ช่วย พยาบาล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล วิธีการ: การวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาผู้ช่วยพยาบาล ที่สำเร็จการศึกษา ปีการศึกษา 2556 จำนวน 130 คน ได้กลุ่มตัวอย่างมาโดยการสุ่มแบบง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจำนวน 5 ส่วน คือ ข้อมูลส่วนบุคคล ความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของอาจารย์ที่ปรึกษา มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.75 ความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษา มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาการให้บริการของอาจารย์ที่ปรึกษา มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 ความต้องการและความคาดหวังของนักศึกษาต่อการทำหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งเป็นคำถามปลายเปิด ผลการศึกษา: ส่วนใหญ่กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิงร้อยละ 91.5 มีอายุอยู่ในช่วง 19-21 ปี คิดเป็นร้อยละ 68.1 มีระดับเกรดเฉลี่ยสะสม 3.01-3.50 มากที่สุดร้อยละ 53.12 มาพบอาจารย์ที่ปรึกษาเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาเรียกพบร้อยละ 41.1 จะมาพบอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นบางครั้งที่มีปัญหาร้อยละ 20.5 ตามลำดับ จำนวนครั้งที่นักศึกษามาพบอาจารย์ที่ปรึกษามากที่สุดคือ 10 ครั้งใน 1 ปีคิดเป็นร้อยละ 40.4 ความพึงพอใจคุณลักษณะของอาจารย์ที่ปรึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก (x= 4.69 S.D.= 0.31) ความพึงพอใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x= 4.46 S.D.= 0.48) ปัญหาการให้บริการของอาจารย์ที่ปรึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย (x=2.02 S.D. = 0.76) ส่วนรายด้านที่อยู่ในระดับปานกลาง (x=2.42 S.D. = 0.96) คือ เวลาว่างของอาจารย์และนักศึกษาไม่ตรงกัน และอาจารย์มีนักศึกษาในความดูแลจำนวนมาก ความต้องการและความคาดหวังของนักศึกษาต่อการทำหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษา คือ นักศึกษาต้องการให้อาจารย์มีความเป็นกันเองกับนักศึกษาจะทำ ให้นักศึกษากล้ามาปรึกษาปัญหา ควรอธิบายหรือให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมาไม่ข้ามประเด็น ฟังและเข้าใจปัญหาของนักศึกษาอยากปรึกษากับอาจารย์เป็นการส่วนตัวมากกว่าพบเป็นรายกลุ่ม อาจารย์ที่ปรึกษาควรปกปิดความลับของนักศึกษา ไม่พูดหรือบอกกับนักศึกษาคนอื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง สรุป: โรงเรียนผู้ช่วยพยาบาล ควรมีการจัดทำ คู่มืออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับอาจารย์ใหม่ ๆ ซึ่งต้องเข้ามาทำหน้าที่ในการเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา รวมทั้งมีการประชุมชี้แจงให้อาจารย์ที่ปรึกษาได้ทราบถึงความ ต้องการของนักศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษาจะได้รับทราบซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาระบบอาจารย์ที่ปรึกษาให้ดีขึ้นและตรง กับความต้องการของนักศึกษา และควรมีการพัฒนาช่องทางการสื่อสารในการนัดหมายระหว่างนักศึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษา เช่น สื่อสังคมออนไลน์ (line, Facebook) หรือตารางช่องทางการนัดหมายกับอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนล่วงหน้าPublication Open Access Laryngeal Mask Airway (LMA)(2557) อังศุมาศ หวังดี; อรุโณทัย ศิริอัศวกุ; อรวรรณ พงศ์รวีวรรณPublication Open Access ศัพท์แพทย์ใหม่ พ.ศ. 2557(2557) สรรใจ แสงวิเชียร; Sanjai SangvichienPublication Open Access งานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์กับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนปี 2558(2557) ประภาพร เชื่อมสุขPublication Open Access การทำ Medication Reconciliation ในผู้ป่วยนอกคลินิกจิตเวช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล(2557) รัศมี ลีประไพวงษ์; สุรีภรณ์ จันทร์ทอง; กมลพร วรรณฤทธิ์; เสาวณีย์ ชิตไธสงPublication Open Access การทดสอบ 20-minute whole blood clotting time (20WBCT) ในการประเมินระบบการห้ามเลือดในผู้ป่วยที่ถูกงูที่มีพิษต่อระบบเลือดกัด หน่วยตรวจโรคอุบัติเหตุ โรงพยาบาลศิริราช(2557) พันทิพย์ นิตานนท์; ปรีชญา วงษ์กระจ่าง