SI-Article

Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/76

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 276
  • PublicationOpen Access
    แฟ้มสะสมงาน (Portfolio) กับแพทยศาสตร์ศึกษา
    (2558) สุรีย์ลักษณ์ สุจริตพงศ์; ปวีณา เชี่ยวชาญวิศวกิจ; บุษฏี ประทุมวินิจ
  • PublicationOpen Access
    ผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาทัศนคติต่อวิชาชีพของนักศึกษากายอุปกรณ์ผ่านกิจกรรมเสริมหลักสูตร
    (2558) ธันยพร รักบางบูรณ์; รลักษณ์ ปรากฏมงคล; ณณ์ชิตา โยคะนิตย์; นิศารัตน์ โอภาสเกียรติกุล; Thanyaporn Rakbangboon; Voraluck Prakotmongkol; Punchita Yokanit; Nisarat Opartkiattikul
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ของกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่จัดขึ้นจำเพาะสำหรับนักศึกษากายอุปกรณ์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อปลูกฝังและพัฒนาทัศนคติต่อวิชาชีพของนักศึกษากายอุปกรณ์ โดยกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่จัดขึ้นระหว่างปีการศึกษา 2553 ถึงปีการศึกษา 2556 คณะผู้วิจัยได้ทำการศึกษาข้อมูลย้อนหลังโดยทำการวิเคราะห์และเปรียบเทียบตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ 2 ตัว คือ อัตราการคงอยู่ของนักศึกษาไทยจนสำเร็จการศึกษา และอัตราการทำงานด้านกายอุปกรณ์ของบัณฑิตไทย ผลการวิจัยพบว่า ก่อนปีการศึกษา 2553 นักศึกษากายอุปกรณ์ชาวไทยมีอัตราการคงอยู่เฉลี่ยเพียงร้อยละ 71 แต่ภายหลังจากที่คณะผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรตั้งแต่ปีการศึกษา 2553 เป็นต้นมา พบว่าอัตราการคงอยู่เฉลี่ยของนักศึกษาไทยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 83 และจากการศึกษาอัตราการทำงานด้านกายอุปกรณ์ของบัณฑิตไทยภายหลังสำเร็จการศึกษาพบว่าบัณฑิตรุ่นที่ 1 ถึง 5 ที่สำเร็จการศึกษาก่อนการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร มีอัตราผู้ที่ทำงานด้านกายอุปกรณ์ร้อยละ 75 ส่วนบัณฑิตรุ่นที่ 6 ถึง 9 ซึ่งสำ เร็จการศึกษาในขณะที่โรงเรียนฯได้ดำเนินการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร พบว่ามีอัตราผู้ทำงานด้านกายอุปกรณ์เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 90 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นทั้งสองตัวชี้วัด ดังนั้นการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรน่าจะมีส่วนช่วยให้นักศึกษาเกิดความตระหนักในความสำคัญของบทบาทของนักกายอุปกรณ์ส่งผลให้เกิดความรัก และภาคภูมิใจในวิชาชีพ และเลือกที่จะทำงานในสาขาวิชาชีพนี้ต่อไป
  • PublicationOpen Access
    ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักศึกษาแพทย์ระดับชั้นปรีคลินิก
    (2558) สุชีรา วิบูลย์สุข; นิตยาภรณ์ บุญสวัสดิ์; Sucheera Wiboolsuk; Nittayaporn Bunsawat
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการเรียนรู้อย่างมีความสุข และศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักศึกษาแพทย์ระดับชั้นปรีคลินิกกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 และชั้นปีที่ 3 จำนวน 243 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค (α) = 0.859 สถิติที่ใช้คือ ค่าเฉลี่ย ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของค่าเฉลี่ย ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นบันได ผลการวิจัยพบว่านักศึกษาแพทย์ระดับชั้นปรีคลินิกมีระดับการเรียนรู้อย่างมีความสุขทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.42 ด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก คือ ด้านเปิดประตูสู่ธรรมชาติรองลงมาด้านความมุ่งมั่นและ มั่นคง และด้านความรักความศรัทธา ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างมีความสุขทั้ง 5 ปัจจัย มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการเรียนรู้อย่างมีความสุข อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเรียนรู้อย่างมีความสุขมากที่สุด คือ ปัจจัยด้านผู้เรียน มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.51 รองลงมา คือ ปัจจัยด้านเพื่อน ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม และปัจจัยด้านผู้สอน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.39, 0.37, 0.36 ตามลำดับ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างมีความสุขที่สามารถร่วมกันพยากรณ์การเรียนรู้อย่างมีความสุขของนักศึกษาแพทย์ระดับชั้นปรีคลินิก คือ ปัจจัยด้านผู้เรียน ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม ปัจจัยด้านเพื่อน สามารถร่วมกันพยากรณ์การเรียนรู้อย่างมีความสุขได้ร้อยละ 30.5 และสมการถดถอยในรูปคะแนนมาตรฐาน คือ การเรียนรู้อย่างมีความสุข = 0.370 ด้านผู้เรียน + 0.198 ด้านสภาพแวดล้อม + 0.115 ด้านเพื่อน
  • PublicationOpen Access
    การศึกษาผลของการใช้งานใบส่งถ่ายภาพรอยโรคผิวหนังแบบพัฒนาปรับปรุงใหม่
    (2558) นาราวิญจน์ นาราวรนันท์; กมลพรรณ เลิศรุจิวณิช; ศักดา สุขรื่น; Narawin Naravoranun; Kamonpan Lertrujiwanit; Sakda Sook
    งานวิจัยนี้ศึกษาเกี่ยวกับใบส่งถ่ายภาพรอยโรคผิวหนังซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างแพทย์กับนักวิชาการโสตทัศนศึกษา(ช่างภาพ) มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบผลของใบส่งถ่ายภาพรอยโรคผิวหนังแบบพัฒนาปรับปรุงใหม่โดยประเมินความพึงพอใจใบส่งถ่ายภาพฯแบบเดิม กับ แบบปรับปรุงครั้งที่ 1 จากบุคลากรในภาควิชาตจวิทยา และสถานเทคโนโลยีการศึกษาแพทยศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล รวม 34 คน จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาแก้ไขเป็นใบส่งถ่ายภาพฯ แบบปรับปรุงครั้งที่ 2 ผลการวิจัยพบว่าใบส่งถ่ายภาพ แบบพัฒนาปรับปรุงใหม่ครั้งที่ 2 มีประสิทธิภาพดีมาก จากการนำไปใช้150 ใบ พบปัญหาเพียง 1 ใบ เนื่องจากพบรอยโรคของผู้ป่วยเกิดขึ้นบริเวณมุมที่ไม่มีในใบส่งถ่ายภาพ จึงได้เพิ่มรูปด้านข้างของข้อมือในมุมสันมือ radial และ ulnar เข้าไปในใบส่งถ่ายภาพรอยโรคผิวหนังแบบพัฒนาปรับปรุงใหม่อีกครั้ง ปัจจุบันใบส่งถ่ายภาพที่ได้รับการพัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพจากการวิจัยนี้ได้นำไปสู่การปฏิบัติจริงทดแทนใบส่งถ่ายภาพรอยโรคผิวหนังแบบเดิมที่คลินิกโรคผิวหนัง ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
  • PublicationOpen Access
    พฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักศึกษาแพทย์ ระดับปรีคลินิก ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
    (2558) พรรณิการ์ พุ่มจันทร์; นุชจรีย์ หงษ์เหลี่ยม; พัชดาพรรณ อุดมเพ็ชร; Pannika Poomjan; Nucharee Hongliam; Phachadapan Odompet
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักศึกษาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์กับ เพศ ชั้นปี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และค่าใช้จ่ายต่อเดือน โดยผู้วิจัยศึกษากับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาแพทย์ระดับปรีคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จำนวน 280 คน ซึ่งมาจากการคำนวณด้วยโปรแกรม G*Power ผู้วิจัยได้แจกแบบสอบถามมากกว่าจำนวนที่ต้องการเก็บ ได้แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์จำนวน 369 ฉบับ และเก็บรวบรวมแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ของนักศึกษาแพทย์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ 0.91 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ Chi-square การทดสอบทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาแพทย์ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 52.3 และเพศชายร้อยละ 47.7 มีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.40 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.53 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า นักศึกษาแพทย์มีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในด้านการติดต่อสื่อสารมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.56 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61เมื่อทดสอบสมมติฐาน พบว่าเพศต่างกันมีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ด้านความบันเทิงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เลือกใช้สื่อสังคมออนไลน์ และเครื่องมือที่ใช้ในการเชื่อมต่อสื่อสังคมออนไลน์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ชั้นปีต่างกันมีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ทางด้านการศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เลือกใช้สื่อ สังคมออนไลน์และเครื่องมือที่ใช้ในการเชื่อมต่อสื่อสังคมออนไลน์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่างกัน เลือกใช้สื่อสังคมออนไลน์และเครื่องมือที่ใช้ในการเชื่อมต่อสื่อสังคมออนไลน์แตกต่าง กันอย่างมีนัยสำ คัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และค่าใช้จ่ายต่อเดือนต่างกัน มีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์โดยรวม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
  • PublicationOpen Access
    ความรู้ ทักษะการตรวจประเมินเท้าเบาหวาน และการนำความรู้ไปใช้ของพยาบาลศิริราชภายหลังการฝึกอบรมภายในเพื่อเพิ่มพูนทักษะการดูแลผู้เป็นเบาหวาน
    (2558) อัจฉรา สุวรรณนาคินทร์; กุลภา ศรีสวัสดิ์; นวพร ชัชวาลพาณิชย์; จุภาภรณ์ กังวานภูมิ; Atchara Suwannakin; Gulapar Srisawasdi; Navaporn Chadchavalpanichaya; Chupaporn Kangwanpoom
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามผลความรู้ ทักษะการตรวจประเมินเท้าเบาหวาน การนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ และปัญหาอุปสรรคในงานประจำ หลังจากที่ได้รับการอบรมภายในเพื่อเพิ่มพูนทักษะการดูแลผู้เป็นเบาหวานไปแล้ว 2 ปี ในกลุ่มพยาบาลศิริราชที่เข้ารับการอบรมจำนวน 112 คน ทำการเปรียบเทียบความรู้หลังอบรมทันทีกับ 2 ปีหลังอบรม โดยใช้แบบทดสอบความรู้ที่ได้รับการตรวจสอบคุณภาพแล้ว ส่วนการประเมินทักษะทำโดยสุ่มตัวอย่างพยาบาล 62 คน แล้วผู้วิจัยไปประเมินด้วยตนเองโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า ผลการวิจัยพบว่าแบบทดสอบได้รับการตอบกลับ 51 คน (45.5%) เมื่อเปรียบเทียบคะแนนความรู้การดูแลเท้าเบาหวานหลังจากอบรมทันที กับหลังจากอบรมไปแล้ว 2 ปี พบว่าความรู้ลดลงอย่างมีนัยสำ คัญทางสถิติ (p < 0.05) และพบว่า มีพยาบาล 25 คน (49.0%) นำ ความรู้ที่ได้รับไปใช้ในงานประจำ ปัญหาหลักของการไม่นำ ความรู้ไปใช้ เนื่องจากการขาดบุคลากร (64.7%) และ ทำงานในหน่วยงานที่ไม่มีผู้เป็นเบาหวาน (26.5%) จากการสุ่มประเมินทักษะ พบว่ามีพยาบาลเพียง 1 คนเท่านั้น (1.9%) ที่สามารถตรวจประเมินเท้าได้อย่างถูกต้อง ความรู้ที่ได้รับจากงานวิจัยนี้สามารถช่วยเป็นแนวทางในการวางแผนการอบรมให้มีประสิทธิภาพนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
  • PublicationOpen Access
    การศึกษาทัศนคติของนักศึกษาแพทย์ชั้นปรีคลินิกต่อการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
    (2558) นุชจรีย์ หงษ์เหลี่ยม; พัชดาพรรณ อุดมเพ็ชร; พรรณิการ์ พุ่มจันทร์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติของนักศึกษาแพทย์ชั้นปรีคลินิกต่อการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ใน 2 ด้าน คือ ด้านอาจารย์ผู้สอน และด้านการจัดการเรียนการสอน จำแนกตามเพศ ชั้นปี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยผู้วิจัยศึกษากับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 และชั้นปีที่ 3 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 273 คน มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) และเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามทัศนคติของนักศึกษาแพทย์ชั้นปรีคลินิกต่อการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาแพทย์ร้อยละ 50.90 เป็นเพศหญิง ซึ่งมีค่าเฉลี่ยคะแนนของทัศนคติของนักศึกษาแพทย์ชั้นปรีคลินิกต่อการจัดการเรียนการสอน หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในด้านอาจารย์ผู้สอน และด้านการจัดการเรียนการสอน โดยรวมมีความเหมาะสมมากที่สุด ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.07 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.65 และด้านอาจารย์ผู้สอนมีความเหมาะสมมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยรวม เท่ากับ 4.18 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.47 และด้านการจัดการเรียนการสอนมีความเหมาะสมมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยรวม เท่ากับ 3.96 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.83
  • PublicationOpen Access
    การสร้างข้อสอบอัตนัยประยุกต์
    (2558) เชิดศักดิ์ ไอรมณีรัตน์
  • PublicationOpen Access
    การวิจัยศึกษาระยะห่างระหว่างเครื่องรับส่งสัญญาณกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย และจำนวนเครื่องลูกข่ายที่สามารถรับชมวีดีทัศน์ขนาด 720p พร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพบนระบบเครือข่าย Wi-Fi ของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
    (2557) เศกสรร โพธิ์ศรี; พุฒินันท์ แพทย์พิทักษ์; นพพล เผ่าสวัสดิ์; Seksan Posri; Puttinun Patpituk; Nopphol Pausawasdi
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาระยะห่างระหว่างเครื่องรับส่งสัญญาณ (Access Point) กับเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย ที่สามารถนำส่งข้อมูลสัญญาณภาพวีดิทัศน์ขนาด 720p ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ชนิดไร้สาย (Wi-Fi) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และศึกษาจำนวนเครื่องลูกข่ายที่เหมาะสมในการรับชมภาพวีดิทัศน์ชนิดดังกล่าว โดยได้ทดสอบการส่งสัญญาณภาพวีดิทัศน์ขนาด 720p ความยาว 3 นาทีมีระยะห่างระหว่างเครื่องรับส่งสัญญาณกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่ายระยะ 10 และ 20 เมตร ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่ายจำนวน 1 ถึง 5 เครื่องรับสัญญาณ ภาพวีดิทัศน์ในสถานการณ์จริงและสถานการณ์จำลอง ผลการทดลองในสถานการณ์จริงพบว่าเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ลูกข่ายรับข้อมูลพร้อมกัน 5 เครื่องจากเครื่องรับส่งสัญญาณที่ระยะ 20 เมตรต้องใช้เวลาเฉลี่ย 5 นาทีเพื่อแสดงผลวีดิทัศน์ได้ครบถ้วน ซึ่งอาจไม่สามารถนำไปให้บริการได้สะดวก ในขณะที่ใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 3.19 นาทีเมื่อลดระยะห่างเหลือ 10 เมตรซึ่งสามารถนำไปขยายผลการทดลองต่อไปเพื่อให้บริการวีดิทัศน์เพื่อการศึกษาออนไลน์ได้
  • PublicationOpen Access
    การทำ Medication Reconciliation ในผู้ป่วยนอกคลินิกจิตเวช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
    (2557) รัศมี ลีประไพวงษ์; สุรีภรณ์ จันทร์ทอง; กมลพร วรรณฤทธิ์; เสาวณีย์ ชิตไธสง
  • PublicationOpen Access
    Laryngeal Mask Airway (LMA)
    (2557) อังศุมาศ หวังดี; อรุโณทัย ศิริอัศวกุ; อรวรรณ พงศ์รวีวรรณ
  • PublicationOpen Access
    ศัพท์แพทย์ใหม่ พ.ศ. 2557
    (2557) สรรใจ แสงวิเชียร; Sanjai Sangvichien