SI-Article

Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/76

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 262
  • PublicationOpen Access
    การวิจัยศึกษาระยะห่างระหว่างเครื่องรับส่งสัญญาณกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย และจำนวนเครื่องลูกข่ายที่สามารถรับชมวีดีทัศน์ขนาด 720p พร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพบนระบบเครือข่าย Wi-Fi ของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
    (2557) เศกสรร โพธิ์ศรี; พุฒินันท์ แพทย์พิทักษ์; นพพล เผ่าสวัสดิ์; Seksan Posri; Puttinun Patpituk; Nopphol Pausawasdi
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาระยะห่างระหว่างเครื่องรับส่งสัญญาณ (Access Point) กับเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย ที่สามารถนำส่งข้อมูลสัญญาณภาพวีดิทัศน์ขนาด 720p ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ชนิดไร้สาย (Wi-Fi) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และศึกษาจำนวนเครื่องลูกข่ายที่เหมาะสมในการรับชมภาพวีดิทัศน์ชนิดดังกล่าว โดยได้ทดสอบการส่งสัญญาณภาพวีดิทัศน์ขนาด 720p ความยาว 3 นาทีมีระยะห่างระหว่างเครื่องรับส่งสัญญาณกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่ายระยะ 10 และ 20 เมตร ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่ายจำนวน 1 ถึง 5 เครื่องรับสัญญาณ ภาพวีดิทัศน์ในสถานการณ์จริงและสถานการณ์จำลอง ผลการทดลองในสถานการณ์จริงพบว่าเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ลูกข่ายรับข้อมูลพร้อมกัน 5 เครื่องจากเครื่องรับส่งสัญญาณที่ระยะ 20 เมตรต้องใช้เวลาเฉลี่ย 5 นาทีเพื่อแสดงผลวีดิทัศน์ได้ครบถ้วน ซึ่งอาจไม่สามารถนำไปให้บริการได้สะดวก ในขณะที่ใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 3.19 นาทีเมื่อลดระยะห่างเหลือ 10 เมตรซึ่งสามารถนำไปขยายผลการทดลองต่อไปเพื่อให้บริการวีดิทัศน์เพื่อการศึกษาออนไลน์ได้
  • PublicationOpen Access
    การทำ Medication Reconciliation ในผู้ป่วยนอกคลินิกจิตเวช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
    (2557) รัศมี ลีประไพวงษ์; สุรีภรณ์ จันทร์ทอง; กมลพร วรรณฤทธิ์; เสาวณีย์ ชิตไธสง
  • PublicationOpen Access
    Laryngeal Mask Airway (LMA)
    (2557) อังศุมาศ หวังดี; อรุโณทัย ศิริอัศวกุ; อรวรรณ พงศ์รวีวรรณ
  • PublicationOpen Access
    ศัพท์แพทย์ใหม่ พ.ศ. 2557
    (2557) สรรใจ แสงวิเชียร; Sanjai Sangvichien
  • PublicationOpen Access
    ความคิดเห็นของนักศึกษาผู้ช่วยพยาบาล ต่อคุณลักษณะบทบาทหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษาโรงเรียนผู้ช่วยพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
    (2558) ประนอม พรมแดง; สมฤทัย เพชรประยูร; วราภรณ์ สร้อยเงิน
    วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาผู้ช่วยพยาบาล ต่อระบบอาจารย์ที่ปรึกษา ของโรงเรียนผู้ช่วย พยาบาล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล วิธีการ: การวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาผู้ช่วยพยาบาล ที่สำเร็จการศึกษา ปีการศึกษา 2556 จำนวน 130 คน ได้กลุ่มตัวอย่างมาโดยการสุ่มแบบง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจำนวน 5 ส่วน คือ ข้อมูลส่วนบุคคล ความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของอาจารย์ที่ปรึกษา มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.75 ความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษา มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาการให้บริการของอาจารย์ที่ปรึกษา มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 ความต้องการและความคาดหวังของนักศึกษาต่อการทำหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งเป็นคำถามปลายเปิด ผลการศึกษา: ส่วนใหญ่กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิงร้อยละ 91.5 มีอายุอยู่ในช่วง 19-21 ปี คิดเป็นร้อยละ 68.1 มีระดับเกรดเฉลี่ยสะสม 3.01-3.50 มากที่สุดร้อยละ 53.12 มาพบอาจารย์ที่ปรึกษาเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาเรียกพบร้อยละ 41.1 จะมาพบอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นบางครั้งที่มีปัญหาร้อยละ 20.5 ตามลำดับ จำนวนครั้งที่นักศึกษามาพบอาจารย์ที่ปรึกษามากที่สุดคือ 10 ครั้งใน 1 ปีคิดเป็นร้อยละ 40.4 ความพึงพอใจคุณลักษณะของอาจารย์ที่ปรึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก (x= 4.69 S.D.= 0.31) ความพึงพอใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x= 4.46 S.D.= 0.48) ปัญหาการให้บริการของอาจารย์ที่ปรึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย (x=2.02 S.D. = 0.76) ส่วนรายด้านที่อยู่ในระดับปานกลาง (x=2.42 S.D. = 0.96) คือ เวลาว่างของอาจารย์และนักศึกษาไม่ตรงกัน และอาจารย์มีนักศึกษาในความดูแลจำนวนมาก ความต้องการและความคาดหวังของนักศึกษาต่อการทำหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษา คือ นักศึกษาต้องการให้อาจารย์มีความเป็นกันเองกับนักศึกษาจะทำ ให้นักศึกษากล้ามาปรึกษาปัญหา ควรอธิบายหรือให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมาไม่ข้ามประเด็น ฟังและเข้าใจปัญหาของนักศึกษาอยากปรึกษากับอาจารย์เป็นการส่วนตัวมากกว่าพบเป็นรายกลุ่ม อาจารย์ที่ปรึกษาควรปกปิดความลับของนักศึกษา ไม่พูดหรือบอกกับนักศึกษาคนอื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง สรุป: โรงเรียนผู้ช่วยพยาบาล ควรมีการจัดทำ คู่มืออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับอาจารย์ใหม่ ๆ ซึ่งต้องเข้ามาทำหน้าที่ในการเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา รวมทั้งมีการประชุมชี้แจงให้อาจารย์ที่ปรึกษาได้ทราบถึงความ ต้องการของนักศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษาจะได้รับทราบซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาระบบอาจารย์ที่ปรึกษาให้ดีขึ้นและตรง กับความต้องการของนักศึกษา และควรมีการพัฒนาช่องทางการสื่อสารในการนัดหมายระหว่างนักศึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษา เช่น สื่อสังคมออนไลน์ (line, Facebook) หรือตารางช่องทางการนัดหมายกับอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนล่วงหน้า
  • PublicationOpen Access
    ความสำคัญของการทดสอบซอฟต์แวร์ทางการแพทย์ก่อนการขึ้นใช้งานจริง
    (2566) นันท์นภัส จินดา; วิไลลักษณ์ อมรมนเทียร; Nunnapat Jinda; Wilailuck Amornmontien
    การทดสอบซอฟต์แวร์ (Software testing) เป็นกระบวนการทดลองใช้ซอฟต์แวร์อย่างมีแนวทาง โดยใช้ความรู้ทางด้านเทคนิค เพื่อให้สามารถระบุหรือค้นหาความผิดพลาด (Error) ของซอฟต์แวร์ที่อาจจะซ่อนอยู่ให้ปรากฏออกมา และสามารถระบุถึงแนวทางของการเกิดปัญหา พร้อมสมมติฐานของความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ซึ่งในทางด้านการพัฒนาระบบนั้นการทดสอบซอฟต์แวร์ เป็นส่วนนึงในการยืนยันได้ว่าระบบที่ได้รับการออกแบบหรือจัดทำขึ้นมานั้น มีประสิทธิภาพและสามารถคาดหวังผลตอบรับที่ดีได้ หากผู้ใช้งานมีความต้องการที่จะนำซอฟต์แวร์มาเป็นตัวช่วยในการทำงาน เพื่อลดภาระงาน ลดกำลังคน ประหยัดเวลา หรือต้องการความแม่นยำ ความถูกต้องของข้อมูล การจ้างหรือการซื้อซอฟต์แวร์ มาใช้งานนับว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้ แต่การที่จะนำระบบหรือซอฟต์แวร์ มาใช้งานนั้น จะต้องวางแผนการทำงาน การวางกำลังคน การกำหนดขอบเขตของการทำงาน รวมไปทั้งจุดประสงค์ที่ชัดเจนของผู้ใช้งานเอง รายละเอียดเหล่านี้จำเป็นต้องมีความละเอียดรอบคอบและมีแบบแผนการทำงานที่รัดกุม เมื่อมีการเตรียมการแล้วและมีทีมหรือผู้รับผิดชอบในส่วนต่าง ๆ แล้ว ก็เป็นการเข้าสู่กระบวนการทำงานในขั้นตอนต่าง ๆ แต่ในที่นี้จะระบุในส่วนของการทดสอบซอฟต์แวร์ โดยหลักการแล้วก่อนการนำระบบไปใช้งานจะแบ่งการทดสอบเป็นหลายส่วน แต่ละการทดสอบจะมีเป้าหมายในการทดสอบต่างกัน ในเอกสารเล่มนี้เป็นการกล่าวถึง การทดสอบในส่วนของ System Test หรือ จะเรียกว่า User Acceptance Test (UAT) กระบวนการในขั้นตอนนี้เป็นส่วนที่จะต้องมีผู้ใช้งานมาร่วมทำการทดสอบ และตัดสินใจว่าระบบดังกล่าวจะสามารถนำไปใช้งานจริงได้หรือไม่ และข้อมูลในการทดสอบนั้นจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยทางด้านข้อมูลที่จะนำมาทดสอบ (ระบบบริหารความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศ ) เนื่องจากเอกสารฉบับนี้จะเป็นการกล่าวถึงการทดสอบซอฟต์แวร์เกี่ยวกับระบบโรงพยาบาล เพราะฉะนั้นข้อมูลที่นำมาทดสอบจำเป็นต้องใช้ข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่ต้องนำมาใช้ในการทดสอบของระบบนั้น ๆ
  • PublicationOpen Access
    ความสำคัญของมาตรฐาน ISO/IEC27001 และระบบบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศในโรงพยาบาล
    (2566) จุฑามาศ อยู่เจริญ; กิตติศักดิ์ แก้วบุตรดี; Chuthamat Yuchareon; Kittisak Kaewbooddee
    ในปัจจุบันได้มีการนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ความรวดเร็วในการให้บริการ รวมถึงความถูกต้องแม่นยำต่าง ๆ ของข้อมูล แต่การใช้ระบบสารสนเทศมักพบปัญหาในหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านความมั่นคงปลอดภัยของระบบ, ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล หรือเสถียรภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานของระบบสารสนเทศ ดังนั้น การกำหนดนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการโรงพยาบาล เป็นระบบที่มีความสำคัญที่สุดในการให้บริการแก่ผู้ป่วยที่มารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลศิริราช ดังนั้นการจัดหาเพื่อทำให้ระบบสามารถทำงานได้ตลอดเวลา เช่น การจัดการแหล่งจ่ายไฟฟ้าหลักที่ได้มาตรฐาน หรือแหล่งจ่ายไฟฟ้าสำรองแก่ศูนย์ข้อมูล (Data Center) การจัดตั้งสถานที่เก็บข้อมูลไว้สำหรับกู้คืนข้อมูลเมื่อเกิดภัยพิบัติ (Disaster Recovery Site) เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินทำให้ระบบสามารถกลับมาให้บริการแก่ผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง เป็นต้น การจัดการบริหารความเสี่ยงเป็นเครื่องมือทางกลยุทธ์ที่สำคัญตามหลักการกำกับดูแลธุรกิจที่ดี ซึ่งได้มีการนำระบบการจัดการความเสี่ยงด้านระบบสารสนเทศมาใช้ทั้งในหน่วยงานธุรกิจของภาครัฐและเอกชน อีกทั้ง มาตรฐาน ISO ได้ถูกกำหนดและควบคุมโดยองค์การนานาชาติเพื่อเป็นระบบมาตรฐานสากล มาตรฐาน ISO/IEC27001 เป็นแนวทางเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านระบบสารสนเทศเพื่อการกำหนดนโยบายและกระบวนการทำงานต่าง ๆ รวมทั้งการควบคุมที่เหมาะสมในการบริหารความเสี่ยง ในธุรกิจโรงพยาบาล ระบบสารสนเทศถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งโรงพยาบาลหลายแห่งได้มีการนำระบบสารสนเทศทางการแพทย์ (Medical Informatics) เข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถโดยมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น เวชระเบียนผู้ป่วย ประวัติการรักษาหรือการใช้ยา เป็นต้น ดังนั้นข้อมูลระบบสารสนเทศของโรงพยาบาลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยคุกคามต่อระบบสารสนเทศ การจัดทำแนวทางในการจัดการควบคุมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศจึงเป็นเรื่องจำเป็นของโรงพยาบาล เพื่อให้ระบบมีเสถียรภาพด้านความมั่นคงปลอดภัยในด้านของข้อมูล และความน่าเชื่อถือของระบบ จึงได้ดำเนินการด้านนโยบายด้านการบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ หรือ ISO/IEC27001 ซึ่งรวมไปถึงด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล และสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง มาเป็นวิธีปฏิบัติที่จะนำไปสู่ระบบบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสำหรับโรงพยาบาล
  • PublicationOpen Access
    ประสิทธิภาพของน้ำยา 0.12% คลอเฮกซิดีนกลูโคเนตด้านการฆ่าเชื้อแบบครั้งคราวในระบบท่อส่งน้ำของยูนิตทำฟัน
    (2566) นิวัฒน์ พันธ์ไพศาล; พบชัย งามสกุลรุ่งโรจน์; ณัฐกฤตา เสร็จกิจ; สุนีย์ ลิ้มศรีวาณิชยกร; Niwat Phanpaisan; Popchai Ngamskulrungroj; Nattakrita Sedkit; Sunee Limsrivanichakorn
    น้ำที่ไหลเข้าระบบท่อส่งน้ำของยูนิตทำฟัน (dental unit waterline: DUWL) มีปริมาณจุลินทรีย์จำนวนเล็กน้อย ขณะที่เมื่อฉีดพ่นเข้าสู่ช่องปากกลับมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางทันตกรรมมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อบางอย่างได้ วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและหาความถี่ที่เหมาะสมของการใช้น้ำยา 0.12% คลอเฮกซิดีนกลูโคเนต (chlorhexidine gluconate: CHX) แบบครั้งคราว สำหรับฆ่าเชื้อภายในระบบท่อส่งน้ำของยูนิตทำฟัน วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: สามยูนิตทำฟันถูกกำหนดเป็นยูนิต A, B และ C ตามลำดับ ซึ่งมีภาชนะเก็บน้ำของตัวเองถูกใช้ในการศึกษาเป็นเวลาสองสัปดาห์ ในแต่ละสัปดาห์ได้ทำการฆ่าเชื้อ DUWL ของยูนิต A เป็นเวลา 5 วัน (วิธีที่ 1) และยูนิต B เป็นเวลา 1 วัน (วิธีที่ 2) ตลอดทั้งคืนด้วย 0.12% CHX ส่วนยูนิต C ไม่ได้ทำการฆ่าเชื้อเพื่อใช้เป็นยูนิตควบคุม ตัวอย่างน้ำถูกเก็บภายใน 2 สัปดาห์ น้ำกรองของโรงพยาบาลศิริราชซึ่งเป็นแหล่งน้ำของยูนิตทำฟันถูกเก็บ 1 ตัวอย่างต่อสัปดาห์ และก่อนการฆ่าเชื้อ DUWL ตัวอย่างน้ำ 3 ตัวอย่างจากแต่ละยูนิตทำฟัน (A, B, C) ถูกเก็บเพื่อใช้เป็นตัวอย่างพื้นฐาน หลังการฆ่าเชื้อ DUWL น้ำจากแต่ละยูนิต A และ B ถูกเก็บ 1 ตัวอย่างต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์เพื่อใช้เป็นตัวอย่างทดสอบ สำหรับยูนิต C น้ำถูกเก็บ 1 ตัวอย่างต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์เพื่อใช้เป็นตัวอย่างควบคุม ตัวอย่างน้ำทั้งหมดจำนวน 35 ตัวอย่าง ถูกส่งตรวจเพื่อหาปริมาณจุลินทรีย์แอโรบิกทั้งหมด (total aerobic microbial count) และชนิดของจุลินทรีย์ตามมาตรฐานน้ำดื่ม ผล: เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่กำหนดโดยสมาคมทันตแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (200 cfu/ml) พบว่าตัวอย่างน้ำจากยูนิตทำฟันทั้งหมดในแต่ละสัปดาห์มีปริมาณจุลินทรีย์มากกว่ามาตรฐาน และเมื่อเปรียบเทียบกับตัวอย่างควบคุม พบว่าปริมาณจุลินทรีย์ที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญพบได้จากยูนิต A ในสัปดาห์ที่ 1 หลังการฆ่าเชื้อ (P = 0.034) เท่านั้น และมีความแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญของปริมาณจุลินทรีย์ในตัวอย่างอื่นๆ ในช่วงเวลาที่ทำการทดลอง บทสรุป: ภายใต้ข้อจำกัดของการศึกษาคุณสมบัติทางชีววิทยาในหลอดทดลอง (in vitro study) นี้ พบว่าการใช้น้ำยา 0.12% CHX ในการฆ่าเชื้อ DUWL แบบครั้งคราวไม่สามารถลดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ให้ได้ตามมาตรฐานสากล ดังนั้นจึงแนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ควรใช้น้ำยา 0.12% CHX ฆ่าเชื้อด้วยความถี่ที่มากกว่าห้าวันต่อสัปดาห์เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการฆ่าเชื้อ DUWL
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
  • PublicationOpen Access
    เปรียบเทียบคุณภาพของภาพดิจิตอลในการแปลงภาพสไลด์ระหว่างเครื่องสแกนสไลด์ ความละเอียด 4,000 dpi กับการใช้วิธีถ่ายสำเนาภาพ ด้วยกล้องถ่ายภาพดิจิตอลความละเอียด ๖ ล้านพิกเซล
    (2556) ศักดา สุขรื่น; ปิติพล ชูพงศ์; วงเดือน สุขรื่; นพพล เผ่าสวัสดิ์; Sakda Sookruen; Pitipol Choopong; Wongduan Sookruen; Nopphol Pausawasdi
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบ subjective มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความคมชัดของการนำเสนอสไลด์ดิจิตอลที่ผลิตมาจาก ๒ วิธีคือ ๑.วิธีการถ่ายสำเนาภาพ ด้วยกล้องถ่ายภาพดิจิตอล ขนาดความละเอียด ๖ ล้านพิกเซล ร่วมกับตู้ไฟที่ผลิต ขึ้นมาเอง ๒.วิธีสแกนด้วยเครื่องสแกนที่ใช้สแกนได้ทั้งฟิล์มเนกาทีฟ และฟิล์มสไลด์ และเพื่อเปรียบเทียบระยะเวลา ของกระบวนการในการผลิตสไลด์ดิจิตอลของวิธีถ่ายสำเนาด้วยกล้องดิจิตอลร่วมกับตู้ไฟที่ผลิตขึ้นมาเอง กับวิธีสแกนด้วยเครื่องสแกน การวิจัยดำเนินการในกลุ่มประชากรเป็นนักศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่อาสาสมัครเข้าร่วมโครงการ และผ่านการคัดกรอง จำนวน ๕๑ คน แบ่งเป็นนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีการศึกษาแพทยศาสตร์ ๑๘ คน นักศึกษาสาขาแพทย์แผนไทยประยุกต์ ๕ คน และนักศึกษาสาขาแพทยศาสตร์ ๒๘ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามถึงความแตกต่างจากภาพสไลด์ดิจิตอล ที่เปรียบเทียบกันจากการ ผลิตทั้ง สองวิธี จำนวน ๓๕ คู่ภาพ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย (mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ด้วย วิธี Paired t-test หากข้อมูลมีการกระจายตัวอย่างปกติ และใช้ Non-Parametrictest หากข้อมูลกระจายตัวไม่ปกติ จากการทดลองในการแปลงภาพสไลด์เป็นไฟล์ภาพดิจิตอลระหว่างวิธีสแกน กับการใช้วิธีถ่ายสำเนาภาพด้วยกล้องถ่ายภาพดิจิตอลโดยแบ่งภาพสไลด์ต้นแบบออกเป็น ๗ กลุ่ม กลุ่มละ ๕ ภาพ พบว่าค่าเฉลี่ย ความคมชัด โดยวิธีถ่ายสำเนาภาพมากกว่าวิธีสแกนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเป็นอันดับที่ ๑ ได้แก่ กลุ่มที่ ๓ ภาพสไลด์จากสิ่งพิมพ์ และภาพวาด อันดับที่ ๒ กลุ่มที่ ๕ กลุ่มภาพสไลด์ถ่ายทั่วไป อันดับที่ ๓ กลุ่มที่ ๑ ภาพสไลด์ตัวหนังสือเป็นสี พื้นสไลด์เป็นสีต่างๆ และตัวหนังสือ และลายเส้นขาว-ดำ พื้นใส อันดับที่ ๔ กลุ่มที่ ๖ ภาพสไลด์ภาพ X-ray, CT-scan, Ultrasound อันดับที่ ๕ กลุ่มที่ ๗ ภาพสไลด์ Specimen อันดับที่ ๖ กลุ่มที่ ๔ ภาพสไลด์ภาพ Cells และกลุ่มที่ ๒ ภาพสไลด์รอยโรคทางผิวหนัง มีค่าเฉลี่ยความคมชัดของทั้ง ๒ วิธีไม่แตกต่างกัน
  • PublicationOpen Access
    ประสิทธิภาพการเขียนใบชันสูตรบาดแผล ของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ ๕ ตามหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต
    (2556) วิสูตร ฟองศิริไพบูลย์; Visutr Fongsiripaibul
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงประสิทธิภาพในการเขียนเอกสารทางคดีที่เรียกว่า “ใบชันสูตร บาดแผล” ของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ ๕ คณะแพทยศาสตรศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ตำรวจจะส่งมาให้แพทย์เขียนภายหลังที่ได้ตรวจผู้ป่วยแล้วเอกสารดังกล่าวอาจแบ่งได้เป็น ๓ ส่วนหลัก คือ ส่วนแรก (ส่วนประวัติของผู้ป่วย) ส่วนที่ ๒ (ส่วนที่แพทย์ตรวจได้จากผู้ป่วย) และ ส่วนที่ ๓ (ส่วนความเห็นที่จะมีผล ในทางคดี) อีกทั้งยังมีส่วนรองคือส่วนที่ ๔ หรือส่วนท้ายในการลงนามผู้ตรวจโดยผู้วิจัยได้แบ่งนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ ๕ ซึ่งเรียนในหัวข้อ “การเขียนใบชันสูตรบาดแผล” ออกเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งใช้แนวทางในการอธิบายวิธีการเขียนให้รับทราบโดยยกตัวอย่างผู้ป่วย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งหลังอธิบายวิธีการเขียนให้รับทราบแล้วได้ให้นักศึกษาไปตรวจผู้ป่วยที่หอผู้ป่วยแล้วกลับมาเขียนผลการวิจัยพบว่า ในส่วนที่ ๑, ส่วนที่ ๒ และส่วนที่ ๔ ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p>๐.๐๕) แต่ในส่วนที่ ๓ มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ (p<๐.๐๕) แสดงถึงการที่นักศึกษาหากได้ตรวจผู้ป่วยจริงๆ แล้วย่อมตระหนักถึงสภาพแห่งความร้ายแรงของการบาดเจ็บสอดคล้องกับผลทางกฎหมาย
  • PublicationUnknown
    การพยากรณ์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาในระดับประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
    (2556) สุนันท์ มีเทศ; เชิดศักดิ์ ไอรมณีรัตน์; สิดาภา ทองโปร่ง; Sunan Meetess; Cherdsak Iramaneerat; Sidapa Thongprong
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาในระดับประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่ปี ๒๕๕๑-๒๕๕๕ ทั้งหมดจำนวน ๖๕๖ คน เก็บรวบรวมข้อมูลจากจากฐานข้อมูลประวัติและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาในระดับประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ย้อนหลัง ๕ ปีการศึกษาโดยใช้แบบบันทึกการเก็บข้อมูล (case record form) ผู้วิจัยคัดเลือกศึกษาเฉพาะตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ตัวแปรอิสระจำนวน ๙ ตัวแปร ได้แก่ ๑) คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ (GPAM6) ๒) เพศ ๓) ศาสนา ๔) ภูมิลำเนา ๕) ประเภทของโรงเรียน ๖) สาขาที่จบในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ๗) ปีการศึกษาที่เข้าศึกษา ๘) รายได้ของผู้ปกครอง ๙) คะแนนสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย (O-NET) แบ่งได้เป็น ๙.๑) คะแนนสอบคัดเลือกวิชาภาษาไทย ๙.๒) คะแนนสอบคัดเลือกวิชาสังคมศึกษา ๙.๓) คะแนนสอบคัดเลือกวิชาภาษาอังกฤษ ๙.๔) คะแนนสอบคัดเลือกวิชาคณิตศาสตร์ ๙.๕) คะแนนสอบคัดเลือกวิชาวิทยาศาสตร์ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (GPAX) ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (Mean) และความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน หาสมการพยากรณ์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยวิธีการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบคัดเลือกเข้า (Enter Selection) ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ พบว่า ผลการทำนายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาในระดับประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อยู่ที่ร้อยละ ๓๗.๙๐ โดยเรียงลำดับความสำคัญจากค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ (b = ๐.๒๓๘) ปีการศึกษาที่เข้าศึกษา (b = ๐.๑๑๖) คะแนนสอบคัดเลือก O-NET วิชาภาษาไทย (b = ๐.๐๑๑) คะแนนสอบคัดเลือก O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ (b = 0.007)
  • PublicationOpen Access
    การประเมินตนเองของนักศึกษาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ชั้นปีที่ ๒ และชั้นปีที่ ๕ ที่มีต่อคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    (2556) นุชจรีย์ หงษ์เหลี่ย; รัชฎาภรณ์ นะมาเส; พัชดาพรรณ อุดมเพ็ชร; Nucharee Hongliam; Ratchadaporn Namase; Phachadapan Odompet
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการประเมินตนเองของนักศึกษาแพทย์และหาค่าความสัมพันธ์ของผลการประเมินตนเองของนักศึกษาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ต่อคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์มหาวิทยาลัยมหิดล จำแนกตามเพศ ชั้นปี และผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา โดยผู้วิจัยศึกษากับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาแพทย์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ชั้นปีที่ ๒ และชั้นปีที่ ๕ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน ๒๒๕ คน มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) และเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามการ ประเมินตนเองของนักศึกษาแพทย์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความสัมพันธ์ด้วยสถิติไคสแควส์ (Chi-square) ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาแพทย์ส่วนใหญ่ร้อยละ ๕๓.๓๓ เป็นเพศหญิง ร้อยละ ๔๖.๖๗ เป็นเพศชาย ซึ่งมีค่าเฉลี่ยคะแนนการประเมินตนเองของนักศึกษาแพทย์ต่อคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งด้านเป็นคนดี มีปัญญา และนำพาสุข อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยรวม เท่ากับ ๓.๙๖ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ๐.๗๓ และเมื่อหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ชั้นปี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ต่อคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ มหาวิทยาลัยมหิดล ณ ระดับ ความเชื่อมั่นร้อยละ ๙๕ พบว่า เพศของนักศึกษาแพทย์มีความสัมพันธ์ต่อคุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ด้านทางปัญญาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๐๓ ชั้นปีของนักศึกษาแพทย์มีความสัมพันธ์ต่อคุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ด้านการเป็นคนดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับน้อยกว่า ๐.๐๐๑ และกลุ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาแพทย์ไม่มีความสัมพันธ์ต่อคุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ด้านการเป็นคนดีมีปัญญา และนำพาสุขอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ระดับ ๐.๒๗, ๐.๓๙ และ ๐.๑๑ ตามลำดับ) ดังนั้น เพศและชั้นปีมีความสัมพันธ์ต่อการประเมินตนเองของนักศึกษาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ชั้นปีที่ ๒ และชั้นปีที่ ๕ ที่มีต่อคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • PublicationOpen Access
    การสำรวจปริมาณและมูลค่ายาเหลือใช้ในผู้ป่วยนอก ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช
    (2557) รัชฎาภรณ์ นะมาเส
    การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณ มูลค่า และชนิดของยาเหลือใช้พร้อมทั้งวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดยาเหลือใช้ในกลุ่มผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจที่หน่วยตรวจอายุรศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช โดยการสุ่มอย่างง่ายเพื่อคัดเลือกผู้ป่วย และทำการจัดส่งไปรษณียบัตร พร้อมโทรศัพท์ติดต่อผู้ป่วยเพื่อชี้แจงรายละเอียดให้ผู้ป่วยนำยาที่ใช้เป็นประจำทั้งหมดมาพบเภสัชกรหลังจากที่ได้ตรวจกับแพทย์ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยร้อยละ 74.4 มียาเหลือใช้ คิดเป็นมูลค่ารวม 187,950.55 บาท มูลค่าเฉลี่ยคิดเป็น 3,081.16 บาทต่อคน โดยผู้ป่วยสิทธิ์เบิกจ่ายตรงมีมูลค่าของยาเหลือใช้สูงที่สุด กลุ่มยา anti-hypertensive agent เป็นยาที่มีปริมาณ และ มูลค่าของยาเหลือใช้สูงที่สุด ซึ่งสาเหตุของการเกิดยาเหลือใช้ได้แก่ ผู้ป่วยไม่รับประทานยาตามแพทย์สั่ง (non compliance) แพทย์สั่งยามากกว่าวันนัด ได้รับยาซํ้าซ้อนจากต่างคลินิก/ สถานพยาบาล ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์ควรจะตระหนักถึงความสำคัญ และร่วมกันหาแนวทางเพื่อลดปัญหาจากยาเหลือใช้ซึ่งเป็นสาเหตุของการสูญเสียทางการเงินของโรงพยาบาลที่สามารถป้องกันได้
  • PublicationOpen Access
    การรักษาความลับของผู้ป่วย
    (2556) ศักดา สถิรเรืองชัย; Sakda Sathirareuangchai