SS-Article

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 10 of 23
  • Thumbnail Image
    Publication
    พฤติกรรมการออกกำลังกายและความต้องการของลูกค้าที่มารับบริการของ ศูนย์ออกกำลังกาย วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
    (2564) มานิตย์ บุบผาสุข; ยุวดี วงค์ใหญ่; Manit Bubphasook; Yuwadee Wongyai; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา. สานักงานสนับสนุนกิจกรรมกีฬาและการออกกาลังกาย
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) พฤติกรรมการออกกำลังกายของลูกค้าของศูนย์ออกกำลังกายก่อนและหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (2) ความต้องการของลูกค้าในการให้บริการของศูนย์ออกกำลังกายตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ประกอบด้วยมาตรการด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม มาตรการด้านการติดตามและคัดกรองความเสี่ยงมาตรการด้านการป้องกันตนเองและมาตรการด้านการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล (3) ความร่วมมือของลูกค้าต่อมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และ (4) ความคิดเห็นของลูกค้าต่อการให้บริการของศูนย์ออกกาลังกายตามฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ประชากรที่ศึกษาคือลูกค้าที่มารับบริการของศูนย์ออกกาลังกาย วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล ระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน 2563 จานวน 81 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ อัตราส่วนร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (𝑥̅) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการศึกษาพบว่าพฤติกรรมการออกกำลังกายของลูกค้าที่มารับบริการของศูนย์ออกกำลังกายก่อนและหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ไม่แตกต่างกัน ในด้านความต้องการของลูกค้าในการให้บริการศูนย์ออกกำลังกายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก(𝑥̅ = 3.86) เมื่อจาแนกตามรายด้านพบว่ามีความต้องการด้านมาตรการติดตามและคัดกรองความเสี่ยงมากที่สุด(𝑥̅ = 3.98) ในส่วนของความร่วมมือของลูกค้าต่อมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = 4.21) และความคิดเห็นของลูกค้าต่อการให้บริการของศูนย์ออกกำลังกายตามรูปแบบฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พบว่าอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.00)
  • Thumbnail Image
    Publication
    ผลของโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยตนเองที่บ้านต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายและสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุ ในเขตเทศบาลตำบลขุนพัดเพ็ง จังหวัดสุพรรณบุรี
    (2562) ภัคจุฑานันท์ สมมุ่ง; ศศิธร สกุลกิม; เนตรดาว จิตโสภากุล; จุฑารัตน์ พิมสาร; อรวรรณ เจริญผล; Pakjutanan Sommung; Sasithorn Sakulkim; Netdao Jitsophakul; Chutharat Phimsan; Orawan Jareonpol; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา; มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์
    การออกกำลังกายมีความสำคัญสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการหกล้มที่ส่วนใหญ่ มีสมรรถภาพทางกายต่ำ การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยตนเองที่บ้านต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายและสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบลขุนพัดเพ็ง จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุระหว่าง 60-79 ปี จำนวน 54 คน แบ่งเป็น กลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 27 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยตนเองที่บ้าน ที่พัฒนาขึ้นโดยประยุกต์ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเอง ระยะเวลาการทดลอง 12 สัปดาห์ โดยมีการจัดกิจกรรมการทดลองทั้งหมด 4 ครั้ง กลุ่มเปรียบเทียบได้รับการสอนสุขศึกษาตามปกติของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกพฤติกรรมการออกกำลังกายและแบบบันทึกผลสมรรถภาพทางกาย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา, Chi-Square test, Independent t-test และ Paired t-test ผลการวิจัยพบว่าภายหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนการรับรู้ความสามารถตนเองในการออก กำลังกาย พฤติกรรมการออกกำลังกายและสมรรถภาพทางกายเพิ่มขึ้นกว่าก่อนการทดลองและมากกว่า กลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ดังนั้น โปรแกรมประยุกต์นี้จึงสามารถนำไปใช้กับผู้สูงอายุในศูนย์สุขภาพชุมชนได้
  • Thumbnail Image
    Publication
    การศึกษาปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ
    (2562) นิภาวรรณ วงษ์ใหญ่; Niphawan Wongyai; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา. งานวิจัยและวิชาการ
    การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือเพื่อ (1) ศึกษาระดับปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ (2) เปรียบเทียบปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล (3) ศึกษาแนวทางในการพัฒนาปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย สถานประกอบการด้านสุขภาพทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา อยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มากำหนดเป็นกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งมีทั้งหมด 74 หน่วยงาน เป็นหน่วยงานภาครัฐ 20 หน่วยงาน และหน่วยงานภาคเอกชน 54 หน่วยงาน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า (1) ปัจจัยทางการตลาดโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีด้านผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับมากที่สุด (4.36) รองลงมาคือ ด้านทำเลที่ตั้งอยู่ในระดับมากที่สุด (4.27) ด้านราคาอยู่ในระดับมาก (4.08) และด้านส่งเสริมการขายอยู่ในระดับมาก (3.99) ตามลำดับ (2) เปรียบเทียบปัจจัยทางการตลาดจำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน และรูปแบบสถานประกอบการที่ต่างกันมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน แต่ช่วงอายุมีความคิดเห็นแตกต่างกันที่ด้านส่งเสริมการขาย (3) แนวทางในการพัฒนาปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ คือ ควรมีการกำหนดรูปแบบและระยะเวลาจัดที่ชัดเจน วิทยากรที่บรรยายควรมีความเชี่ยวชาญชำนาญ สถานที่จัดควรมีช่องทางการเดินทางที่หลากหลาย สะอาด และปลอดภัย ควรมีการประชาสัมพันธ์ถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงและควรมีการส่งเสริมการขายเป็นส่วนลดกรณีสมัครล่วงหน้าและมีการสมัครจำนวนมากในหน่วยงานเดียวกัน
  • Thumbnail Image
    Publication
    ประสิทธิผลผลการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเลคทรอนิกส์ด้วยโปรแกรม Moodle สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา (กรณีศึกษาวิชา วกกฬ 217 การนำเสนอสารสนเทศทางการกีฬา ปีการศึกษา 2556)
    (2557) สุรชาติ อาจทรัพย์; ศิรประภา ขันคา; อภิภู สิทธิภูมิมงคล; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา. งานวิจัยและบริการวิชาการ; มหาวิทยาลัยมหิดล. หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล
    การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเลคทรอนิกส์ด้วยโปรแกรม Moodle(e-lerning) ในวิชาการนำเสนอสารสนเทศทางการศึกษากับการเรียนการสอนตามปกติ กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาชั้นปีที่ 2 จากวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล ปีการศึกษา 2556 จานวน 78 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 39 คน ด้วยความสมัครใจ กลุ่มทดลองจะได้รับการเรียนการสอนด้วยสื่ออิเลคทรอนิกส์ผ่านระบบ Internet เป็นเวลาไม่ต่ากว่า 9 ครั้ง สามารถเข้าเรียนได้แบบไม่จากัด ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบจะได้รับการเรียนการสอน ตามปกติ จานวน 9 ครั้ง ตามหลักสูตรที่กำหนดไว้ ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชาย ร้อยละ 75.6 มีอายุระหว่าง 20 – 30 ปี ร้อยละ96.2 ส่วนใหญ่มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่สามารถเข้าถึง Internet ได้ ผลคะแนนเฉลี่ยจำแนกตามองค์ประกอบพบว่าการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเลคทรอนิกส์มีคะแนนเฉลี่ยภาพรวมด้านองค์ประกอบวางภาพ ด้านการใช้ตัวอักษร และเทคนิคการใช้โปรแกรมฯ ดีกว่าการเรียนการสอนตามปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเลคทรอนิกส์ และสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนในระดับมาก อย่างไรก็ตามควรปรับปรุงเรื่องความเข้าใจในบทเรียนที่มีต่อบทเรียนผ่านโปรแกรม Moodle การให้บริการด้านวัสดุอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสัญญาณอินเตอร์เน็ต ดังนั้นวิธีการเรียนการสอนผ่าน สื่ออิเลคทรอนิกส์จึงเป็นทางเลือกสำหรับนักศึกษาได้ทบทวนบทเรียนได้ด้วยตนเองเพิ่มเติมจากการเรียนการสอนตามปกติ
  • Thumbnail Image
    Publication
    ความพึงพอใจและความสำคัญในการใช้บริการสนามกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล
    (2559) ธัญลักษณ์ หงษ์โต; ยุวดี วงค์ใหญ่; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา. งานวิจัยและบริการวิชาการ
    ความพึงพอใจและความสำคัญในการใช้บริการสนามกีฬาเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงอุปสรรค ปัญหา และ แนวทางการแก้ไขในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษาระดับความพึง พอใจในการใช้บริการสนามกีฬา ของนิสิต บุคลากร และบุคคลทั่วไป มหาวิทยาลัยมหิดลและเปรียบเทียบความพึง พอใจและความสำคัญของสนามกีฬาและศูนย์ออกกำลังกายจำแนกตามกลุ่มผู้มาใช้บริการแบบสอบถาม ใช้สำหรับ เก็บรวบรวมข้อมูลจากสมาชิกผู้มาใช้บริการสนามกีฬามหาวิทยาลัยมหิดล ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ข้อมูลทั่วไป ความพึงพอใจและความสำคัญในการใช้บริการ และคำถามปลายเปิดด้านการจัดการ ด้านบุคลากรผู้ให้บริการ ด้าน สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก1.ความพึงพอใจและความสำคัญในการใช้บริการสนามกีฬามหาวิทยาลัยมหิดล ผลการวิจัยด้านความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (3.51) ด้านความสำคัญโดยรวมอยู่ในระดับมาก (4.03) 2.เมื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจโดยจำแนกตามกลุ่มพบว่าโดยรวมอยู่ในระดับมาก (3.53) และเปรียบเทียบ ความสำคัญในการใช้บริการโดยจำแนกตามกลุ่มพบว่าโดยรวมอยู่ในระดับมาก (4.02) จากการวิจัยครั้งนี้ มหาวิทยาลัยควรมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรมและระยะยาว ครอบคลุมทั้งหน่วยงาน ภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการโดยนำสิ่งที่มีอยู่มาดัดแปลงปรับปรุงและแก้ไข ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้บริการและองค์กร
  • Thumbnail Image
    Publication
    ท่าทางของร่างกายขณะออกกำลังกายต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นของชีพจรและอัตราการใช้พลังงานในหญิงมีครรภ์ชาวไทย
    (2557-07) อมรพันธ์ อัจจิมาพร; กรกฤษณ์ ชัยเจนกิจ; รุ่งชัย ชวนไชยะกูล; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา
  • Thumbnail Image
    Publication
    การศึกษาอัตราการเกิดการบาดเจ็บของนักกีฬาฟันดาบสากลไทยในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 38 ณ จังหวัดตรัง
    (2554) มนต์ชัย โชติดาว; วีรวัฒน์ ลิ้มรุ่งเรืองรัตน์; โอภาส สินเพิ่มสุขสกุล; Monchai Chottidao; Weerawat Limroongreungrat; Opas Sinphurmsuksakul; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา
    การศึกษานี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราการเกิดของการบาดเจ็บต่างๆ ในนักกีฬาฟันดาบสากลที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 38 ณ จังหวัดตรัง ซึ่งจากจำนวนนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาฟันดาบสากล จานวน 97 ราย ผู้วิจัยสามารถเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ได้ จานวน 63 ราย คิดเป็น 64.94 %ประกอบด้วย นักกีฬาชาย 41 ราย (65.1%) อายุเฉลี่ย 22.77±3.39 ปี และนักกีฬาหญิง 22 ราย (34.9%) อายุเฉลี่ย 20.45±3.36 ปี ผลการศึกษาพบว่า ในระยะเวลา 3 เดือนก่อนจนถึงระหว่างการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ตรังเกมส์ มีนักกีฬาดาบสากลมีอาการบาดเจ็บ จานวน 39 ราย (61.9%) โดยการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ จะเกิดในระหว่างการฝึกซ้อม จานวน 31 ราย (79.48%) เกิดในระหว่างการแข่งขัน จานวน 8 ราย (20.52%) ตำแหน่งของการบาดเจ็บที่พบมากที่สุดของนักกีฬาดาบสากล คือ ข้อเท้า จานวน 18 ราย (46.15%) รองลงมาคือ ข้อเข่า จานวน 11 ราย (28.02%) ข้อมือ จานวน 6 ราย (15.38%) และกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า จานวน 4 ราย (10.25) สาเหตุหลักของการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นนั้นพบว่า เกิดจากตัวนักกีฬาเอง หรือไม่ได้เกิดจากการปะทะ จำนวน 15 ราย (38.46%) รองลงมา คือ เกิดจากการปะทะกับคู่ต่อสู้ จำนวน 9 ราย (23.08%) และพบว่า ปัจจัยภายในตัวนักกีฬาเอง ซึ่งเกี่ยวข้องในเรื่องของ การอบอุ่นร่างกายที่ไม่เหมาะสม การขาดเทคนิคในการเล่น อัตราการล้าที่เกิดขึ้นจากการฝึกซ้อมและการแข่งขัน หรือแม้กระทั่งภาวะ การฝึกมากเกินไป ซึ่งมีส่วนทาให้เกิดการบาดเจ็บได้
  • Thumbnail Image
    Publication
    Psychophysiological changes of cigarette smokers to stimuli of aerobic and anaerobic exercises
    (2012-07) Thyon Chentanez; Yaowalak Anothayanont; Panya Kimuk; Tossaporn Yimlamai; Mahidol University. College of Sports Science and Technology; Mahidol University. Faculty of Science
    This study was aimed to determine the chronic effects of smoking on some psychophysiological performances in healthy male volunteers with 20-45 years of age and working at the Police General Hospital. The volunteers were divided without randomization into 2 groups of 10 smokers and 10 nonsmokers. Then, the left arm and left leg of both groups were stimulated by hot water (42), cold water (12), aerobic exercise and anaerobic exercise to legs. Psycho-neurological performances changes before and after the above stimulations were measured. The results were 1) ‘Psycho-neurological performance’ before Astand exercise and Wingate exercise showed was no significant difference between both groups in terms of visual reaction time (VRT), response time and tapping speed. However, after exercise, warned auditory reaction time of the right big toe, warned tactile reaction time of the right lateral malleolus stimulation and the level of the right index finger response and warned tactile reaction time at 7th cervical spine level of the right index finger response were significantly higher in smokers than nonsmokers; 2) ‘Physical performance’ in nonsmokers in relation to oxygen consumption and agility was significantly higher than in smokers. In conclusion, smoking was associated with reduction in physical performance, psycho-neurological performance and vasomotor responses. This may explain smoking related atherosclerotic changes of blood vessels in the brain and organs and the severity may depend on duration and amount of smoking.
  • Thumbnail Image
    Publication
    Validation of the Omni Scale of perceived exertion for cycle Ergometer exercise in young female: Thai Version
    (2555) นราวุฒิ นาคคนึง; เมตตา ปิ่นทอง; Dabayebeh, Ibrahim; รุ่งชัย ชวนไชยะกูล; Robertson, Robert; Narawut Nakkanung; Metta Pinthong; Rungchai Chuanchaiyakul; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา
    Purpose The purpose of this study was to validate of a Thai translated version of OMNI cycle ergometer exercise scale of perceived exertion among young healthy females (N = 17) (18-25 yrs). Methods Heart rate (HR, b/min), oxygen consumption (VO2, L/min), minute ventilation (VE, L/min), respiratory rate (RR, b/min) and ratings of perceived exertion (OMNI cycle Scale; RPE) for the overall body (RPE-O), legs (RPE-L), and chest (RPE-C) were determined at the end of each of 3-min exercise stages in continuously administered exercise tests. Power output (PO) of cycling intensity started at 25 Watt (w) with 25 w incremented in every stage. Subjects performed the exercise test up to 100 w. Results Exercise responses range was for HR: 99.9-153.9 b/min; VO2: 14.20-26.58 ml/kg/min; VE: 15.1-41.7 L/min; RR: 22.3-33.2 b/min and OMNI RPE RPE-O, RPE-L, and RPE-C: 0.8-7.1. Linear regression analyses showed that RPE-O, RPE-L and RPE-C distributed as a positive linear function for all criterion measures (HR, VO2, VE, and RR) (p < 0.01). Correlation between RPE and HR (r: 0.74-0.79, p < 0.01), RPE and VO2 (r: 0.79- 0.80, p < 0.01), RPE and VE (r: 0.82-0.83, p < 0.01), and RPE and RR (r: 0.47-0.49, p < 0.01) were statistically significant. Two-way ANOVA with repeated measures showed that RPE increased at each exercise stage and RPE-L were higher (p < 0.01) than RPE-O and RPE-C. One-way ANOVA with repeated measures showed that HR, VO2, VE, and RR significantly increased with the progression of workload (p < 0.001). Conclusion The Thai translated version of the OMNI Scale of perceived exertion for cycle ergometer exercise concurrent validity is established for young adult female.
  • Thumbnail Image
    Publication
    ผลของท่านั่งและท่ายกขาสูง 45 องศา ในระยะฟื้นตัวจากการออกกำลังกายอย่างหนักแบบเป็นช่วงที่มีต่อระบบไหลเวียนโลหิต, ระบบระบายอากาศ และ ระบบเผาผลาญพลังงาน
    (2011) หฤทัย เพ็ชรวิเศษ; เมตตา ปิ่นทอง; รุ่งชัย ชวนไชยะกูล; Haruthai Petviset; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาผลของท่านั่งและท่ายกขาสูง 45 องศา ภายหลังการออกกำลังกายอย่างหนักแบบเป็นช่วง ที่มีผลต่ออัตราการเต้นหัวใจ, ความดันเลือดแดง, การระบายอากาศ, อัตราการใช้ออกซิเจน และระดับความไม่สุขสบายในการหายใจ ในผู้มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์เพศชาย อายุระหว่าง 19-22 ปี กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล เพศชาย จานวน 11 คน โดยผู้ที่เข้าร่วมทดลองจะทำการวิ่งบนลู่วิ่งที่มีความหนักเป็นช่วงๆเป็นเวลา 45 นาทีต่อมาในระยะพักผู้เข้าร่วมการทดลองจะทำการนั่ง หรือนอนหงายยกขาสูง 45 องศาเป็นเวลา 15 นาทีโดยเว้นระยะห่างระหว่างการทดลองครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ทันทีภายหลังจากการวิ่ง ผู้เข้าร่วมการทดลองจะเข้าสู่ระยะของการฟื้นตัวโดยการนั่ง หรือ นอนยกขาสูง 45 องศา เป็นเวลา 15 นาทีโดยการสุ่ม และผู้เข้าร่วมการทดลองจะมาทาการทดลองอีกครั้งอย่างน้อย 1 สัปดาห์ถัดไป แบบสอบถามความเหนื่อยในการออกกำลังกายจะถูกบันทึกในช่วงระยะออกกำลังกายและความเหนื่อยในการหายใจจะบันทึกทุก 1 นาทีในระยะฟื้นตัว ผลการวิจัย ในระยะพักและระยะออกกำลังกายไม่พบความแตกต่างของอัตราการเต้นหัวใจ, ความดันเลือดแดง, การระบายอากาศ, ปริมาตรของการหายใจเข้าปกติ, อัตราการหายใจ, อัตราการใช้ออกซิเจน และระดับความไม่สุขสบายในการหายใจในการทดลองทั้ง 2 ครั้ง ค่าความดันโลหิตซิสโตลิก (p < 0.05) และ ค่าดันพัลซฺเพรสเซอร์ (p < 0.05) จะมีค่ามากในท่านอนยกขาสูง 45 องศา อัตราการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจ และอัตราการเต้นของหัวใจจะมีค่าต่าในท่านอนยกขาสูงเมื่อเทียบกับท่านั่ง ในท่านั่งจะมีค่าการใช้ออกซิเจนที่ต่ากว่าท่านอนยกขาสูง (p < 0.05) แต่ค่าสัดส่วนการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนออกซิเจนในท่านั่งจะมีค่าสูงกว่าในท่านอนยกขาสูง (p < 0.05) ค่าการระบายอากาศ, ความเหนื่อยในการหายใจ , ความดันไดแอสโตลิก , ค่าความดันเลือดแดงเฉลี่ย , ค่าเรทเพรสเซอร์โปรดักส์ พบว่าไม่มีความแตกต่างกันในระหว่างท่านั่งกับท่านอน (p > 0.05) ในระยะฟื้นตัวท่า นอนยกขาสูงมีการใช้ออกซิเจน, อัตราการหายใจ ที่มากกว่าในท่านั่ง แต่มีปริมาตรอากาศของการหายใจเข้าปกติ น้อยกว่าในท่านั่ง (p < 0.05) จากข้อมูลที่ได้สามารถสรุปได้ว่าท่านอนยกขาสูง 45 องศาจะสามารถลดการทำงานอย่างหนักของระบบไหลเวียนโลหิตภายหลังการออกกำลังอย่างหนักอาจเนื่องมาจากมีการกระตุ้นของบาร์โรรีเซบเตอร์ในท่านอนยกขาสูง