PH-Proceeding Document
Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/98
Browse
Recent Submissions
Item Open Access ปัจจัยที่มีผลต่อความเชื่อมั่นในการใช้บริการการแพทย์แผนไทยโรงพยาบาลการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ ผสมผสาน(2565) กฤษณะ คตสุข; วัลลีรัตน พบคีรี; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; ปิ ยะธิดา ขจรชัยกุลการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่ อความเชื่อมั่นในการใช้ บริการการแพทย์ แผนไทย ในโรงพยาบาลการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ ผสมผสาน กลุ่ มตัวอย่ างคือประชาชนที่มาใช้ บริการการแพทย์ แผนไทยในโรงพยาบาลการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ ผสมผสาน จำนวน 392 คน โดยใช้ แบบสอบถาม การเก็บรวบรวมข้อมูลช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 การวิเคราะห์ ข้อมูลใช้ สถิติเป นความถี่ ร้อยละ และหาความสัมพันธ์ โดยใช้ สถิติไคสแควร์ ผลการศึกษาพบว่า คุณลักษณะทางประชากรของประชาชนที่มาใช้ บริการการแพทย์ แผนไทย พบว่ามากกว่าร้อยละ 50 เป็ นเพศหญิง อายุมากกว่ า 50 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพรับราชการ/พนักงานของรัฐ มีสถานภาพสมรส มีรายได้ เฉลี่ยต่ อเดือนระหว่าง 10,001 – 25,000 บาท ส่วนใหญ่ ไม่ มีโรคประจำตัว และสิทธิการรักษาพยาบาลส่วนใหญ่ เป็ นสิทธิข้าราชการ สำหรับระดับความรูู้ เจตคติ ความพึงพอใจ และระดับความเชื่อมั่นในการใช้ บริการการแพทย์ แผนไทย อยู่ ในระดับต่ำ-ปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 58.7, 61.7, 60.2 และ 53.1 ตามลำดับ ส วนความสัมพันธ ระหว่างคุณลักษณะทางประชากร ระดับความรู้ เจตคติ และความพึงพอใจ กับระดับความเชื่อมั่นการใช้ บริการการแพทย์ แผนไทย พบว่า คุณลักษณะทางประชากรมีความสัมพันธ์ กับระดับความเชื่อมั่นในการใช้ บริการการแพทย์ แผนไทย (p-value < 0.05) ส วนระดับความรู้ เจตคติ และความพึงพอใจกับระดับความเชื่อมั่นในการใช้ บริการการแพทย์ แผนไทยมีความสัมพันธ์ กัน (p-value < 0.001) ข อเสนอแนะจากการวิจัย เห็นว่าผู้ บริหารควรเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ เข้ามามีส่ วนร่ วมในการกำหนดเป้าหมายและทิศทางการบริการการแพทย์ แผนไทย และควรปรับปรุงระบบบริการการแพทย แผนไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น ไว้ วางใจ ต่อการมาใช้ บริการการแพทย์ แผนไทยต่ อไปItem Open Access ปัจจัยที่มีผลต่อความร่วมมือในงานควบคุมคุณภาพห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ และสาธารณสุขของบุคลากรสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข(2565) ชลลดา มีทรัพย์; วัลลีรัตน์ พบคีรี; นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์; ปรารถนา สถิตวิภาวีความร่วมมือในงานควบคุมคุณภาพห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ และสาธารณสุขของบุคลากรสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ สาธารณสุข (สวส) กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และหาความสัมพันธ์ ระหว่างคุณลักษณะส่วนบุคคล ความรู้ เจตคติ และการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการธำรงรักษาระบบคุณภาพของสถาบันฯ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรสถาบันฯทั้งหมด จำนวน 322 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม อัตราการตอบกลับแบบสอบถาม ร้อยละ 85.6 การวิเคราะห์ ข้ อมูลใช้ สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ หาความสัมพันธ์ โดยใช้สถิติไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่าบุคลากรสวส. เกินครึ่งหนึ่ง มีพฤติกรรมการมีส่วนร่วมธำรงรักษาระบบคุณภาพโดยรวมอยู่ ในระดับสูง (ร้อยละ 65.4) บุคลากรมีความรู้เกี่ยวกับการธำรงรักษาระบบคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 49.2) และเจตคติที่มีต่ อการธำรงรักษาระบบคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 53.8) และพบว่า คุณลักษณะส่วนบุคคล ได้แก่ ระดับการศึกษา การดำรงตำแหน่ง ระดับวิชาชีพ การเข้าฝึ กอบรมระบบคุณภาพ มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของบุคลากรสถาบัน อย างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) ความรู เกี่ยวกับการธำรงรักษาระบบคุณภาพด้านการทบทวนระบบคุณภาพ และด้านการตรวจประเมินแบบเฝ้าระวัง มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของบุคลากรสถาบันฯอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.01) เจตคติต่อการธำรงรักษาระบบคุณภาพ(ทั้งรายด้านและโดยรวม) มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของบุคลากรสถาบันฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.01) จากผลการวิจัย ควรส่งเสริมการฝึกอบรมบุคลากรสถาบัน เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการธำรงรักษาระบบคุณภาพให้ อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะการจัดทำหลักสูตรที่เน้นการตรวจติดตามคุณภาพภายใน การตรวจประเมินแบบเฝ้าระวังให้ กับบุคลากร ผู้ บริหารควรให้ความสำคัญการบริหารจัดการด้านบุคลากร และงบประมาณ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาให้กับบุคลากรและองค์กร นำไปสู่การธำรงรักษาระบบคุณภาพให้มีมาตรฐานอย่างยั่งยืนItem Open Access การปฏิบัติตามแนวทางป้องกันโรคโควิด-19 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านชายแดนไทย - พม่า จังหวัดตาก(2565) โยษิตา ทวดอาจ; ณัฐนารี เอมยงค์; สุคนธา ศิริการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 เป็นปัญหาที่สร้างภาระให้กับทุกประเทศทั่วโลก ในประเทศไทยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมูู่บ้าน (อสม.) กลายเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในระบบเฝ้าระวังโรคโควิด-19 โดยเฉพาะหมูู่บ้านละแวกใกล้บริเวณชายแดนไทย - พม่า โดยนอกเหนือจากบทบาทในการคัดกรองและระบุผู ที่มีความเสี่ยงจากโรคโควิด-19 แล้ว อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) ยังต้องเป็นแบบอย่างให้กับชาวบ้านในการป้องกันโรคโควิด-19 ได้แก่การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ และการรักษาระยะห่างทางสังคม ดังนั้นข้อมูลการปฏิบัติตามแนวทางป้องกันโรคโควิด-19 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่ชายแดนจึงกลายเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับระบบสุขภาพพื้นฐาน การศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามแนวทางป้องกันโรคโควิด-19 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในอำเภออุ้มผาง จังหวัดตากโดยการนำแบบสอบถามที่ให้กลุ่มตัวอย่างกรอกขข้อมูลด้วยตนเอง จำนวน 222 ราย ในโรงพยาบาลส่วเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 4 แห่ง และใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า พบว่าร้อยละ 54.1 ปฏิบัติตามแนวทางป้องกันโรคโควิด-19 และร้อยละ 45.9 ไม่ปฏิบัติตามแนวทางป องกันโรคโควิด-19Item Open Access พฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด - 19 ของผู้ ป่วยวัณโรคของพื้นที่ชายแดนไทย - เมียนมา อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก(2565) สุภาพร สารเรือน; ณัฐนารี เอมยงค์; วิศิษฏ์ ฉวีพจน์ กำจรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่แพร่ระบาดของวัณโรค และประเทศไทยประสบปัญหาการแพร่เชื้อวัณโรคจากประเทศเพื่อนบ าน เมื่อมีการระบาดของโรคโควิด-19 รัฐจึงมีนโยบายการป้องกันโควิด-19 ที่สามารถป้องกันการติดเชื้ออทางเดินหายใจอื่น ๆ รวมทั้งวัณโรคด้วย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป องกันโรคโควิด-19 ของผู้ป่วยวัณโรคพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา อ.อุ้มผาง และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยวัณโรคในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 โดยนำขข้อมูลมาวิเคราะห์จากแบบฟอร์มการบันทึกระบบเฝ้าระวังวัณโรคจากชายแดนไทย-เมียน ชื้ออำเภออุ้มผางจังหวัดตาก และแบบสัมภาษณ์ผู้ป่วยวัณโรคที่ติดระหว่างการระบาดของโควิด-19 ผลการวิจัยพบว่าผู้ป่วยวัณโรคจำนวน 34 คนที่มารับการรักษาระหว างปี 2563-2564 พบวว่าพฤติกรรมการป้องกันการแพร ระบาดโควิดที่ไม่เหมาะสม ไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้านร้อยละ 41.2 มีการสวมหน ากกากซ้ำร อยละ 100 ระหว างวันใส่หน้ากากหลุดใต้คางร้อยละ 95 พฤติกกรรมการล้างมือของผู้ป่วยวัณโรคไม่ล้างมือหลังรับของจากผู้อื่นในช่วงสถานกาณ์การระบาดโควิด-19 ร้อยละ 85.3 และมีพฤติกรรมล างมือด้วยน้ำสบู่หรือแอลกอฮอล์และอาบน้ำหลังกลับเข้าบ้านระหว่างวันบางครั้งร้อยละ 67.7 พฤติกรรมล้างมือก่อนและหลังรับประทานอาหารร้อยละ 85.3 พฤติกรรมการเว้นระยะห างระหว่างบุคคลเมื่อออกนอกบ้านบางครั้งร้อยละ 97.1 ด้านผลกระทบผู้ป่วยโควิดร้อยละ 67.6 คือปัจจัยด้านการรักษา ปัจจัยด้านยา ปัจจัยส วนบุคคล (การขาดรายได้ ช่วงโควิด-19 ระบาด) สรุปควรมีการประชาสัมพันธ และสื่อสารให้ผู้ปป่วยวัณโรค 58 การประชุมวิชาการศูนย์การแพทย กาญจนาภิเษก ครั้งที่ 10 ประจำปี 2565 ทราบและตระหนักความสำคัญของการปฏิบัติพฤติกรรมการป้องกันการแพร กระจายโรคของผู้ป่วยวัณโรคของอำเภออุ้มผาง เพื่อลดอัตราการแพร ระบาดของเชื้อวัณโรคและโรคติดต่อทางเดินหายใจอื่นๆ รวมถึงโควิด-19Item Open Access ปัจจัยสัมพันธ์กับประสิทธิผลการดำเนินงานโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เขตสุขภาพที่ 5(2565) ทศพล วัฒนะพันธ ศักดิ์; จารุวรรณ ธาดาเดช; ณัฐกมล ชาญสาธิตพรโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เป็ นหน่ วยงานปฐมภูมิที่มีบทบาทสำคัญควบคุมและป้องกันการเกิดโรค โดยการติดตามกลุ่มเป้าหมายด้วยตัวชี้วัด เพื่อลดปัญหาที่จะส่งผลกระทบสุขภาพประชาชนในระยะยาว งานวิจัยเชิงสำรวจ แบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับประสิทธิผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เขตสุขภาพที่ 5 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามบุคลากรที่รับผิดชอบงานโรคไม่ติดต่อเรื้อรังใน รพ.สต. จำนวนทั้งหมด 912 แห่ง อัตราการตอบกลับแบบสอบถามจำนวน 719 ชุด (ร้อยละ 78.8) จากจำนวนทั้งหมด 912 ชุด ระยะเวลาเก็บข้อมูลตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2560 วิเคราะห์ โดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติไคสแควร์ ผลการวิจัยพบมีรพ.สต. 238 แห่ง (ร้อยละ33.1) ที่มีผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์ การดำเนินงานโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง นอกจากนั้นการวิจัยพบว่าบรรยากาศการทำงานรพ.สต. มีความสัมพันธ์ กับผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) งานวิจัยนี้ได้ ชี้ว่าการดำเนินให้รพ.สต. ได้ ผ่านเกณฑ์ ผู้บริหารควรส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่สนับสนุนช่วยเหลือกัน และสนับสนุนการทำงานเป็นทีมที่เอื้อต่อการมีปฏิสัมพันธ์ การสื่อสารสองทิศทาง วัฒนธรรมที่ให้ความร่วมมือกันจะส่งเสริมให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายผ่านตามเกณฑ์ ตัวชี้วัดได้Item Open Access HeartSound(2564) ปูม มาลากุล ณ อยุธยา; Poom Malakul Na Ayudhya; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์HeartSound เป็นโปรแกรม android mobile app ที่สามารถจำแนกเสียงการเต้นของหัวใจ (Heart sound classification) ได้เป็นสองกลุ่ม คือเสียงผิดปกติ (abnormal) และเสียงปกติ (normal) โดยใช้เทคโนโลยี Machine Learning โปรแกรมนี้ยังสามารถทำงานได้ในสองลักษณะ คือ วิเคราะห์แบบเรียลไทม์ หรือวิเคราะห์ไฟล์เสียงItem Open Access Machine Learning Mobile app เพื่อช่วยการตรวจเชื้อมาลาเรียจากรูปภาพ(2561) ปูม มาลากุล ณ อยุธยา; Poom Malakul Na Ayudhya; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์เทคโนโลยีด้าน Machine Learning ได้ถูกพัฒนาขึ้นมากจนมีความ แม่นยำใกล้เคียงกับความสามารถของมนุษย์ โดยเฉพาะในด้าน Image Classification ขณะที่เทคโนโลยีบนอุปกรณ์มือถือก็มีขีดความสามารถสูงขึ้น มาก การนำเทคโนโลยีทั้งสองมาประยุกต์ในการให้บริการสุขภาพเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการนำ เทคโนโลยีดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ โดยการพัฒนา app บนมือถือ เพื่อสร้าง ระบบอัตโนมัติในการตรวจหาเชื้อมาลาเรียโดยใช้รูปภาพ พบว่าในตัวอย่าง การตรวจแบบ thick smear ระบบอัตโนมัตินี้สามารถตรวจพบเชื้อได้ดีItem Metadata only Prevention of non-narcotic analgesics use by traditional Thai massage(2531) Sarapee Leeprasert; สารภี ลีประเสริฐ; Pitchaya Phaktongsuke; Agnsana Boontham; อังสนา บุญธรรม; Mahidol University. Faculty of Public Health. Rural Health Training and Research Center.Non-Narcotic Analgesics like Aspirin or combination of AC (Aspirin and Caffeine) are available and popular in labor-aged group in both urban and rural area for half a century. Most of them use it because of body pain not antipyretic or anti-inflammation. Some use every day and some use every week. These make the overdosage consumption which can cause gastrointestinal erosion, ulceration and hemorrhage. To prevent these risks, Traditional Thai Massage is considered as one of the strategies. This is just a pilot project study that conducted in Dan Jak Subdistrict, Non Thai District, Nakornrajsima Province. At the training process, 46 persons from 43 households were trained to know about the basic Thai massage. Two months later, we found that 1. The community accepted the massage. About 70 percent of the trainees massaged each other, members in their homes and their neighbours; 2. Though the analgesics are still used especially in the hard working day. It seemed to be used less than before the training. For the persons who use every day, they tried to reduce the dosage, and the others tried to not use. However, we will summarize the final result at the end of the project in April 1988.Item Metadata only Anthemintic effect of albendazone, mebendazone and diethylcarbamazine on Trichinella spiralis in mice(2531) Angoon Keittivuti; องุ่น เกียรติวุฒิ; Boonyiam Keittvuti; บุญเยี่ยม เกียรติวุุฒิ; Mahidol University. Faculty of Public Health. Department of Parasitology.The efficacy of albendazone, mebendazone and diethylcarbamazine on Trichinella spiralis in mice were treated with 50 mg/kg body weight for 3 consecutive days on the beginning of 2nd.day, 10th.day, 21st.day and 28th.day. After 35-42 days infected mice were examined for trichinella larvae. Mebendazone and albendazone eliminated worms in the intestines of mice 99.8% and 99.95% respectively while diethylcarbamazine could not induce any effects to the worms. For the invasive phase, the effect of mebendazone and diethylcarbamazine were nearly the same (76% and 73% respectively) but albendazole showed 36% of larvae decreased. Mebendazole reduced the numbers of the larvae on entering musculature phase and encysted larvae in the muscle 97.9% and 96.7% respectively. Albendazole and diethylcarbamazine decreased the larvae in muscle on entering muscularture phase 50.6% and 16% respectively. For musculature phase albendazole reduced the encysted larvae in muscle 63.8% but diethylcarbamazine could not eliminate the encysted larvae. However mice showed some side effect after treated with mebendazole and albendazole for musculature phase but side effect was subside after 2-3 days following the first day of administration.Item Metadata only ระยะเวลาในการสร้างภูมิต้านพิษคอตีบหลังได้รับวัคซีน ดีที 1 โดส ในนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 เขตอำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท(2531) วรัญญา แสงเพ็ชร์ส่อง; สุเนตร แสงม่วง; ศุภชัย ฤกษ์งาม; ธวัชชัย วรพงศ์ธร; กานดา วัฒโนภาส; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาชีวสถิติ.การติดตามศึกษาประสิทธิผลของการสร้างภูมิต้านพิษคอตีบในเด็กชั้นประถมปีที่ 1 หลังการได้รับวัคซีน ดีที หนึ่งครั้ง 7 และ 14 วัน ประชากรศึกษาเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 เขต อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ตรวจเลือดจำนวน 525 คน เลือกเฉพาะ ผู้ที่มีระดับภูมิต้านพิษต่ำกว่าที่คุ้มกันได้ (0.5 หน่วยต่อซีซี) ทั้งหมด 136 ราย มีค่ามัชฌิมเรขาคณิตของภูมิต้านพิษเท่ากับ 0.24 ± 0.08 หน่วย ต่อซีซี ภายหลังได้รับวัคซีน ดีที 1 เข็ม ติดตามตรวจเลือดได้ 112 ราย (ร้อยละ 82.3 จากจำนวนทั้งหมด) พบว่าค่ามัชฌิมเรขาคณิตของภูมิต้านพิษคอตีบเท่ากับ 0.76 ± 1.18 และ 2.57 ± 3.34 หน่วย ต่อซีซี หลังจากได้รับวัคซีนแล้ว 7 วัน และ 14 วันตามลำดับ ภูมิต้านพิษมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (repeat ANOVA test; P = 0.0001) และการเพิ่มขึ้นหลังจากได้รับวัคซีน 7 วัน กับ 14 วัน มีความแตกต่างกันยอ่างมีนัยสำคัญด้วย (pair t – test; p = 0.0001) อัตราผู้มีภูมิต้านพิษที่เพิ่มขึ้นจนถึงระดับคุ้มกันโรคได้หลังได้รับวัคซีน 7 วันและ 14 วันมีร้อยละ 52.6 และ 86.6 ตามลำดับ ปัจจัยอันได้แก่เพศและการได้วัคซียเมื่ออายุ 1 ปี 6 เดือน มีผลต่อระดับภูมิต้านพิษคอตีบจากการวิเคราะห์ทางสถิติวิธี repeat ANOVA (p = 0.019 และ p = 0.037 ตามลำดับ) กล่าวได้ว่าปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อการสร้างภูมิต้านพิษจากได้รับวัคซีนครั้งนี้ ปัจจัยอื่นๆไม่มีผลต่อระดับภูมิต้านพิษคอตีบคือ ภาวะทุพโภชนาการ (p = 0.36) ภาวะเจ็บป่วยในรอบ 12 เดือน (p = 0.40) ประวัติการได้รับวัคซีนช่วงอายุ 0-1 ปี (p = 0.40) และการได้รับวัคซีนกระตุ้นเมื่อ 4-6 ปี (p = 0.17) ผลที่ได้แสดงให้เห็นว่า การใช้วัคซีนฉีดเพื่อป้องกันโรคคอตีบในชุมชนเมื่อมีโรคนี้เกิดขึ้นมีความเป็นไปได้สูงมากItem Metadata only การศึกษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ดินแดง กรุงเทพฯ รายงานตอนที่ 3 : การแยกเชื้อและการพิสูจน์เอกลักษณ์ของเชื้อแบคทีเรียและไวรัสจากตัวอย่างตรวจ(2531) อนงค์ ปริยานนท์; กานดา วัฒโนภาส; เจตน์สันต์ แตงสุวรรณ; ระวิวรรณ แสงฉาย; สุวณีย์ รักธรรม; ศุภรี สุวรรณจูฑะ; มาลัย วรวิจิต; พนิดา ชัยเนตร; จันทพงษ์ วะสี; พิไลพรรณ พุทธวัฒนะ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอนามัยครอบครัว.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช.สืบเนื่องมาจากการศึกษาวิจัยในชุมชนของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี นั้น เมื่อมีเด็กป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจที่มีอาการเล็กน้อยหรืออาการปานกลาง ผู้ทำหน้าที่ดูแลอาสาสมัครจะเก็บสิ่งตรวจโดยการดูดเอาน้ำมูกหรือกวาดคอของเด็กป่วย หรือดูดเอาในส่วนนาโซฟาริงค์ เพื่อส่งไปตรวจหาเชื้อไวรัสที่ห้งอปฏิบัติการ ณ โรงพยาบาลศิริราช ขณะสิ่งตรวจอีกส่วนหนึ่งจะถูกนำส่งไปแยะเชื้อและพิสูจน์เอกลักษณ์เชื้อแบคทีเรียที่ห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า ไวรัส 28.8% พบจากสิ่งตรวจของนาโซฟาริงค์และเป็น RSV 12.2 % Parainfluenzae 1; 2.2% Parainfluenzae 2; 4.4, Influenzae 3.3%, Adenovirus 5.5 % และไวรัสอื่นๆ 1.1 % อย่างไรก็ตามไวรัสส่วนใหญ่พบในคนไข้ที่มีอาการที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน สำหรับแบคทีเรียซึ่งแยกได้จากคนไข้ที่มีอาการที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบนนั้นเป็น S. pneumoniae 26.27 %, H.influenxae non B 18.64 %, H.influenzae B 2.54 %, S.aureus, 13.56%, และแบคทีเรียชนิดอื่ๆประมาณ 12.71 % ส่วนคนไข้ที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจส่วนล่างนั้นพบเชื้อ S.pneumoniae เพียง 0.84 % H.fluenzae non B. 2.54 % และ S. aureus 1.69 % เท่านั้นItem Metadata only การศึกษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ดินแดง กรุงเทพฯ. รายงานตอนที่ 1: การจัดการ วิธีการดำเนินการ ระบบส่งต่อและปัญหาที่เกิดขึ้นจากการศึกษา(2531) กานดา วัฒโรภาส; ระวิวรรณ แสงฉาย; เจตน์สันต์ แตงสุวรรณ; อนงค์ ปริยานนท์; สุวณี รักธรรม; ศุภรี สุวรรณจูฑะ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอนามัยครอบครัว.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายรวมทั้งประเทศไทยด้วย วัตถุประสงค์ใหญ่ของการศึกษาในครั้งนี้เพื่อที่จะหาอัตราของการเกิดโรค ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่ชุมชนเขตเมือง การศึกษานี้เป็นการศึกษาต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี โดยการเฝ้าระวังเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่แฟลตดินแดงซึ่งมี 6 ตึกประกอบด้วยห้องทั้งหมด 1,350 ห้อง ในระหว่างการศึกษาถ้าเด็กที่อายุเกิน 5 ปี หรือไม่ต้องการเข้าไปอยู่ในโครงการจะถูกตัดออกและเด็กเกิดใหม่หรือเข้าใหม่(ที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี) จะได้นำเข้าไปโครงการ ผู้ดูแลเด็ก (Volunteer) เป็บุคคลที่ได้จ้างจาดชุมชนโดยดูแลเด็กประมาณ 15-20 คน อาทิตย์ละ 2 ครั้งต่อเด็ก1 คน และมีผู้ควบคุมการทำงานของผู้ดูและเด็ก (Investigator) อีกพวกหนึ่ง โดยมีแบบฟอร์มของอาการและอาการแสดงซึ่งปรับจากขององค์การอนามัยโลก แบ่งเป็นอาการอ่อน อาการปานกลางและอาการรุนแรง ผู้ควบคุมนี้จะเป็นผู้ตัดสินที่จะให้คำแนะนำกับผู้ปกครองเด็กที่มีอาการปานกลางและอาการรุนแรงให้ไปตามระบบการส่งต่อที่ศูนย์สาธารณสุขดินแดงและโรงพยาบาลรามาธิบดี นอกจากนี้แล้วการศึกษาเชื้อที่เป็นต้นเหตุได้จากการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียและไวรัสในเด็กที่มีอาการอ่อนโดยกลุ่มผู้ควบคุมดูแลเด็กซึ่งเป็นผู้เก็บตัวอย่างตรวจและได้จากศูนย์สาธารณสุขดินแดง และโรงพยาบาลรามาธิบดี ในรายที่มีอาการปานกลางและรุนแรงโดยพยาบาลเป็นผู้เก็บตัวอย่างตราวจ ปัญหาในการศึกษาครั้งนี้ที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับปัญหาในระบบส่งต่อผู้ป่วยระดับปานกลางซึ่งผู้ปกครองเด็กไม่นำเด็กไปตามที่แนะนำ ทำให้การเก็บสิ่งส่งตรวจเพื่อหาเชื้อไม่ได้ทุกรายItem Metadata only การศึกษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ดินแดง กรุงเทพฯ. รายงานตอนที่ 4 : การเข้าถึงชุมชนและการศึกษาปัญหาระยะยาว(2531) ชัยวัฒน์ วงศ์อาษา; พิพัฒน์ ลักษมีจรัลกุล; สิทธิพันธุ์ ไชยนันทน์; สุวัฒน์ ศรีสรฉัตร; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอนามัยครอบครัว.ประชากรที่อาศัยอยู่ในอาคารสงเคราะห์การเคหะแห่งชาติดินแดงหลังที่ 1-6 เป็นกลุ่มที่มีสภาวะสังคมและเศรษฐกิจต่ำ ประชาชนขาดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการดูแลสุขภาพของตนเองสุขภาพต่ำกว่ามาตรฐานลักษณะชุมชนแตกต่างจากชุมชนชนบท ในการศึกษาความสำเร็จของการเข้าถึงฐาน การส่งตัวผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในระดับปานกลาง การให้ความร่วมมือของชุมชนต่อโครงการเป็นดัชนีในการบ่งชี้ การศึกษานี้ พบว่าตั้งแต่เริ่ม-โครงการ (กรกฎาคม 2528) ถึงปัจุบัน (กรกฎาคม 2530) มีอัตราความครอบคลุมของการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคขั้นพื้นฐานสูงขึ้นตามลำดับจากร้อยละ 34.92 ในปี 2528 เป็นร้อยละ 83.82 ในปี 2530 การให้ความร่วมมือของประชาชนขณะเริ่มโครงการร้อยละ 79 เป็นร้อยละ 98 ในปี 2530 การเพิ่มของตัวบ่งชี้ดังกล่าวเนื่องจากปัจจัยต่างๆเช่น การเตรียมชุมชน การเยี่ยมบ้าน การใช้ยา การให้วิตามินบีรวมและวิตามินซี การอบรมอาสาสมัครเป็นระยะๆอย่างต่อเนื่อง ปัญหาของการศึกษาระยะยาวเกิดขึ้นในส่วนของแผนงาน ลักษณะส่วนตัวของอาสาสมัครและบุคลากรของโครงการ การเก็บตัวอย่างส่งตรวจเพื่อหาเชื้อและความต้องการของประชาชนItem Metadata only การศึกษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ดินแดง กรุงเทพฯ. รายงานตอนที่ 2 : อัตราอุบัติการและอัตราความชุกของโรคในปี พ.ศ.2529(2531) ระวิรรณ แสงฉาย; กานดา วัฒโนภาส; เจตน์สันต์ แตงสุวรรณ; อนงค์ ปริยานนท์; สุวณี รักธรรม; ศุกรี สุวรรณจูฑะ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอนามัยครอบครัว.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.จุดประสงค์ของการศึกษานี้ เพื่อแสดงถึงอัตราอุบัติการและอัตราความชุกของโรค ความรุนแรงและระยะเวลาของการเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ในชุมชนที่มีเศรษฐานะต่ำ นอกจากนี้จะได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการเกิดโรคนี้กับปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวเด็กอันประกอบไปด้วย น้ำหนักแรกคลอด สภาวะโภชนาการของเด็ก การได้รับภูมิคุ้มกันโรค สภาพแวดล้อมและสภาพครอบครัวของเด็ก เด็กที่ได้รับการดูแลเมื่อเริ่มโครงการมีจำนวน 332 คน ซึ่งเด็กแต่ละคนจะได้รับการเยี่ยมโดยอาสาสมัครชุมชนของโครงการ และการทำงานของอาสาสมัครจะต้องได้รับการตรวจและเยี่ยมซ้ำโดยผู้ดูแลอาสาสมัคร 4 คน ผลของการศึกษาพบว่าในปี 2529 ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไปลักษณะของอุบัติการของโรคจะสูงในเดือนมกราคม และจะลดต่ำลงในเดือนถัดไปคือเดือนกุมภาพันธ์และจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อัตราอุบัติการสูงสุดคือ 77 ต่อประชากร 100 คนในเดือนธันวาคม และต่ำสุด 37 ต่อประชากร 100 คน ในเดือนเมษายน สำหรับจำนวนครั้งของการเกิดโรคจะพบมากในช่วงฤดูหนาวคือเกิดในเดือนธันวาคมสูงถึง 80 เดือนมกราคม 76 และ เดือนพฤศจิกายน 74 ต่อประชากร 100 คน ส่วนจำนวนครั้งของการเกิดโรคจะพบได้น้อยในช่วงฤดูร้อนคือเดือนกุมภาพันธ์เกิด 40 เมษายนเกิด 45 และเดือน มิถุนายนเกิด 44 ต่อประชากร 100 คน สำหรับจำนวนการเกิดโรคต่อเด็กแต่ละคนในแต่ละเดือนและจะพบมากเช่นกันในเดือนธันวาคม คือพบได้ 0.8 และพบน้อยในเดือนมิถุนายน เมษายนและกุมภาพันธ์ ซึ่งเท่ากับ 0.4, 0.5 และ 0.5 ตามลำดับItem Metadata only ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาในการเปลี่ยนแปลง ความรู้ เจตคติ ความเชื่อ และการป้องกันโรคเอดส์ของหญิงอาชีพเพศพาณิชย์ในจังหวัดชุมพร(2534) วาสนา จันทร์สว่าง; มุฑธิกา ตระกูลวงษ์; พินัย รุโจปการ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์.การป้องกันโรคเอดส์ เป็นวิธีการเดียวเท่านั้นที่จะควบคุมการแพร่กระจายของโรคเอดส์เพราะโรคนี้ยังไม่มีวัคซีนใดที่จะป้องกัน ไม่มียาใดที่จะรักษาให้หายได้ โดยเฉพาะในกลุ่มพฤติกรรมเสี่ยง คือ หญิงอาชีพเพศพาณิชย์ ซึ่งอาจเป็นต้นตอของการแพร่กระจายไปยังทุกคนในสังคม การศึกษาวิจัยประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาในเรเปลี่ยนแปลง ความรู้ เจตคติ ความเชื่อและการป้องกันโรคเอดส์ในรูปแบบของการวิจัยปฏิบัติการ ลักษณะการวิจัยกึ่งทดลองเพื่อการแก้ปัญหา โดยใช้โปรแกรมสุขศึกษา ซึ่งประยุกต์ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพและการใช้แรงสนับสนุนทางสังคมเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ประกอบด้วยกิจกรรมนันทนาการ วีดีทัศน์ เรื่องความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคเอดส์ เอกสารคู่มือโรคเอดส์ การสาธิตการใช้ถุงยางอนามัย แผ่นพับการใช้ถุงยางอนามัย การสนทนากลุ่มย่อย และการกระตุ้นด้วยการให้คำแนะนำปรึกษารายกลุ่มการเก็บรวบรวมข้อมูล 2 ครั้ง คือ ก่อนและหลังการทดลองด้วยการสัมภาษณ์ตามแบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ หญิงอาชีพเพศพาณิชย์ซึ่งประกอบการค้าประเวณีในสถานประกอบการประเภทสำนัก จังหวัด ชุมพร จำนวน 66 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง กำหนดให้กลุ่มตัวอย่าง ปากน้ำหลังสวน อำเภอหลังสวน เป็นกลุ่มทดลองจำนวน 36 คน ปากน้ำชุมพร อำเภอเมือง เป็นกลุ่มเปรียบเทียบจำนวน 30 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ร้อยละค่าเฉลี่ย Studen’s t-test, Paired Sample t-test และ Pearson’s Product Moment Correlation Coefficients ผลการวิจัย พบว่า หลังจากจัดโปรแกรมสุขศึกษา กลุ่มทดลองมีความรู้ เจตคติ ความเชื่อแลการปฏิบัติในการป้องกันโรคเอดส์ถูกต้องกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) นอกจากนี้ยังพบว่า การปฏิบัติในการป้องกันโรคก่อนและหลังการทดลองในกลุ่มทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การจัดโปรแกรมสุขศึกษาร่วมกับการใช้แรงสนับสนุนทางสังคมนั้นเป็นโปรแกรมสุขศึกษาที่สามารถนำไปใช้เปลี่ยนแปลงด้านความรู้ เจตคติความเชื่อและการป้องกันโรคเอดส์ของหญิงอาชีพเพศพาณิชย์ในกลุ่มอื่นๆ ให้ถูกต้องไปได้Item Metadata only การตรวจคุณภาพอาหาร น้ำดื่ม และภาชนะ ทางด้านจุลชีววิทยา จากร้านอาหาร ในเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร(2534) แฉล้ม จันทรศรี; กานดา วัฒโยภาส; ประจวบ สังฆสุวรรณ; อนงค์ ปริยานนท์; อรษา สุตเธียรกุล; วรวิทย์ เล็บนาค; บุญชอบ สุคนธสิงห์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.โรคอุจจาระร่วง เป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขของประเทศไทย ปัจจัยในการที่ทำให้เกิดการระบาดหรือแพร่กระจายของโรคคือ อาหารและเครื่องดื่มที่แปดเปื้อนเชื้อโรคทางเดินอาหาร จึงทำการศึกษาคุณภาพอาหารทางด้านจุลชีววิทยา โดจตรวจหารปรุงสำเร็จรูป น้ำดื่มและภาชนะจากภัตตาคารและร้านอาหารบริเวณสุขุมวิท เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร จำนวนอย่างละ 100 ตัวอย่าง สุ่มจากร้าน 109 ร้าน การตรวจทางจุลชีววิทยาหาปริมาณของเชื้อทั้งหมด (Total Plate Count) และปริมาณของโคไลฟอร์มทั้งหมด (Total Coliform) รวมถึงการตรวจหาเชื้อโรคของทางเดินอาหารบางตัว ได้แก่ ซัลโมเนลลา ชิคเจลลา วิบริโอ ผลการศึกษา พบว่า อาหารสำเร็จรูป น้ำดื่ม และภาชนะ มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนเกินมาตรฐานร้อยละ 25, 82 และ 88 และมีปริมาณโคไลฟอร์มเกินมาตฐาน ร้อยละ 23,69 และ 56 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่า อาหาร น้ำดื่ม และภาชนะ ตรวจพบมีทั้งแบคทีเรียและโคไลฟอร์มเกินมาตรฐาน ร้อยละ 10, 66 และ 56 ตามลำดับ จะสังเกตเห็นได้ว่า คุณภาพของสิ่งตรวจ น้ำดื่มสกปรกมากกว่าอาหารและภาชนะ ในแง่ของความปลอดภัยแก่การบริโภคโดยอาศัยโคไลฟอร์มเป็นดัชนี น้ำดื่ม นับว่าไม่น่าปลอดภัยแก่การบริโภคมากกว่าสิ่งอื่นItem Metadata only Duration of breast-feeding among Thai primigravida women : effect of breast-feeding education(2538) Oranut Pacheun; อรนุช ภาชื่น; Mahidol University. Faculty of Public Health. Department of Maternal and Child Health.Objectives : The study attempted to evaluate the effects of breast-feeding education program on the duration of exclusive breast feeding of mothers 4-6 months after delivery Methods: The design of this study is the non-ramdomized control group pretest-posttest. The subjects in cluded a total of 226 primigravidas who attended antenatal clinic. The experimental group (115) was given breast feeding education twice, during the third trimester of pregnancy and one to two days after delivery, while the control group (111) received the run of the mill information from the hospital. Data were analyzed using Chi-square t-test and Fisher exact test at the bivariate level and logistic regression for multivariate analysis. Results : Bivariate analysis revealed that mean score of knowledge and attitude posttest in the experimental group was significantly higher than in the control group. The proportion of the respondents who performed the proper techniques of breast-feeding and milk expression were also significantly higher in the experimental than in the control group. The percentage of those who continue exclusive breast-feeding until 4-6 months of delivery and the mean duration of exclusive breast-feeding within the first 5 months of delivery were no significantly different between the two groups. A predictive equation model of the breast-feeding behavior 4-6 months after delivery was formulated. The predictors identified were age, occupation, monthly family income. Social support by close cousin, level of HLOC (Health Locus of Control) and post partum contact. Results revealed that breast-feeding education affected only the cognitive and affective but not the desired duration of exclusive breast-feeding. It suggests that merely breast-feeding education is insufficient to prolong the duration of exclusive breast-feeding Recommendation : Health education needs to deal more with how to develop personal skills. There is need to integrate breast-feeding promotion into any health promotion programs designed for home, work place and community as a whole. Efforts in promoting breast-feeding must emphasize environmental support such as specific regulations and services that will facilitate mothers to extend their duration of exclusive breast –feeding. It is vital that breast-feeding advocacy groups in a hospital and community setting should be established. Additional follow up these two groups beyond the time limit of this study should be undertaken if one is to determine factor that operate at longer terms. It is also recommended that further study should utilize a combination of the quantitative and qualitative approaches for follow up.Item Metadata only ปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคไวรัสตับอักเสบ บี ในเด็กก่อนวัยเรียน ชุมชนดินแดง กรุงเทพมหานคร(2534) พิพัฒน์ ลักษมีจรัลกุล; ลีรา กิตติกูล; ปรางค์ทอง มณีศร; วชิระ สิงหะคเชนทร์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาชีวสถิติ.การศึกษาปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ได้ทำในเด็กก่อนวัยเรียน จำนวน 165 ราย อายุ 6-14 ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี มาก่อน และผู้ปกครองท่าอาศัยในอาคารสงเคราะห์การเคหะแห่งชาติ ชุมชนดินแดง กรุงเทพมหานคร ระวห่างเดือน มกราคม ถึงพฤษภาคม 2534 เด็กและผู้ปกครองจะได้รับการสัมภาษณ์โดยใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่อาจมีผลต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เด็กทุกรายได้รับการเจาะเลือดเพื่อตรวจหา HBsAg, Anti-HBs และ Anti-HBc โดยใช้วิธี EIA ของบริษัท Roche จากผลการตรวจเลือด สามารถแบ่งเด็กแกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มศึกษา คือ เด็กที่ให้ผลเลือดบวกกับ HBV seromarkers ตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัว จำนวน 41 ราย และกลุ่มเปรียบเทียบ คือ เด็กที่ให้ผลเลือดลบกับ HBV seromarkers จำนวน 124 ราย เปรียบเทียบและวิเคราะห์ตัวแปรทั้ง 2 กลุ่ม โดยใช้ Odds Ratio (OR) และ x2-test จากการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ได้แก่ (1)ปัจจัยเกี่ยวกับเด็ก : อายุเด็ก (OR =2.84, P = 0.004) เพศเด็ก (OR = 2.64,P = 0.012)การเจาะหูในเพศหญิง (OR = 8.48, P = 0.020) การใช้ใบมีดโกนร่วมกันในการกันหรือโกนผม (OR = 12.32, P = 0.001) การสัมผัสเลือดจากบาดแผลผู้อื่น (OR = 2.36, P = 0.031) การใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น (OR = 2.40, P = 0.017) การคุ้ยหาของในกองขยะ (OR = 3.10, P = 0.003) (2) ปัจจัยเกี่ยวกับครอบครัว : การศึกษาของผู้ปกครอง (OR = 5.19, P = 0.017) รายได้ของครอบครัวต่อเดือน (OR = 2.53, P = 0.015) อายุของผู้ปกครอง (OR = 5.83, ถึง 7.06, P = 0.1357, 0.014) และ (3) ปัจจัยเกี่ยวกับสังคมวิทยา : ความรู้เกี่ยวกับโรคและการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอีกเสบ บี ของผู้ปกครอง (ไม่มีความรู้ OR = 4.60, P = 0.007) ความรู้ระดับต่ำ (OR = 3.24 P = 0.023) และเจตคติเกี่ยวกับโรค และการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี ของผู้ปกครอง (OR = 3.36 P = 0.047) นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้ติดตามเจาะเลือดผู้ปกครองของเด็กที่เป็นพาหะ จำนวน 4 ราย พบว่ามารดา 2 ราย เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ บี อีก 2 รายไม่เป็นพาหะ อาจกล่าวได้ว่า เด็ก 2 รายที่มีมารดาเป็นพาหะ อาจจะติดเชื้อจากการแพร่เชื้อตามแนวตั้งหรือแนวนอนก็ได้ แต่เด็กอีก 2 ราย ที่มีมารดาไม่เป็นพาหะน่าจะติดเชื้อจากการแพร่เชื้อตามแนวนอน การติดต่อของโรคไวรัสตับอักเสบ บี ตามแนวนอนอาจเป็นการติดต่อที่สำคัญของโรคในเด็กวัยเรียนของชุมชนนี้Item Metadata only ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษา ร่วมกับการใช้แรงสนับสนุนทางสังคมจากผู้นำชุมชนในการป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน ของหญิงวัยเจริญพันธุ์ อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง(2534) สรงค์กฏณ์ ดวงคำสวัสดิ์; ร่มไทร สุวรรณิก; วสันต์ ศิลปสุวรรณ; รุ่งโรจน์ พุ่มริ้ว; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์.หญิงวัยเจริญพันธ์ อาจถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของการตกอยู่ในความเสี่ยงอันตรายต่อการขาดสารไปโอดีน เพราะความต้องการไอโอดีนของหญิงวัยเจริญพันธุ์นั้นมีสูง อันเนื่องมาจากการเสียเลือดประจำเดือน ปละการคลอดบุตร ผลของการขาดสารไอโอดีนของหญิงวัยเจริญพันธุ์ ทำให้เกิดพยาธิสภาพสำคัญหลายประการ เช่น เป็นคอพอก อวัยวะสืบพันธุ์ไม่เจริญ แท้งลูกง่าย เป็นหมัน ความคิดช้า และทำให้เด็กที่คลอดออกมามีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะการขาดสารไปโอดีนด้วย การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาร่วมกับการใช้แรงสนับสนุนทางสังคมจากผู้นำชุมชน ในการป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนของหญิงวัยเจริญพันธ์ อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง โดยประยุกต์แนวคิด Precede Framework รูปแบบการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ตามลำดับของกรวยแห่งประสบการณ์ ทฤษฎีทางจิตวิทยาสังคมที่นำมาใช้ในการแก้ปัญหาสุขภาพและแรงสนับสนุนทางสังคม มาเป็นแนวทางในการจัดโปรแกรมสุขศึกษาการวิจัยเป็นแบบกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่แต่งงานแล้ว มีอายุระหว่าง 15-45 ปี จำนวน 116 คน แยกเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 60 คน จากบ้านสบแม่ทำ หมู่ 2 ตำบลเสริมซ้าย และกลุ่มควบคุมจำนวน 56 คน จากบ้านทุ่งต่ำ หมู่ 8 ตำบลเสริมกลาง อำเภอเสริมงาม การศึกษาวิจัย ได้ดำเนินการระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2533 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2534 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกสังเกตุพฤติกรรมและขวดคู่สำหรับตรวจสอบหาสารไอโอดีน ผลการวิจัยพบว่า โปรแกรมสุขศึกษาสามารถทำให้หญิงวัยเจริญพันธุ์มีความรู้ในเรื่องโอกาสเสี่ยง ความรุนแรงของความผิดปกติของสมองและร่างกายที่เกิดจากการขาดสารไอโอดีนมีความเชื่อในเรื่องโอกาสเสี่ยง ความรุนแรงของความผิดปกติของสมองและร่างกายที่เป็นผลจากการขาดสารไอโอดีน และผลดีของการปฏิบัติตามคำแนะนำมีทัศนคติต่อการดื่มน้ำเสริมสารไอโอดีนและมีการปฏิบัติในการป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนถูกต้องมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมสุขศึกษาอย่างมีวินัยสำคัญทางสถิติ และพบว่า การปฏิบัติมีความสัมพันธ์ในทางบวกกับความรู้และทัศนคติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในระยะติดตามผล (สัปดาห์ที่ 5) ของการวิจัย พบว่า หญิงวัยเจริญพันธุ์ มีการเติมไอโอดีนลงในน้ำดื่ม การใช้เกลืออนามัย การใช้ไอโอดีนพ่นลงในเกลือเม็ดและการใช้น้ำปลาเสริมไอโอดีนมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จาการตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบว่า ปริมาณไปโอดีนในปัสสาวะขงอหญิงวัยเจริญพันธุ์ในกลุ่มทดลองเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนากรทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากผลการวิจัยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับอำเภอและตำบล ควรจะได้มีการพิจารณาจัดโปรแกรมบริการด้านสุขศึกษาแก่หญิงวัยเจริญพันธุ์ในชุมชนและหมู่บ้าน ร่วมกับการนำบทบาทของผู้นำชุมชนมาเป็นผู้ให้แรงสนับสนุนทางสังคมแก่หญิงวัยเจริญพันธุ์ ด้านอารมณ์ข้อมูลข่าวสารการให้หารประเมิน และการสนับสนุนเครื่องมือในการปฏิบัติ เพื่อให้หญิงวัยเจริญพันธุ์ได้รับไอโอดีนในปริมารณที่พอเพียงต่อความต้องการของร่างกาย และเป็นการแก้ปัญหาการเป็นโรคขาดสารไอโอดีนของชุมชนให้ได้ผลดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรมีการเฝ้าระวังตรวจตราในเรื่องความครอบคลุม ความต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ และวัดผลกระทบของการจัดโปรแกรมสุขศึกษาItem Metadata only การส่งเสริมการสร้างส้วมในชนบท : ศึกษาเฉพาะองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมของชุมชน(2534) ชนิณัฐ วโรทัย; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์.เพื่อที่จะเพิ่มปริมาณการสร้างส้วมของประเทศไทยให้มากขึ้น กระทรวงสาธารณสุขได้ใช้กลวิธีสนับสนุนหลัก 5 ประการคือ กองทุนสุขาภิบาล ช่างสุขภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน การมีส่วนร่วมของชุมชน การตระหนักของประชาชน และปรัชญาด้านสาธารณสุขมูลฐาน แม้ว่าอัตราการสร้างส้วมจะเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่เป็นที่ประจักษ์แน่นอนว่า การเพิ่มด้วยอัตรานี้จะไม่สามารถทำให้ปริมาณการสร้างส้วมทั่วประเทศถึงระดับที่ประเทศตั้งเป้าไว้ในปี ค.ศ.2000 หรือพ.ศ.2543 การศึกษานี้กล่าวถึงความเข้าใจถึงพลวัตของกระบวนการจัดสินใจด้านพฤติกรรมและสังคม ที่สามารถส่งเสริมการวางแผนและการดำเนินการที่เกี่ยวกับการปรับปรุงสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษานี้มุ่งวิเคราะห์ความเชื่อส่วนบุคคลและค่านิยมที่เกี่ยวข้องกับกลวิธีทั้ง 5 ปรากรที่มีอิทธิพลต่อการสร้างส้วม ซึ่งการศึกษาดังกล่าวนี้ยังไม่มีใครศึกษาอย่างมีระบบมาก่อนในประเทศไทย นอกจากนี้ในระดับหมู่บ้านที่มีระดับการสร้างส้วมต่ำและสูงได้ ศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้กลวิธีด้านกองทุนสุขาภิบาล และช่างสุขภัณฑ์หมู่บ้านกับการสร้างส้วมของชาวบ้าน การศึกษานี้ใช้วิธาการสำรวจในการเก็บข้อมูลใช้การสัมภาษณ์ ประกอบกับข้อมูลทุติยภูมิจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ ผลการศึกษาพบว่า มีความสุมพันธ์ระหว่างกลวิธีด้านกองทุนสุขาภิบาลและช่างสุขภัณฑ์หมู่บ้านที่มีระดับการสร้างส้วมต่ำและสูง และในระดับครัวเรือนพบว่าการรับรู้ค่านิยมของหัวหน้าครัวเรือนในหมู่บ้านที่มีระดับการสร้างส้วมต่ำลสูงต่อกลวิธีด้านกองทุนสุขาภิบาล ช่างสุขภัณฑ์หมู่บ้าน การมีส่วนร่วมชองชุมชน และการรับรู้ของประชาชนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติการวิเคราะห์เชิงสถิติโดย Stepwise Discriminant พบว่า การรับรู้ค่านิยมของกลวิธีด้านกองทุนสุขาภิบาล และการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการสร้างส้วมของชาวบ้าน การสร้างส้วมนี้ชี้ให้เห็นความสำคัญของการวิจัยด้านพฤติกรรมศาสตร์ และสังคมศาสตร์ตลอดจนการวางแผนสุขศึกษา ซึ่งช่วยส่งเสริมกลวิธีทั้ง 5 ประการ ที่ใช้ในโครงสร้างสนับสนุนการสร้างส้วมให้ประสบผลสำเร็จมากขึ้น