PH-Proceeding Document

Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/123456789/98

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 113
  • ItemOpen Access
    ปัจจัยที่มีผลต่อความร่วมมือในงานควบคุมคุณภาพห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ และสาธารณสุขของบุคลากรสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
    (2565) ชลลดา มีทรัพย์; วัลลีรัตน์ พบคีรี; นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์; ปรารถนา สถิตวิภาวี
    ความร่วมมือในงานควบคุมคุณภาพห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ และสาธารณสุขของบุคลากรสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ สาธารณสุข (สวส) กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และหาความสัมพันธ์ ระหว่างคุณลักษณะส่วนบุคคล ความรู้ เจตคติ และการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการธำรงรักษาระบบคุณภาพของสถาบันฯ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรสถาบันฯทั้งหมด จำนวน 322 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม อัตราการตอบกลับแบบสอบถาม ร้อยละ 85.6 การวิเคราะห์ ข้ อมูลใช้ สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ หาความสัมพันธ์ โดยใช้สถิติไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่าบุคลากรสวส. เกินครึ่งหนึ่ง มีพฤติกรรมการมีส่วนร่วมธำรงรักษาระบบคุณภาพโดยรวมอยู่ ในระดับสูง (ร้อยละ 65.4) บุคลากรมีความรู้เกี่ยวกับการธำรงรักษาระบบคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 49.2) และเจตคติที่มีต่ อการธำรงรักษาระบบคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 53.8) และพบว่า คุณลักษณะส่วนบุคคล ได้แก่ ระดับการศึกษา การดำรงตำแหน่ง ระดับวิชาชีพ การเข้าฝึ กอบรมระบบคุณภาพ มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของบุคลากรสถาบัน อย างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) ความรู เกี่ยวกับการธำรงรักษาระบบคุณภาพด้านการทบทวนระบบคุณภาพ และด้านการตรวจประเมินแบบเฝ้าระวัง มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของบุคลากรสถาบันฯอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.01) เจตคติต่อการธำรงรักษาระบบคุณภาพ(ทั้งรายด้านและโดยรวม) มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของบุคลากรสถาบันฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.01) จากผลการวิจัย ควรส่งเสริมการฝึกอบรมบุคลากรสถาบัน เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการธำรงรักษาระบบคุณภาพให้ อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะการจัดทำหลักสูตรที่เน้นการตรวจติดตามคุณภาพภายใน การตรวจประเมินแบบเฝ้าระวังให้ กับบุคลากร ผู้ บริหารควรให้ความสำคัญการบริหารจัดการด้านบุคลากร และงบประมาณ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาให้กับบุคลากรและองค์กร นำไปสู่การธำรงรักษาระบบคุณภาพให้มีมาตรฐานอย่างยั่งยืน
  • ItemOpen Access
    ปัจจัยที่มีผลต่อความเชื่อมั่นในการใช้บริการการแพทย์แผนไทยโรงพยาบาลการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ ผสมผสาน
    (2565) กฤษณะ คตสุข; วัลลีรัตน พบคีรี; ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ; ปิ ยะธิดา ขจรชัยกุล
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่ อความเชื่อมั่นในการใช้ บริการการแพทย์ แผนไทย ในโรงพยาบาลการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ ผสมผสาน กลุ่ มตัวอย่ างคือประชาชนที่มาใช้ บริการการแพทย์ แผนไทยในโรงพยาบาลการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ ผสมผสาน จำนวน 392 คน โดยใช้ แบบสอบถาม การเก็บรวบรวมข้อมูลช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 การวิเคราะห์ ข้อมูลใช้ สถิติเป นความถี่ ร้อยละ และหาความสัมพันธ์ โดยใช้ สถิติไคสแควร์ ผลการศึกษาพบว่า คุณลักษณะทางประชากรของประชาชนที่มาใช้ บริการการแพทย์ แผนไทย พบว่ามากกว่าร้อยละ 50 เป็ นเพศหญิง อายุมากกว่ า 50 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพรับราชการ/พนักงานของรัฐ มีสถานภาพสมรส มีรายได้ เฉลี่ยต่ อเดือนระหว่าง 10,001 – 25,000 บาท ส่วนใหญ่ ไม่ มีโรคประจำตัว และสิทธิการรักษาพยาบาลส่วนใหญ่ เป็ นสิทธิข้าราชการ สำหรับระดับความรูู้ เจตคติ ความพึงพอใจ และระดับความเชื่อมั่นในการใช้ บริการการแพทย์ แผนไทย อยู่ ในระดับต่ำ-ปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 58.7, 61.7, 60.2 และ 53.1 ตามลำดับ ส วนความสัมพันธ ระหว่างคุณลักษณะทางประชากร ระดับความรู้ เจตคติ และความพึงพอใจ กับระดับความเชื่อมั่นการใช้ บริการการแพทย์ แผนไทย พบว่า คุณลักษณะทางประชากรมีความสัมพันธ์ กับระดับความเชื่อมั่นในการใช้ บริการการแพทย์ แผนไทย (p-value < 0.05) ส วนระดับความรู้ เจตคติ และความพึงพอใจกับระดับความเชื่อมั่นในการใช้ บริการการแพทย์ แผนไทยมีความสัมพันธ์ กัน (p-value < 0.001) ข อเสนอแนะจากการวิจัย เห็นว่าผู้ บริหารควรเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ เข้ามามีส่ วนร่ วมในการกำหนดเป้าหมายและทิศทางการบริการการแพทย์ แผนไทย และควรปรับปรุงระบบบริการการแพทย แผนไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น ไว้ วางใจ ต่อการมาใช้ บริการการแพทย์ แผนไทยต่ อไป
  • ItemOpen Access
    การปฏิบัติตามแนวทางป้องกันโรคโควิด-19 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านชายแดนไทย - พม่า จังหวัดตาก
    (2565) โยษิตา ทวดอาจ; ณัฐนารี เอมยงค์; สุคนธา ศิริ
    การระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 เป็นปัญหาที่สร้างภาระให้กับทุกประเทศทั่วโลก ในประเทศไทยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมูู่บ้าน (อสม.) กลายเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในระบบเฝ้าระวังโรคโควิด-19 โดยเฉพาะหมูู่บ้านละแวกใกล้บริเวณชายแดนไทย - พม่า โดยนอกเหนือจากบทบาทในการคัดกรองและระบุผู ที่มีความเสี่ยงจากโรคโควิด-19 แล้ว อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) ยังต้องเป็นแบบอย่างให้กับชาวบ้านในการป้องกันโรคโควิด-19 ได้แก่การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ และการรักษาระยะห่างทางสังคม ดังนั้นข้อมูลการปฏิบัติตามแนวทางป้องกันโรคโควิด-19 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่ชายแดนจึงกลายเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับระบบสุขภาพพื้นฐาน การศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามแนวทางป้องกันโรคโควิด-19 ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในอำเภออุ้มผาง จังหวัดตากโดยการนำแบบสอบถามที่ให้กลุ่มตัวอย่างกรอกขข้อมูลด้วยตนเอง จำนวน 222 ราย ในโรงพยาบาลส่วเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 4 แห่ง และใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า พบว่าร้อยละ 54.1 ปฏิบัติตามแนวทางป้องกันโรคโควิด-19 และร้อยละ 45.9 ไม่ปฏิบัติตามแนวทางป องกันโรคโควิด-19
  • ItemOpen Access
    พฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด - 19 ของผู้ ป่วยวัณโรคของพื้นที่ชายแดนไทย - เมียนมา อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก
    (2565) สุภาพร สารเรือน; ณัฐนารี เอมยงค์; วิศิษฏ์ ฉวีพจน์ กำจร
    เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่แพร่ระบาดของวัณโรค และประเทศไทยประสบปัญหาการแพร่เชื้อวัณโรคจากประเทศเพื่อนบ าน เมื่อมีการระบาดของโรคโควิด-19 รัฐจึงมีนโยบายการป้องกันโควิด-19 ที่สามารถป้องกันการติดเชื้ออทางเดินหายใจอื่น ๆ รวมทั้งวัณโรคด้วย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป องกันโรคโควิด-19 ของผู้ป่วยวัณโรคพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา อ.อุ้มผาง และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยวัณโรคในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 โดยนำขข้อมูลมาวิเคราะห์จากแบบฟอร์มการบันทึกระบบเฝ้าระวังวัณโรคจากชายแดนไทย-เมียน ชื้ออำเภออุ้มผางจังหวัดตาก และแบบสัมภาษณ์ผู้ป่วยวัณโรคที่ติดระหว่างการระบาดของโควิด-19 ผลการวิจัยพบว่าผู้ป่วยวัณโรคจำนวน 34 คนที่มารับการรักษาระหว างปี 2563-2564 พบวว่าพฤติกรรมการป้องกันการแพร ระบาดโควิดที่ไม่เหมาะสม ไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้านร้อยละ 41.2 มีการสวมหน ากกากซ้ำร อยละ 100 ระหว างวันใส่หน้ากากหลุดใต้คางร้อยละ 95 พฤติกกรรมการล้างมือของผู้ป่วยวัณโรคไม่ล้างมือหลังรับของจากผู้อื่นในช่วงสถานกาณ์การระบาดโควิด-19 ร้อยละ 85.3 และมีพฤติกรรมล างมือด้วยน้ำสบู่หรือแอลกอฮอล์และอาบน้ำหลังกลับเข้าบ้านระหว่างวันบางครั้งร้อยละ 67.7 พฤติกรรมล้างมือก่อนและหลังรับประทานอาหารร้อยละ 85.3 พฤติกรรมการเว้นระยะห างระหว่างบุคคลเมื่อออกนอกบ้านบางครั้งร้อยละ 97.1 ด้านผลกระทบผู้ป่วยโควิดร้อยละ 67.6 คือปัจจัยด้านการรักษา ปัจจัยด้านยา ปัจจัยส วนบุคคล (การขาดรายได้ ช่วงโควิด-19 ระบาด) สรุปควรมีการประชาสัมพันธ และสื่อสารให้ผู้ปป่วยวัณโรค 58 การประชุมวิชาการศูนย์การแพทย กาญจนาภิเษก ครั้งที่ 10 ประจำปี 2565 ทราบและตระหนักความสำคัญของการปฏิบัติพฤติกรรมการป้องกันการแพร กระจายโรคของผู้ป่วยวัณโรคของอำเภออุ้มผาง เพื่อลดอัตราการแพร ระบาดของเชื้อวัณโรคและโรคติดต่อทางเดินหายใจอื่นๆ รวมถึงโควิด-19
  • ItemOpen Access
    ปัจจัยสัมพันธ์กับประสิทธิผลการดำเนินงานโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เขตสุขภาพที่ 5
    (2565) ทศพล วัฒนะพันธ ศักดิ์; จารุวรรณ ธาดาเดช; ณัฐกมล ชาญสาธิตพร
    โรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เป็ นหน่ วยงานปฐมภูมิที่มีบทบาทสำคัญควบคุมและป้องกันการเกิดโรค โดยการติดตามกลุ่มเป้าหมายด้วยตัวชี้วัด เพื่อลดปัญหาที่จะส่งผลกระทบสุขภาพประชาชนในระยะยาว งานวิจัยเชิงสำรวจ แบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับประสิทธิผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เขตสุขภาพที่ 5 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามบุคลากรที่รับผิดชอบงานโรคไม่ติดต่อเรื้อรังใน รพ.สต. จำนวนทั้งหมด 912 แห่ง อัตราการตอบกลับแบบสอบถามจำนวน 719 ชุด (ร้อยละ 78.8) จากจำนวนทั้งหมด 912 ชุด ระยะเวลาเก็บข้อมูลตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2560 วิเคราะห์ โดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติไคสแควร์ ผลการวิจัยพบมีรพ.สต. 238 แห่ง (ร้อยละ33.1) ที่มีผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์ การดำเนินงานโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง นอกจากนั้นการวิจัยพบว่าบรรยากาศการทำงานรพ.สต. มีความสัมพันธ์ กับผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) งานวิจัยนี้ได้ ชี้ว่าการดำเนินให้รพ.สต. ได้ ผ่านเกณฑ์ ผู้บริหารควรส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่สนับสนุนช่วยเหลือกัน และสนับสนุนการทำงานเป็นทีมที่เอื้อต่อการมีปฏิสัมพันธ์ การสื่อสารสองทิศทาง วัฒนธรรมที่ให้ความร่วมมือกันจะส่งเสริมให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายผ่านตามเกณฑ์ ตัวชี้วัดได้
  • Thumbnail Image
    ItemOpen Access
    HeartSound
    (2564) ปูม มาลากุล ณ อยุธยา; Poom Malakul Na Ayudhya; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์
    HeartSound เป็นโปรแกรม android mobile app ที่สามารถจำแนกเสียงการเต้นของหัวใจ (Heart sound classification) ได้เป็นสองกลุ่ม คือเสียงผิดปกติ (abnormal) และเสียงปกติ (normal) โดยใช้เทคโนโลยี Machine Learning โปรแกรมนี้ยังสามารถทำงานได้ในสองลักษณะ คือ วิเคราะห์แบบเรียลไทม์ หรือวิเคราะห์ไฟล์เสียง
  • Thumbnail Image
    ItemOpen Access
    Machine Learning Mobile app เพื่อช่วยการตรวจเชื้อมาลาเรียจากรูปภาพ
    (2561) ปูม มาลากุล ณ อยุธยา; Poom Malakul Na Ayudhya; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์
    เทคโนโลยีด้าน Machine Learning ได้ถูกพัฒนาขึ้นมากจนมีความ แม่นยำใกล้เคียงกับความสามารถของมนุษย์ โดยเฉพาะในด้าน Image Classification ขณะที่เทคโนโลยีบนอุปกรณ์มือถือก็มีขีดความสามารถสูงขึ้น มาก การนำเทคโนโลยีทั้งสองมาประยุกต์ในการให้บริการสุขภาพเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการนำ เทคโนโลยีดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ โดยการพัฒนา app บนมือถือ เพื่อสร้าง ระบบอัตโนมัติในการตรวจหาเชื้อมาลาเรียโดยใช้รูปภาพ พบว่าในตัวอย่าง การตรวจแบบ thick smear ระบบอัตโนมัตินี้สามารถตรวจพบเชื้อได้ดี
  • Item
    การศึกษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ดินแดง กรุงเทพฯ รายงานตอนที่ 3 : การแยกเชื้อและการพิสูจน์เอกลักษณ์ของเชื้อแบคทีเรียและไวรัสจากตัวอย่างตรวจ
    (2531) อนงค์ ปริยานนท์; กานดา วัฒโนภาส; เจตน์สันต์ แตงสุวรรณ; ระวิวรรณ แสงฉาย; สุวณีย์ รักธรรม; ศุภรี สุวรรณจูฑะ; มาลัย วรวิจิต; พนิดา ชัยเนตร; จันทพงษ์ วะสี; พิไลพรรณ พุทธวัฒนะ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอนามัยครอบครัว.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช.
    สืบเนื่องมาจากการศึกษาวิจัยในชุมชนของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี นั้น เมื่อมีเด็กป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจที่มีอาการเล็กน้อยหรืออาการปานกลาง ผู้ทำหน้าที่ดูแลอาสาสมัครจะเก็บสิ่งตรวจโดยการดูดเอาน้ำมูกหรือกวาดคอของเด็กป่วย หรือดูดเอาในส่วนนาโซฟาริงค์ เพื่อส่งไปตรวจหาเชื้อไวรัสที่ห้งอปฏิบัติการ ณ โรงพยาบาลศิริราช ขณะสิ่งตรวจอีกส่วนหนึ่งจะถูกนำส่งไปแยะเชื้อและพิสูจน์เอกลักษณ์เชื้อแบคทีเรียที่ห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า ไวรัส 28.8% พบจากสิ่งตรวจของนาโซฟาริงค์และเป็น RSV 12.2 % Parainfluenzae 1; 2.2% Parainfluenzae 2; 4.4, Influenzae 3.3%, Adenovirus 5.5 % และไวรัสอื่นๆ 1.1 % อย่างไรก็ตามไวรัสส่วนใหญ่พบในคนไข้ที่มีอาการที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน สำหรับแบคทีเรียซึ่งแยกได้จากคนไข้ที่มีอาการที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบนนั้นเป็น S. pneumoniae 26.27 %, H.influenxae non B 18.64 %, H.influenzae B 2.54 %, S.aureus, 13.56%, และแบคทีเรียชนิดอื่ๆประมาณ 12.71 % ส่วนคนไข้ที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจส่วนล่างนั้นพบเชื้อ S.pneumoniae เพียง 0.84 % H.fluenzae non B. 2.54 % และ S. aureus 1.69 % เท่านั้น
  • Item
    Anthemintic effect of albendazone, mebendazone and diethylcarbamazine on Trichinella spiralis in mice
    (2531) Angoon Keittivuti; องุ่น เกียรติวุฒิ; Boonyiam Keittvuti; บุญเยี่ยม เกียรติวุุฒิ; Mahidol University. Faculty of Public Health. Department of Parasitology.
    The efficacy of albendazone, mebendazone and diethylcarbamazine on Trichinella spiralis in mice were treated with 50 mg/kg body weight for 3 consecutive days on the beginning of 2nd.day, 10th.day, 21st.day and 28th.day. After 35-42 days infected mice were examined for trichinella larvae. Mebendazone and albendazone eliminated worms in the intestines of mice 99.8% and 99.95% respectively while diethylcarbamazine could not induce any effects to the worms. For the invasive phase, the effect of mebendazone and diethylcarbamazine were nearly the same (76% and 73% respectively) but albendazole showed 36% of larvae decreased. Mebendazole reduced the numbers of the larvae on entering musculature phase and encysted larvae in the muscle 97.9% and 96.7% respectively. Albendazole and diethylcarbamazine decreased the larvae in muscle on entering muscularture phase 50.6% and 16% respectively. For musculature phase albendazole reduced the encysted larvae in muscle 63.8% but diethylcarbamazine could not eliminate the encysted larvae. However mice showed some side effect after treated with mebendazole and albendazole for musculature phase but side effect was subside after 2-3 days following the first day of administration.
  • Item
    ระยะเวลาในการสร้างภูมิต้านพิษคอตีบหลังได้รับวัคซีน ดีที 1 โดส ในนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 เขตอำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท
    (2531) วรัญญา แสงเพ็ชร์ส่อง; สุเนตร แสงม่วง; ศุภชัย ฤกษ์งาม; ธวัชชัย วรพงศ์ธร; กานดา วัฒโนภาส; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาชีวสถิติ.
    การติดตามศึกษาประสิทธิผลของการสร้างภูมิต้านพิษคอตีบในเด็กชั้นประถมปีที่ 1 หลังการได้รับวัคซีน ดีที หนึ่งครั้ง 7 และ 14 วัน ประชากรศึกษาเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 เขต อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ตรวจเลือดจำนวน 525 คน เลือกเฉพาะ ผู้ที่มีระดับภูมิต้านพิษต่ำกว่าที่คุ้มกันได้ (0.5 หน่วยต่อซีซี) ทั้งหมด 136 ราย มีค่ามัชฌิมเรขาคณิตของภูมิต้านพิษเท่ากับ 0.24 ± 0.08 หน่วย ต่อซีซี ภายหลังได้รับวัคซีน ดีที 1 เข็ม ติดตามตรวจเลือดได้ 112 ราย (ร้อยละ 82.3 จากจำนวนทั้งหมด) พบว่าค่ามัชฌิมเรขาคณิตของภูมิต้านพิษคอตีบเท่ากับ 0.76 ± 1.18 และ 2.57 ± 3.34 หน่วย ต่อซีซี หลังจากได้รับวัคซีนแล้ว 7 วัน และ 14 วันตามลำดับ ภูมิต้านพิษมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (repeat ANOVA test; P = 0.0001) และการเพิ่มขึ้นหลังจากได้รับวัคซีน 7 วัน กับ 14 วัน มีความแตกต่างกันยอ่างมีนัยสำคัญด้วย (pair t – test; p = 0.0001) อัตราผู้มีภูมิต้านพิษที่เพิ่มขึ้นจนถึงระดับคุ้มกันโรคได้หลังได้รับวัคซีน 7 วันและ 14 วันมีร้อยละ 52.6 และ 86.6 ตามลำดับ ปัจจัยอันได้แก่เพศและการได้วัคซียเมื่ออายุ 1 ปี 6 เดือน มีผลต่อระดับภูมิต้านพิษคอตีบจากการวิเคราะห์ทางสถิติวิธี repeat ANOVA (p = 0.019 และ p = 0.037 ตามลำดับ) กล่าวได้ว่าปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อการสร้างภูมิต้านพิษจากได้รับวัคซีนครั้งนี้ ปัจจัยอื่นๆไม่มีผลต่อระดับภูมิต้านพิษคอตีบคือ ภาวะทุพโภชนาการ (p = 0.36) ภาวะเจ็บป่วยในรอบ 12 เดือน (p = 0.40) ประวัติการได้รับวัคซีนช่วงอายุ 0-1 ปี (p = 0.40) และการได้รับวัคซีนกระตุ้นเมื่อ 4-6 ปี (p = 0.17) ผลที่ได้แสดงให้เห็นว่า การใช้วัคซีนฉีดเพื่อป้องกันโรคคอตีบในชุมชนเมื่อมีโรคนี้เกิดขึ้นมีความเป็นไปได้สูงมาก
  • Item
    Prevention of non-narcotic analgesics use by traditional Thai massage
    (2531) Sarapee Leeprasert; สารภี ลีประเสริฐ; Pitchaya Phaktongsuke; Agnsana Boontham; อังสนา บุญธรรม; Mahidol University. Faculty of Public Health. Rural Health Training and Research Center.
    Non-Narcotic Analgesics like Aspirin or combination of AC (Aspirin and Caffeine) are available and popular in labor-aged group in both urban and rural area for half a century. Most of them use it because of body pain not antipyretic or anti-inflammation. Some use every day and some use every week. These make the overdosage consumption which can cause gastrointestinal erosion, ulceration and hemorrhage. To prevent these risks, Traditional Thai Massage is considered as one of the strategies. This is just a pilot project study that conducted in Dan Jak Subdistrict, Non Thai District, Nakornrajsima Province. At the training process, 46 persons from 43 households were trained to know about the basic Thai massage. Two months later, we found that 1. The community accepted the massage. About 70 percent of the trainees massaged each other, members in their homes and their neighbours; 2. Though the analgesics are still used especially in the hard working day. It seemed to be used less than before the training. For the persons who use every day, they tried to reduce the dosage, and the others tried to not use. However, we will summarize the final result at the end of the project in April 1988.
  • Item
    การศึกษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ดินแดง กรุงเทพฯ. รายงานตอนที่ 1: การจัดการ วิธีการดำเนินการ ระบบส่งต่อและปัญหาที่เกิดขึ้นจากการศึกษา
    (2531) กานดา วัฒโรภาส; ระวิวรรณ แสงฉาย; เจตน์สันต์ แตงสุวรรณ; อนงค์ ปริยานนท์; สุวณี รักธรรม; ศุภรี สุวรรณจูฑะ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอนามัยครอบครัว.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
    โรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายรวมทั้งประเทศไทยด้วย วัตถุประสงค์ใหญ่ของการศึกษาในครั้งนี้เพื่อที่จะหาอัตราของการเกิดโรค ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่ชุมชนเขตเมือง การศึกษานี้เป็นการศึกษาต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี โดยการเฝ้าระวังเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่แฟลตดินแดงซึ่งมี 6 ตึกประกอบด้วยห้องทั้งหมด 1,350 ห้อง ในระหว่างการศึกษาถ้าเด็กที่อายุเกิน 5 ปี หรือไม่ต้องการเข้าไปอยู่ในโครงการจะถูกตัดออกและเด็กเกิดใหม่หรือเข้าใหม่(ที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี) จะได้นำเข้าไปโครงการ ผู้ดูแลเด็ก (Volunteer) เป็บุคคลที่ได้จ้างจาดชุมชนโดยดูแลเด็กประมาณ 15-20 คน อาทิตย์ละ 2 ครั้งต่อเด็ก1 คน และมีผู้ควบคุมการทำงานของผู้ดูและเด็ก (Investigator) อีกพวกหนึ่ง โดยมีแบบฟอร์มของอาการและอาการแสดงซึ่งปรับจากขององค์การอนามัยโลก แบ่งเป็นอาการอ่อน อาการปานกลางและอาการรุนแรง ผู้ควบคุมนี้จะเป็นผู้ตัดสินที่จะให้คำแนะนำกับผู้ปกครองเด็กที่มีอาการปานกลางและอาการรุนแรงให้ไปตามระบบการส่งต่อที่ศูนย์สาธารณสุขดินแดงและโรงพยาบาลรามาธิบดี นอกจากนี้แล้วการศึกษาเชื้อที่เป็นต้นเหตุได้จากการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียและไวรัสในเด็กที่มีอาการอ่อนโดยกลุ่มผู้ควบคุมดูแลเด็กซึ่งเป็นผู้เก็บตัวอย่างตรวจและได้จากศูนย์สาธารณสุขดินแดง และโรงพยาบาลรามาธิบดี ในรายที่มีอาการปานกลางและรุนแรงโดยพยาบาลเป็นผู้เก็บตัวอย่างตราวจ ปัญหาในการศึกษาครั้งนี้ที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับปัญหาในระบบส่งต่อผู้ป่วยระดับปานกลางซึ่งผู้ปกครองเด็กไม่นำเด็กไปตามที่แนะนำ ทำให้การเก็บสิ่งส่งตรวจเพื่อหาเชื้อไม่ได้ทุกราย
  • Item
    การศึกษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ดินแดง กรุงเทพฯ. รายงานตอนที่ 2 : อัตราอุบัติการและอัตราความชุกของโรคในปี พ.ศ.2529
    (2531) ระวิรรณ แสงฉาย; กานดา วัฒโนภาส; เจตน์สันต์ แตงสุวรรณ; อนงค์ ปริยานนท์; สุวณี รักธรรม; ศุกรี สุวรรณจูฑะ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอนามัยครอบครัว.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.
    จุดประสงค์ของการศึกษานี้ เพื่อแสดงถึงอัตราอุบัติการและอัตราความชุกของโรค ความรุนแรงและระยะเวลาของการเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ในชุมชนที่มีเศรษฐานะต่ำ นอกจากนี้จะได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการเกิดโรคนี้กับปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวเด็กอันประกอบไปด้วย น้ำหนักแรกคลอด สภาวะโภชนาการของเด็ก การได้รับภูมิคุ้มกันโรค สภาพแวดล้อมและสภาพครอบครัวของเด็ก เด็กที่ได้รับการดูแลเมื่อเริ่มโครงการมีจำนวน 332 คน ซึ่งเด็กแต่ละคนจะได้รับการเยี่ยมโดยอาสาสมัครชุมชนของโครงการ และการทำงานของอาสาสมัครจะต้องได้รับการตรวจและเยี่ยมซ้ำโดยผู้ดูแลอาสาสมัคร 4 คน ผลของการศึกษาพบว่าในปี 2529 ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไปลักษณะของอุบัติการของโรคจะสูงในเดือนมกราคม และจะลดต่ำลงในเดือนถัดไปคือเดือนกุมภาพันธ์และจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อัตราอุบัติการสูงสุดคือ 77 ต่อประชากร 100 คนในเดือนธันวาคม และต่ำสุด 37 ต่อประชากร 100 คน ในเดือนเมษายน สำหรับจำนวนครั้งของการเกิดโรคจะพบมากในช่วงฤดูหนาวคือเกิดในเดือนธันวาคมสูงถึง 80 เดือนมกราคม 76 และ เดือนพฤศจิกายน 74 ต่อประชากร 100 คน ส่วนจำนวนครั้งของการเกิดโรคจะพบได้น้อยในช่วงฤดูร้อนคือเดือนกุมภาพันธ์เกิด 40 เมษายนเกิด 45 และเดือน มิถุนายนเกิด 44 ต่อประชากร 100 คน สำหรับจำนวนการเกิดโรคต่อเด็กแต่ละคนในแต่ละเดือนและจะพบมากเช่นกันในเดือนธันวาคม คือพบได้ 0.8 และพบน้อยในเดือนมิถุนายน เมษายนและกุมภาพันธ์ ซึ่งเท่ากับ 0.4, 0.5 และ 0.5 ตามลำดับ
  • Item
    การศึกษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ดินแดง กรุงเทพฯ. รายงานตอนที่ 4 : การเข้าถึงชุมชนและการศึกษาปัญหาระยะยาว
    (2531) ชัยวัฒน์ วงศ์อาษา; พิพัฒน์ ลักษมีจรัลกุล; สิทธิพันธุ์ ไชยนันทน์; สุวัฒน์ ศรีสรฉัตร; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาอนามัยครอบครัว.
    ประชากรที่อาศัยอยู่ในอาคารสงเคราะห์การเคหะแห่งชาติดินแดงหลังที่ 1-6 เป็นกลุ่มที่มีสภาวะสังคมและเศรษฐกิจต่ำ ประชาชนขาดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการดูแลสุขภาพของตนเองสุขภาพต่ำกว่ามาตรฐานลักษณะชุมชนแตกต่างจากชุมชนชนบท ในการศึกษาความสำเร็จของการเข้าถึงฐาน การส่งตัวผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในระดับปานกลาง การให้ความร่วมมือของชุมชนต่อโครงการเป็นดัชนีในการบ่งชี้ การศึกษานี้ พบว่าตั้งแต่เริ่ม-โครงการ (กรกฎาคม 2528) ถึงปัจุบัน (กรกฎาคม 2530) มีอัตราความครอบคลุมของการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคขั้นพื้นฐานสูงขึ้นตามลำดับจากร้อยละ 34.92 ในปี 2528 เป็นร้อยละ 83.82 ในปี 2530 การให้ความร่วมมือของประชาชนขณะเริ่มโครงการร้อยละ 79 เป็นร้อยละ 98 ในปี 2530 การเพิ่มของตัวบ่งชี้ดังกล่าวเนื่องจากปัจจัยต่างๆเช่น การเตรียมชุมชน การเยี่ยมบ้าน การใช้ยา การให้วิตามินบีรวมและวิตามินซี การอบรมอาสาสมัครเป็นระยะๆอย่างต่อเนื่อง ปัญหาของการศึกษาระยะยาวเกิดขึ้นในส่วนของแผนงาน ลักษณะส่วนตัวของอาสาสมัครและบุคลากรของโครงการ การเก็บตัวอย่างส่งตรวจเพื่อหาเชื้อและความต้องการของประชาชน
  • Item
    ภูมิคุ้มกันคอตีบในเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท
    (2534) วรัญญา แสงเพ็ชรส่อง; ธวัชชัย วรพงศธร; สุเนตร แสงม่วง; กานดา วัฒโนภาส; ประจวบ สังฆสุวรรณ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาชีวสถิติ.
    โรคคอตีบมีแนวโน้มเกิดกับเด็กโตมีแนวโน้มเกิดกับเด็กโต การศึกษาภาวะทางอิมมูนจะเป็นแนวทางหนึ่งเข้าสู่การควบคุม การสำรวจภูมิคุ้มกันต่อคอตีบ ในนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท จึงเป็นเป้าหมายการศึกษาครั้งนี้ในเด็กนักเรียน 525 ราย ตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2530 ถึง กุมภาพันธ์ 2531 จาก 31โรงเรียน ใน 7 ตำบล เก็บข้อมูลพื้นฐานประวัติการได้รับวัคซีนและทำการเจาะเลือดจากปลายนิ้วทุกราย พบว่า เด็กนักเรียนทั้งหมด มีค่าเฉลี่ยของภูมิคุ้มกันต้านพิษและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.94+3.94 หน่วย/มล.มีอัตราการเสี่ยงต่อโรคคอตีบ ร้อยละ 25.9 (136/525) การเสี่ยงต่อโรคมีความสัมพันธ์กับประวัติการได้รับวัคซีนดีทีพี และตำบลที่ตั้งของโรงเรียนด้วย แต่ไม่มีความสัพพันธ์กับเพศ ค่าเฉลี่ยของภูมิต้นพิษแตกต่างกันไปตามประวัติการได้รับวัคซีน และตำบลที่ตั้งของโรงเรียน แต่ไม่แตกต่างกันระหว่างเพศ กลุ่มที่ได้รับวัคซีนครบรวมทั้งเข็มกระตุ้น จะมีภูมิต้านพิษสูงสุด ต่ำสุด คือ กลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนเลย
  • Item
    การดูแลตนเองของผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร
    (2534) สุลี ทองวิเชียร; พิมพ์พรรณ ศิลปสุวรรณ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข.
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการดูแลตนเองของผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร และ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยบางประการกับระดับการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ ตังอย่างประชากรได้จากผู้สูงอายุจำนวน 1077 คน ที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของศูนย์บริการสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร จำนวน 6 ศูนย์ ซึ่งได้รับการคัดเลือกด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช่เป็นแบบประเมินการดูแลตนเองของผู้สูงอายุที่สร่างขึ้นตามแนว คือ เกี่ยวกับการดูแลตนเองโดยทั่วไปของโอเร็ม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น .81 วิเคราะห์ข้อมูลระดับการดูแลตนเองโดยใช้ค่า Quatile หาค่าความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยบางประการกับระดับการดูแลตนเองโดยใช่ Chi – square และ หาค่า strengthen ของความสัมพันธ์โดย Craner’ s V ผลการวิจัย พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีการดูแลตนเองในระดับปานกลางค่อนข้างดี พัฒนาการทางด้านร่างกายผู้สูงอายุส่วนใหญ่ขาดการออกกำลังกาย มีปัญหาเรื่อง สายตา หู เหงือกและฟัน ผู้สูงอายุประมาน 1 ใน 5 ของผู้สูงอายุทั้งหมด ไม่สามารถช่วยตนเองได้ดี ผู้สูงอายุเกือบครึ่งหนึ่งเป็นหม้ายหรือแยกกันอยู่กับคู่สมรส แต่สาวนใหญ่ยังอาศัยอยู่กับบุตรหลาน และญาติสนิท มีส่วนร่วมกิจกรรมครอบครัว ช่วยทำงานบ้าน เลี้ยงหลานและทำอาหาร ผู้สูงอายุประมาณร้อยละ 48 มีโรคประจำตัว โรคที่พบมากที่สุดคือ โรคหัวใจ และหลอดเลือด สำหรับบทบาททางสังคม ผู้สูงอายุส่วนน้อย ที่มีบทบทบาททางสังคมและมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน ความรู้สึกเกี่ยวกับตนเองและความรู้สึกมั่นคงในชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี ผู้สูงอายุเกือบทั้งหมดยึดมั่นในหลักศาสนา ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการดูแลตนเองของผู่สูงอายุ ได้แก่ ระดับ อายุ เพศ สถานภาพทางเศรษฐกิจ ระดับการศึกษา ลักษณะการอยู่อาศัย สถานที่พักอาศัย และอัตมโนทัศน์ของผู้สูงอายุ ผลการวิจัยนี้ได้มีข้อเสนอแก่รัฐในการจัดการประกันสังคมแก่ผู้สูงอายุ การสนับสนุนการจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุ การส่งเสริมขนบธรรมเนียมประเพณีที่เชิดชูคุณค่าและให้เกียรติแก่ผู้สูงอายุ ให้โอกาศได้ใช่ประสบการณ์ที่มีคุณค่าและผลงานในการร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ ในด้านการบริการสุขภาพเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องควรให้ความสนใจในการดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ตามบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้ดี ควรมีพยาบาลสาธารณสุขให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง และควรได้มีการพัฒนาเครื่องมือมาตราฐานเพื่อใช้ในการคัดกรองและจำแนกกลุ่มผู้สูงอายุ ตามระดับความต้องการการดูแลต่อไป
  • Item
    การศึกษาทางน้ำเหลืองวิทยาของการติดเชื้อไวรัสเดงกี่และเจอี ในเด็กนักเรียนที่ตำบลท่าช้าง และหนองแขม อ้ำภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก 2531
    (2534) แฉล้ม จันทรศรี; อนงค์ ปริยานนท์; ศุภรวิทย์ พึ่งจิตต์ตน; พิพัฒน์ ลักษมีจรัลกุล; วรัญญา แสงเพ็ชรส่อง; เฟื่องฟ้า อุตรารัชต์กิจ; ประจวบ สังฆสุวรรณ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.
    การศึกษาทางน้ำเหลืองวิทยาต่อการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ และ เจอี ในเด็กนักเรียนที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปีลงมา ที่ตำบลท่าช้าง และหนองแขม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลกในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2531 จำนวน 209 ราย โดยใช้วิธี Hemagglutination Inhibition Rest พบว่าระดับแอนติบอดีต่อไวรัสเดงกี่ทัยป์ 3 ระดับเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 1:380 รองลงมาได้แก่ เดงกี่ทัยป์ 1 เท่ากับ 1:204, เดงกี่ทัยป์ 2 เท่ากับ 1:204 แลเดงกี่ทัยป์ 4 เท่ากับ 1:158 ตามลำดับ ส่วนระดับแอนติบอดีต่อไวรัส เจอี เท่ากับ 1:229 และพบว่าในจำนวนเด็กที่มีแอนติบอดีสูงดีนี้จะมีอายุสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าจำนวนเด็กที่มีแอนติบอดีเฉพาะต่อไวรัสเดงกี่ทัยป์ 3 สูงถึงร้อยละ 32.0 ซึ่งเท่ากับไวรัส เจอี ด้วยส่วนเด็กที่มีแอนติบอดีต่อไวรัสเดงกี่ทัยป์อื่นๆนั้นพบเพียงเล็กน้อยแสดงว่าการระบาดครั้งนี้น่าจะเกิดจากไวรัสเดงกี่ทัยป์ 3 และไวรัสเจอี
  • Item
    การศึกษาระบาดวิทยาทางน้ำเหลือง ของการติดเชื้อ Vibrio cholera และ Shigella flexneri โดยวิธี ELISA ในประชากรของจังหวัดกะบี่
    (2534) อนงค์ ภูมิชาติ; อุไรวรรณ โฆสิตานนท์; อรษา สุตเธียรกุล; วันเพ็ญ ชัยคำภา; กานดา วัฒโนภาส; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาจุลชีววิทยา.
    การศึกษาระบาดวิทยาทางน้ำเหลืองของการติดเชื้ออหิวาต์ และเชื้อบิดชนิดไม่มีตัว โดยการตรวจหาระดับแอนติบอดี ต่อ Lipopolysaccharides ของ Vibrio cholera ด้วยวิธี Inidrect ELISA เพื่อประเมินความชุกของการติดเชื้อทั้งสองของประชากรในจังหวัดกระบี่ และทราบถึงข้อมูลเบื้องต้นทางวิทยาการระบาด วิธีการศึกษาโดยเก็บตัวอย่างเลือดจากสายสะดือของทารกที่คลอดในโรงพยาบาลกระบี่ และประชากรที่อยู่ในจังหวัดกระบี่ ซึ่งไม่มีประวัติการป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วง อหิวาต์ หรือ บิด ในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา อายุตั้งแต่ 6 เดือนถึงมากกว่า 50 ปี ระหว่างเดือน มกราคม 2532 ถึง ถึงธันวาคม 2533 รวมทั้งสิ้น 363 ราย โดยมีอัตราส่วนเพศชายต่อเพศหญิง เท่ากับ 1:1 ความชุกของแอนติบอดีIgG และ IgM ต่อ V.cholerae พบร้อยละ 65 และ64 ตามลำดับ แอนติบอดีทั้งสองชนิดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่อายุ6 เดือน กล่มอายุที่มีความชุกของแอนติบอดี IgG และ IgM มากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 30-49 ปี (ร้อยละ 98) และ 15-29 ปี (ร้อยละ 90) ตามลำดับ และเป็นกลุ่มอายุที่มีค่าเฉลี่ยของแอนติบอดี IgG และ IgM สูงสุด ความชุกของแอนติบอดี IgG และ IgM ต่อ S.flexneri พบร้อยละ 60 และ22 ตามลำดับความชุกของแอนติบอดี IgG เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่อายุ 3-4 ปี และเพิ่มมากขึ้นตามอายุ แต่ความชุกของแอนติบอดี IgM เริ่มขึ้นก่อนแอนติบอดี IgG คือ ตั้งแต่อายุ 6 เดือน และเพิ่มขึ้นตามอายุอย่างช้าๆ ทำให้ความชุกของการติดเชื้อในแต่ละกล่มอายุน้อยกว่า IgG มาก กลุ่มอายุที่มีความชุกของแอนติบอดี IgG และ IgM มากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 30-49 ปี (ร้อยละ 90) และ 15-29 ปี (ร้อยละ 45) ซึ่งเหมือนกับ V.cholerae แต่กลุ่มอายุที่มีค่าเฉลี่ยของแอนติบอดี IgG และ IgM สูงที่สุดคือ กลุ่มอายุ 30-49และ 10-14 ปีตามลำดับ ความชุกของการติดเชื้อ V.cholerae ในกลุ่มอาชีพแม่บ้านสูงกว่ากลุ่มอาชีพอื่นๆ ความชุกของแอนติบอดี IgG ในกลุ่มผู้หญิงมุสลิมสูงกว่าในกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธ ตรงข้ามกับความชุกของแอนติบอดี IgG ในกลุ่มชาวพุทธสูงกว่ากลุ่มมิสสลิม นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์อย่างมีนียสำคัญทางสถิติกับรายไก้ของครอบครัว ลักษณะที่ตั้งของบ้านเรือน (ที่อาศัยบนพื้นดินที่ไม่ติดต่อกับทะเลและบนเกาะหรือใกล้ชายฝั่งทะเล) การปกปิดอาหาร และการใช้น้ำ (p <0.05) ส่วนความชุกของการติดเชื้อ S.flexneri พบว่าสูงในกลุ่มผู้ชายชาวพุทธ อาชีพค้าขาย และผู้หญิงที่มีการศึกษาน้อยแต่ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับรายได้ของครอบครัวลักษณะที่ตั้งบ้านเรือน พฤติกรรมการกินอาหาร และการใช้น้ำ (p > 0.05)
  • Item
    Duration of breast-feeding among Thai primigravida women : effect of breast-feeding education
    (2538) Oranut Pacheun; อรนุช ภาชื่น; Mahidol University. Faculty of Public Health. Department of Maternal and Child Health.
    Objectives : The study attempted to evaluate the effects of breast-feeding education program on the duration of exclusive breast feeding of mothers 4-6 months after delivery Methods: The design of this study is the non-ramdomized control group pretest-posttest. The subjects in cluded a total of 226 primigravidas who attended antenatal clinic. The experimental group (115) was given breast feeding education twice, during the third trimester of pregnancy and one to two days after delivery, while the control group (111) received the run of the mill information from the hospital. Data were analyzed using Chi-square t-test and Fisher exact test at the bivariate level and logistic regression for multivariate analysis. Results : Bivariate analysis revealed that mean score of knowledge and attitude posttest in the experimental group was significantly higher than in the control group. The proportion of the respondents who performed the proper techniques of breast-feeding and milk expression were also significantly higher in the experimental than in the control group. The percentage of those who continue exclusive breast-feeding until 4-6 months of delivery and the mean duration of exclusive breast-feeding within the first 5 months of delivery were no significantly different between the two groups. A predictive equation model of the breast-feeding behavior 4-6 months after delivery was formulated. The predictors identified were age, occupation, monthly family income. Social support by close cousin, level of HLOC (Health Locus of Control) and post partum contact. Results revealed that breast-feeding education affected only the cognitive and affective but not the desired duration of exclusive breast-feeding. It suggests that merely breast-feeding education is insufficient to prolong the duration of exclusive breast-feeding Recommendation : Health education needs to deal more with how to develop personal skills. There is need to integrate breast-feeding promotion into any health promotion programs designed for home, work place and community as a whole. Efforts in promoting breast-feeding must emphasize environmental support such as specific regulations and services that will facilitate mothers to extend their duration of exclusive breast –feeding. It is vital that breast-feeding advocacy groups in a hospital and community setting should be established. Additional follow up these two groups beyond the time limit of this study should be undertaken if one is to determine factor that operate at longer terms. It is also recommended that further study should utilize a combination of the quantitative and qualitative approaches for follow up.
  • Item
    พฤติกรรมในการแสวงหาบริการรักษาพยาบาลของชาวชนบทในประเทศไทย
    (2534) ปิยธิดา ตรีเดช; พีระ ครึกครื้นจิตร; ศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาบริหารงานสาธารณสุข.
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงพฤติกรรมอนามยัในการแสวงหาบริการรักษาพยาบาลของชาวชนบทในประเทศไทย หลังจากมีการดำเนินงานสาธารณสุขมูลฐานมาแล้วประมาณ 8 ปี ทำการวิจัยโดยสัมภาษณ์ (ตามแบบสอบถามที่สร้างขึ้น) หัวหน้าครัวเรือนหรือผู้แทน จำนวน 2,400 คน จาก 24 หมู่บ้าน ใน 8 จังหวัด 4 ภาคของประเทศไทย โดยใช้การสุ่มตัวอย่าง อย่างเป็นขั้นตอน และเป็นหมู่บ้านที่มีการดำเนินงานกองทุนยาและเวชภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน มี อสม.และ ผสส. ในหมู่บ้านไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นผู้ช่วยนักวิจัย จากจำนวนแบบสอบถามที่มีความสมบูรณ์และนำมาวิเคราะห์ผลได้จำนวน 2,280 ฉบับ (ร้อยละ 95) ผลวิจัยพบว่า เมื่อเจ็บป่วย ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (ร้อยละ46) จะไปโรงพยาบาลชุมชน ยาที่นิยมใช้คือ ยาแผนปัจจุบัน และร้อยละ 87 พอใจในบริการที่ได้รับ โดยให้เหตุผลว่า เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำดี เป็นกันเอง บริการรวดเร็ว สะดวก ยามีคุณภาพ และราคาไม่แพง ปัญหาและอุปสรรคของผู้ถูกสัมภาษณ์ในการดูแลสุขภาพ 2 อันดับคือ ไม่มีเงิน และขาดยานพาหนะ เนื่องจากบ้านอยู่ห่างจากสถานให้บริการ สำหรับความรู้เกี่ยวกับการมีกองทุนยาฯ อสม. และ ผสส. ในหมู่บ้าน ผู้ตอบมากกว่าร้อยละ 75 ทราบว่าในหมู่บ้านมีทั้ง 3 สิ่งดังกล่าว และมีประโยชน์ เมื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางประชากรกับพฤติกรรมในการแสวงหาบริการรักษาพยาบาล พบว่า อายุ สถานภาพสมรส การศึกษา อาชีพ รายได้ และจำนวนบุคคลในอุปการะมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมในการแสวงหาบริการรักษาพยาบาล