PH-Research Report
Permanent URI for this collection
Browse
Recent Submissions
- Itemการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายในการจ้างงาน การเสริมสร้างความสามารถในการทำงานสำหรับพยาบาลอาวุโสและพยาบาลเกษียณอายุเพื่อขยายโอกาสการทำงานในธุรกิจบริการดูแลผู้สูงอายุภาครัฐและเอกชน(2565) วันเพ็ญ แก้วปาน; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข
- ItemBehaviors and perception of Japanese tourists affecting diarrheal illness and health care need assessment(2004) Nawarat Suwannapong; Nopporn Howteerakul; Chaweewon Boonshuyar; Mahidol University. Faculty of Public Health
- ItemThe study of vitamins A, C and E supplementation and nutrition education on blood lipids level in the villages of Soongnern district in Nakorn Ratchsima province(1999) Dusanee Suttapreyasri; Nilnet Weerasombat; Tassanee Silawan; ดุษณี สุทธปรียาศรี; นิลเนตร วีระสมบัติ; ทัศนีย์ ศิลาวรรณ; Mahidol University. Faculty of Public Health
- ItemComparison of ELISA hybridization and Dot Blot hybridization for rapid detection of mycobacterium tuberculosis PCR products(1999) Unchalee Tansuphasiri; Sarawut Suttirat; อัญชลี ตัณฑ์ศุภศิริ; ศราวุธ สุทธิรัตน์; Mahidol University. Faculty of Public Health. Department of Microbiology
- Itemรายงานการวิจัยเรื่องประสิทธิผลของการจัดโครงการป้องกันการใช้ยาและสารเสพติดในกลุ่มนักเรียนวัยรุ่นกรุงเทพมหานคร(2543) พิมพ์พรรณ ศิลปสุวรรณ; ชูเกียรติ วิวัฒน์วงศ์เกษม; ภาวิณี อยู่ประเสริฐ; มาริสา หะลาเมาะ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์
- Itemการศึกษาคุณภาพปริมาณและพฤติกรรมการใช้น้ำดื่มของชุมชนชาวไทยในชนบท(2530) พิชิต สกุลพราหมณ์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์.
- Itemรายงานฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาเรื่องการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับสิ่งของที่ส่งเสริมบุหรี่และการสำรวจสิ่งของที่ส่งเสริมบุหรี่ในเขตกรุงเทพมหานคร(2554) วันเพ็ญ แก้วปาน; ปาหนัน พิชยภิญโญ; มลินี สมภพเจริญ; Wonpen Kaewpan; Panan Pitchayapinyo ; Malinee Sompopcharoen; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาพยาบาลสาธารณสุข; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์ปัญหาการสูบบุหรี่เป็นปัญหาด้านสาธารณสุขเพราะมีผลกระทบต่อชีวิต สังคม เศรษฐกิจทั้งระดับ บุคคล ครอบครัว ชุมชน และระดับประเทศในภูมิภาคและทั่วโลก กลยุทธ์การตลาดของบริษัทบุหรี่มีผลต่อการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนสูบบุหรี่โดยมีกลไกดำเนินงานหลายแนวทาง การจำหน่ายสิ่งของที่ส่งเสริมบุหรี่ ในสินค้าที่มีตราผลิตภัณฑ์ ยาสูบ เป็นวิธีการหนึ่งที่กระตุ้นการรับรู้ของบุคคลให้จดจำและสนใจบุหรี่ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวน วรรณกรรรมจากระบบฐานข้อมูล PUBMED MEDILINE และ SCOPUS ระหว่างปี ค,ศ, 1991 - 2011 และภาษาไทย และสำรวจสิ่งของที่ส่งเสริมบุหรี่ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีตราผลิตภัณฑ์ยาสูบ ราคาจำหน่าย และความนิยมต่อสินค้าในเขตกรุงเทพมหานคร โดยสำรวจบริเวณร้านค้าหาบเรแผงลอย ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าทั่วไป รวมทั้งหมด 15 จุด ได้แก่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ประตูน้ำ สยาม สีลม มาบุญครองง สุขุมวิท จตุจักร ถนนข้าวสาร คิงเพาวเวอร์ เซ็นทรัล สำเพ็ง คลองถม เยาวราช บางแค เขตป้อมปราบศัตรู่พ่าย และสะพานพุทธ ดำเนินการสำรวจระหว่างเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ 2554 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ยมัชฌิมเลขคณิต และวิเคราะห์เชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า วรรณกรรมเกี่ยวกับสิ่งของที่ส่งเสริมบุหรี่ ในประเทศไทย และต่างประเทศจากฐานข้อมูล PUBMED MEDILINE และ SCOPUS ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งของที่ส่งเสริมบุหรี่ จากทั้งหมดที่ค้นคว้า จำนวน 987 เรื่อง มีรายงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งของที่ส่งเสริมบุหรี่ จำนวน 21 เรื่อง โดยเป็นการศึกษาในประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน 3 เรื่อง ในประเทศแซมเบีย จำนวน 1 เรื่อง ในประเทศตุรกี จำนวน 1 เรื่อง ในประเทศอังกฤษ จำนวน 1 เรื่อง สหรัฐอเมริกา จำนวน 15 เรื่อง โดยรายงานวิจัยดังกล่าวเป็นการศึกษาการสำรวจสิ่งของที่ส่งเสริมบุหรี่ โดยตรง จำนวน 3 เรื่อง เป็นการศึกษาในประเทศอังกฤษ จำนวน 1 เรื่อง และ ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว สิงคโปร์ และเวียดนาม จำนวน 1 เรื่อง ผลการสำรวจสิ่งของที่ส่งเสริมบุหรี่ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีตราผลิตภัณฑ์ยาสูบ ในตลาดเขตกรุงเทพมหานคร ทั้งหมด 15 จุด พบแหล่งจำหน่ายสินค้า จำนวน 10 จุด มีสินค้าที่มีตรา ยี่ห้อบุหรี่จำนวน 9 ชนิด ได้แก่ เสื้อยืด ที่จุดบุหรี่ กล่องใส่บุหรี่ หมวก สติ๊กเกอร์ เสื้อแจ็กเกต พวงกุญแจ แมกเนท และ3D puzzle โดยสินค้าที่พบ มากที่สุด ได้แก่ ที่จุดบุหรี่และกล่องใส่บุหรี่ ที่จุดบุหรี่ราคาประมาณ 100-250 บาท ส่วนกล่องใส่บุหรี่จะมีราคา ประมาณ 200-450 บาท สถานที่จำหน่ายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและตลาดนัด ได้แก่ จตุจักร สีลม ถนนข้าวสาร สยาม มาบุญครอง ตลาดนัดบางแค ยี่ห้อที่พบมากที่สุด คือ Marlboro จุดประสงค์ของผู้ซื้อส่วนมากนำไปเป็นของที่ระลึก เสื้อผ้า ประเภทเสื้อยืด ผลิตในประเทศไทย ราคาประมาณ 100-150 บาท มี่ทั้งระบุยี่ห้อบุหรี่ต่างประเทศ ได้แก่ Marlboro และในประเทศไทย คือ กรองทิพย์ สถานที่จำหน่าย บริเวณ ประตูน้ำ จตุจักร และสำเพ็ง สำหรับกลุ่มเด็ก ผลิตเป็นเสื้อผ้าแจ็กเก็ต และเสื้อยืด สินค้าประเภทพวงกุญแจและแม็กเนท เป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่มาเลเซีย มีจำหน่ายที่สำเพ็ง ในราคาที่ขายแบบถาวรซึ่งจะขายแบบขายปลีกและขายส่ง ราคาขายส่งโหลละ 60 บาท ราคาขายปลีกอันละ 10 บาท มียี่ห้อบุหรี่จำนวนหลายชนิด ผู้ซื้อนิยมซื้อสินค้าที่ระลึกและใช้เอง เพราะราคาถูก ซึ่งจะกระจายขายตามตลาดนัด หมวก เป็นสินค้านำเข้าและเป็นสินค้ามือสอง วางจำหน่ายที่จตุจักร ราคา 70 บาท สติ๊กเกอร์ พบที่จตุจักร ราคา 50 บาท สำหรับยี่ห้อบุหรี่ที่พบในสิ่งของที่ส่งเสริมบุหรี่ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีตราผลิตภัณฑ์ยาสูบมากที่สุดคือ Marlboro คิดเป็นร้อยละ 64.1 ผลการศึกษามีข้อเสนอแนะในการควบคุมการจำหน่ายสิ่งของที่ส่งเสริมบุหรี่ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีตราผลิต-ภัณฑ์ยาสูบในท้องตลาด โดยหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรกำหนดนโยบายและมาตรการการดำเนินงานควบคุมสิ่งของที่ส่งเสริมบุหรี่ โดยควรศึกษากระบวนการใช้กฎหมายในการดำเนินงานควบคุมการผลิตสินค้า การจำหน่ายสินค้าที่มีตรายี่ห้อบุหรี่ ดำเนินการรณรงค์และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยว มัคคุเทศก์และผู้จำหน่ายสินค้าโดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่มีสินค้าที่ระลึกจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป ในการไม่สนับสนุนการซื้อสินค้าที่มีตราผลิตภัณฑ์ยาสูบ โดยผ่านสื่อบุคคลและสื่อสิ่งพิมพ์และควรศึกษาการจำหน่ายสินค้าที่มีตราผลิตภัณฑ์ยาสูบ ในระดับประเทศทั่วทุกภาคในประเทศไทย เพื่อทราบประเภทสินค้า ราคาช่องทางการจำหน่าย และสถานที่จำหน่าย รวมทั้งพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค เพื่อสร้างความเข้าใจในกระบวนการดำเนินงานอย่างครบวงจรโดยรูปแบบผสมผสานการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภา
- Itemผลกระทบของการขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ซิกาแรต ต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของผู้สูบบุหรี่เป็นประจำ(2552) มณฑา เก่งการพานิช; ลักขณา เติมศิริกุลชัย; ศรัณญา เบญจกุล; ธราดล เก่งการพานิช; Mondha Kengganpanich; Lakkhana Termsirikulchai; Tharadol Kengganpanich; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์มาตรการภาษีจัดได้ว่าเป็นนโยบายที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดการบริโภคยาสูบ ดังนั้นเมื่อรัฐบาล ไทยได้ประกาศขึ้นภาษีจากร้อยละ 80 เป็น 85 ของราคาบุหรี่หน้าโรงงานเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 การวิจัยเชิงสำรวจแบบตัดขวางนี้จึงมีขึ้นเพื่อศึกษาผลกระทบของการขึ้นภาษีบุหรี่ต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของผู้สูบบุหรี่ประจำที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป และศึกษาความคิดเห็นของผู้สูบบุหรี่เป็นประจำต่อการขึ้นภาษีบุหรี่ โดยเลือกตัวอย่างจากระเบียนข้อมูลผู้สูบบุหรี่เป็นประจำจากโครงการสำรวจการบริโภคยาสูบในผู้ใหญ่ ระดับโลก สุ่มเลือกตามภาค ได้แก่ คาคเหนือ ใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ กลางและกรุงเทพมหานคร ภาคละ 100 คน รวมตัวอย่าง 500 คน ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในสัปดาห์ที่ 1-2 ของเดือนกรกฎาคม 2552 วิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาได้ตัวอย่างทั้งสิ้น 504 คน พบว่า หลังขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ ผู้สูบบุหรี่เป็นประจำเลิกบุหรี่ได้ร้อยละ 9.7 ลดปริมาณสูบบุหรี่ร่วมกับเปลี่ยนยี่ห้อ/ประเภทบุหรี่ร้อยละ 48.0 เปลี่ยนประเภทบุหรี่มวนเองเพียงอย่างเดียว ร้อยละ 7.5 เปลี่ยนยี้ห้อบุหรี่ ร้อยละ 5.0 และที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ สูบปริมาณเท่าเดิม ยี้ห้อเดิม ร้อยละ 26.0โดยร้อยละ 65.8 ระบุว่าการขึ้นภาษีส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ การเลิกบุหรี่พบว่ากลุ่มอายุน้อย (16-24 ปี) และกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไปเลิกสูบบุหรี่สูงกว่ากลุ่มอายุอื่น และกลุ่มรายได้ปานกลางมีการเลิกสูบสูงที่สุด สำหรับการเปลี่ยนยี่ห้อและการเปลี่ยนประเภทจากบุหรี่โรงงานเป็นบุหรี่มวนเองพบสูงในกลุ่มอายุสูงและกลุ่มรายไดน้อย ผู้สูบบุหรี่เป็นประจำ 1 ใน 2 เห็นด้วยกับการขึ้นภาษี และประมาณ 1 ใน 2 เช่นกันที่มีความคิดเห็นว่าการขึ้นภาษีบุหรี่ผิดกฎหมาย ได้แก่ การลักลอบนำเข้าบุหรี่หนีภาษี/บุหรี่เถื่อน การผลิตบุหรี่ปลอม/ลักลอบขายบุหรี่ปลอม และการซื้อบุหรี่จาร้านค้าปลอดภาษี/การซื้อบุหรี่จากประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดนมากขึ้น จากผลการศึกษาควรอย่างยิ่งที่จะมีการปรับอัตราภาษีบุหรี่ให้สูงยิ่งขึ้นและใช้วิธีการคำนวณตามที่องค์การอนามัยโลกเสนอแนะ ควบปรับภาษีบุหรี่นำเข้าและบุหรี่มวนเอง เพื่อไม่ให้มีช่องว่างอัตราภาษีอีกทั้งควรจัดบริการเลิกสูบบุหรี่ทั้งในคลีนิคและสายด่วนปลอดบุหรี่ให้เพียงพอต่อความต้องการ
- Itemการสูบบุหรี่ของพระภิกษุสงฆ์ในประเทศไทย(2547) เนาวรัตน์ เจริญค้า; นิภาพรรณ กังสกุลนิติ; ธราดล เก่งการพานิช; วิไล กุศลวิศิษฎ์กุล; ณัฐจาพร พิชัยณรงค์; พิมพ์พรรณ ศิลปสุวรรณ; พัชราพร เกิดมงคล; สตีเฟ่น ฮาแมนน์; Naowrut Charoenca; Nipapun Kungskulniti; Tharadol Kengganpanich; Wilai Kusolwisitkul; Natchaporn Pichainarong; Pimpan Silpasuwan ; Patcharaporn Kerdmongkol ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาวิศวกรรมสุขาภิบาล; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาชีวสถิติ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาระบาดวิทยา; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาพยาบาลสาธารณสุขศาสนาพุทธมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อชีวิตคนไทยโดยส่วนมาก ทั้งนี้เนื่องจาก ร้อยละ 90 ของคนไทยนับถือ ศาสนาพุทธ ในอดีตที่ผ่านมา การสูบบุหรี่ของพระสงฆ์ทั่วประเทศยังได้รับความสนใจน้อยมาก เมื่อปี 2536 ได้มีการศึกษาในพระภิกษุสงค์จำนวน 678 รูปจากวัด 48 แห่งในภาคกลาง พบว่าพระภิกษุที่สูบบุหรี่มีร้อยละ 55 ซึ่งตัวเลขอัตราความชุกของการสูบบุหรี่ในพระภิกษุสงฆ์นี้ชี้ให้เห็นว่ายังเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง แต่การศึกษาในปี 2536 นั้น จำกัดอยู่เพียงแค่ภาคเดียวของประเทศไทยเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าในปี 2544 อัตราความชุกของการสูบบุหรี่ในชายไทยลดลงเหลือเพียงร้อยละ 39.3 สืบเนื่องจากข้อมูลจากการศึกษาในปี 2536 ยังมิได้เป็นตัวแทนที่แท้จริงของพระภิกษุสงฆ์ทั่วประเทศ และ มีการลดลงของความชุกในการสูบบุหรี่ของชายไทยซึ่งย่อมรวมถึงพระภิกษุสงฆ์ด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาสำรวจให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพื่อให้ทราบถึงความชุกของการสูบบุหรี่ในหมู่พระภิกษุสงฆ์ซึ่งน่าจะมีการลดลงด้วย หน่วยงานที่ดูแลด้านสุขภาพอนามัยของพระภิกษุสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลสงฆ์ในกรุงเทพมหานครนั้น ตระหนักดีว่าโรคที่เกี่ยวข้องการการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของการอาพาธและมาณภาพของพระภิกษุสงฆ์ แม้ว่าองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนได้จัดให้มีโครงการวัดปลอดบุหรี่ และโครงการอื่นๆที่เกี่ยวข้อง แต่อย่างไรก็ตามโครงการเหล่านี้ก็ไม่ได้มีข้อมูลเบื้องต้นของความชุกในการสูบบุหรี่ของพระภิกษุสงฆ์ โดยการสนับสนุนจากมูลนิธิร็อโดยการสนับสนุนจากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) จึงได้มีการศึกษาสำรวจความชุกของการสูบบุหรี่ในพระภิกษุสงฆ์ครั้งนี้ขึ้นในการนี้นักวิจัยได้นำข้อมูลสถิติ และ การแบ่งส่วนการปกครองของสงฆ์จากมหาเถรสมาคม และกรมการศาสนา มากำหนดการสุ่มตัวอย่างให้เป็นเป็นระบบตามโครงสร้างของแต่ละภาค เพื่อให้ได้จำนวนตัวอย่างที่เพียงพอ และเป็นตัวแทนของกลุ่มประชากรพระภิกษุสงฆ์และสามเณร โดยได้สำรวจพระภิกษุสงฆ์สามเณรจำนวน 6,213 รูปถึงสถานการณ์และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ เป้าหมายของการศึกษาเพื่อหาความชุกของการสูบบุหรี่ในพระภิกษุสงฆ์และทราบถึงลักษณะแบบแผนการสูบบุหรี่ของพระสงฆ์รวมทั้งความรู้ เจตคติ และการปฏิบัติของพระภิกษุสงฆ์ต่อการสูบบุหรี่คณะผู้วิจัยได้ทำการสำรวจเก็บข้อมูลในช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม 2546 โดยส่วนใหญ่เป็นช่วงระหว่างเวลาเข้าพรรษาซึ่งพระภิกษุจำพรรษาอยู่ที่วัด ข้อมูลจากการสำรวจได้มีการตรวจสอบความถูกต้อง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยโปรแกรม สำเร็จรูปทางสถิติ ผลจากการสำรวจพบว่าอัตราความชุกของการสูบบุหรี่ในพระภิกษุสงฆ์ในภาพรวมของทั้งประเทศเป็นร้อยละ 24.4 โดยแตกต่างกันสำหรับแต่ละภาค คืออยู่ในช่วงร้อยละ 14.6 สำหรับภาคเหนือ ถึงร้อยละ 40.5 ในภาคตะวันออก ภาคที่มีอัตราความชุกของการสูบบุหรี่ในพระภิกษุสงฆ์ค่อนข้างสูง ได้แก่ ภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคใต้และ กรุงเทพมหานคร (ร้อยละ 40.5, 40.2, 33.5, และ 29.7 ตามลำดับ) ส่วนภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ภาคเหนือ มีอัตราความชุกเป็น 22.8, 20.4, และ 14.6 ตามลำดับ เป็นที่น่าสังเกตว่าภาคที่มีอัตราความชุกของการสูบบุหรี่ในพระภิกษุสงฆ์ค่อนข้างสูงนั้นส่วนใหญ่เป็นพระภิกษุมากกว่าสามเณร และเป็นพระที่ค่อนข้างมีอายุ แม้ว่าพระภิกษุสงฆ์จะทราบและตระหนักถึงกฎระเบียบเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ในศาสนสถาน ผลที่มีต่อสุขภาพ และภาพลักษณ์ในทางลบของการสูบบุหรี่ แต่ก็ยังมีพระสงค์จำนวนมากที่ยังติดบุหรี่อยู่ ซึ่งอาจเป็นความแตกต่างระหว่างลักษณะการสูบบุหรี่ของพระสงฆ์ในเขตเมืองกับเขตชนบท พระสงฆ์ที่สูบบุหรี่มากกว่าร้อยละ 90 รายงานว่าเริ่มสูบบุหรี่มาตั้งแต่ก่อนบวช พระสงฆ์ที่มาจากภาคที่มีความชุกของการสูบบุหรี่ค่อนข้างสูงมีระดับของการติดบุหรี่สูงกว่าภาคอื่นๆ คือต้องสูบบุหรี่มวนแรกหลังจากตื่นนอน ภายในครึ่งชาวโมง เหตุผลที่สูบบุหรี่เนื่องมาจากความเครียด และรายงานว่าการสูบบุหรี่ที่มีผลต่อสุขภาพ มากกว่าพระสงฆ์ที่มาจากภาคที่มีความชุกต่ำ ประมาณร้อยละ 60 ของพระสงฆ์ที่เคยสูบบุหรี่ เลิกสูบในระหว่างที่ยังบวชอยู่ ส่วนใหญ่เลิกมาได้เกินกว่า 5 ปี แล้ว โดยใช้ความพยายาม 1-2 ครั้งจึงเลิกได้สำเร็จ และเคยได้รับคำแนะนำจากพระรูปอื่น ญาติโยม และแพทย์/พยาบาล พระสงฆ์ส่วนใหญ่ใช้วิธีเลิกด้วยตนเอง หรือ ค่อยๆลดจำนวนบุหรี่ที่สูบลง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ของพระภิกษุสงฆ์ได้แก่ อายุ สถานภาพ (พระภิกษุ/สามเณร) ระยะเวลาที่บวช และประเภทวัด (พระอารามหลวง/วัดราษฎร์) พระสงฆ์ที่ทีระดับการศึกษาทางโลกสูง มีแนวโน้มที่จะสูบบุหรี่น้อย พระสงฆ์ส่วนใหญ่เริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่ก่อนบวช และพระสงฆ์ที่เคยสูบบุหรี่ร้อยละ 60 เลิกสูบบุหรี่ในขณะที่ยังบวชอยู่ พระสงฆ์ส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะลด ละ เลิก การสูบบุหรี่ ประมาณร้อยละ 44 ของพระสงฆ์ที่สูบบุหรี่ให้เหตุผลว่าไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้เนื่องจากไม่ทราบวิธีและไม่เคยได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการเลิกบุหรี่ ในหนึ่งปีที่ผ่านมามีพระสงฆ์ร้อยละ 52 เคยพยายามเลิกบุหรี่ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงว่าในประชาชนทั่วไป ร้อยละ 72.5 ของพระสงฆ์ที่สูบบุหรี่ พระสงฆ์ที่สำรวจในการศึกษาครั้งร้อยละ 80 เสนอให้มีการรณรงค์ไม่ให้ญาติโยมถวายบุหรี่แก่พระสงฆ์ และอีกร้อยละ 91 เสนอให้ส่งเสริมพระสงฆ์ที่สูบบุหรี่อยู่ให้เลิกสูบ
- Itemสถานการณ์การดำเนินงานและความคิดเห็นต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่(2548) มณฑา เก่งการพานิช; ลักขณา เติมศิริกุลชัย; ธราดล เก่งการพานิช; Mondha Kengganpanich; Lakkhana Termsirikulchai; Tharadol Kengganpanich; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์การสำรวจสถานการณ์ของการดำเนินงานและความคิดเห็นต่อการดำเนินงานให้สนานที่ราชการเป็นเขต ปลอดบุหรี่ตาม พรบ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535 ทำการศึกษาในหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการดำเนินการให้สถานที่ราชการปลอดบุหรี่มีด้วยกัน 9 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา สำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงคมนาคม ศึกษาใน 2 กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้บริหารและหัวหน้าหน่วยงาน เพื่อศึกษาถึงการปฏิบัติตาม พรบ.คุ้มครองสุขภาพของผู้มาสูบบุหรี่ พ.ศ.2535 (ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 10 พ.ศ.2545) กลุ่มเป้าหมาย 233 คน ได้รับแบบสอบถามตอบกลับ 133 คนหรือคิดเป็นร้อยละ 57.1 และบุคลากรของหน่วยงาน เพื่อศึกษาพฤติกรรมการสูบบุหรี่ในที่ทำงาน และความคิดเห็นต่อ พรบ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535 กลุ่มเป้าหมาย 13,650 คน ได้รับแบบสอบถามตอบกลับ 9,276 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 68.0 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามในระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน 2548 ผลการศึกษาการปฏิบัติตาม พรบ.ฯ ในทัศนะของผู้บริหารหรือหัวหน้าหน่วยงาน พบว่า ร้อยละ65.9 มีการจัดหน่วยงานให้เป็นเขตปลอดบุหรี่ หากแต่ลักษณะการจัดยังไม่ค่อยถูกต้อง โดยมีการจัดเขตปลอดบุหรี่ร้อยละ 72.5 และจัดเขตสูบบุหรี่ ร้อยละ 44.7 ความสำเร็จในระดับมากร้อยละ 55.8 ซึงปัญหาการดำเนินคือ ไม่มีผู้รับผิดชอบโดยตรง นอกจากนี้หน่วยงานร้อยละ 39.5 มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ โดยจัดร่วมกับหน่วยงานอื่น และมีการแจกสื่อเอกสารเผยแพร่ความรู้ ปัญหาที่สำคัญคือ ปริมาณสื่อไม่เพียงพอและบุคลากรขาดความตระหนัก หัวหน้าหน่วยงานร้อยละ 47.4 เห็นด้วยกับการจัดเขตปลอดบุหรี่เฉพาะบางส่วนและจัดเขตสูบบุหรี่เป็นการเฉพาะที่ มากกว่าการจัดให้เป็นเขตปลอดบุหรี่ 100% ซึ่งมีเห็นด้วยร้อยละ 44.4 ในส่วนของความพร้อมในการดำเนินการระดับมากมีอยู่ร้อยละ 49.6 ขณะเดียวกันหน่วยงาน ร้อยละ 72.8 ยังมีความต้องการสื่อเพื่อใช้ในการรณรงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อสิ่งพิมพ์ ป้ายประชาสัมพันธ์และการมีนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนของหน่วยงาน ผลการศึกษาพฤติกรรมการสูบบุหรี่ในที่ทำงานและความคิดเห็นต่อการดำเนินงานให้หน่วยงานเป็นเขตปลอดบุหรี่ พบว่า บุคลากรที่ยังคงสูบบุหรี่อยู่ ณ ปัจจุบันมีอยู่ ร้อยละ 8.4 และมีผู้เคยลองและเคยสูบและเลิกแล้ว ร้อยละ 16.7 อายุเริ่มสูบ ร้อยละ 35.5 อยู่ระหว่าง 16-18 ปี ลักษณะการสูบร้อยละ 80.3 เป็นการสูบแบบติดบุหรี่ โดยมีปริมาณการสูบเฉลี่ย 10.4 มวนต่อวันและร้อยละ 42.9 สูบที่บ้าน รองลงมาคือ ร้อยละ 22.4 สูบที่ทำงาน การสูบบุหรี่ในที่ทำงานร้อยละ 34.2 สูบในที่ที่ไม่มีสัญลักษณ์เขตสูบบุหรี่ ผู้สูบบุหรี่ร้อยละ 64.6 ที่สูบบุหรี่และมีผลต่อสุขภาพที่สำคัญคือ มีอาการเกี่ยวกับการหายใจ ร้อยละ 76.8 เคยพยายามเลิกด้วยวิธีตั้งใจเลิกเองและหักดิบ เหตุผลของความตั้งใจอยากเลิกส่วนใหญ่เกิดจากครอบครัวอยากให้เลิก และผู้สูบรู้ถึงโทษของบุหรี่มากขึ้น เพศชายสูบบุหรี่มากกว่าเพศหญิงมาก กล่าวคือ เพศชายสูบร้อยละ 24.5 เพศหญิงร้อยละ 1.0 กลุ่มที่สูบส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มคนงาน คนสวน คนขับรถ พนักงานรักษาความปลอดภัย มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและต่พกว่า บุคลากรส่วนใหญ่ร้อยละ 79.2 รับทราบเกี่ยวกับ พรบ.ฯ และร้อยละ 97.2 เห็นด้วยกับการมี พรบ. ฯ สำหรับการรับรู้การดำเนินงานให้หน่วยงานปลอดบุหรี่มีรับรู้ร้อยละ 50.3 โดยรับรู้จากป้ายและสัญลักษณ์ที่ติดไว้ในหน่วยงาน การจัดเขตสูบบุหรี่มีการรับรู้ว่ามีเพียงร้อยละ 28.7 และร้อยละ 45.9 เห็นว่า จัดอย่างไม่เหมาะสม อย่างไรก็ดี บุคลากรร้อยละ 40.8 ต้องการให้หน่วยงานเป็นเขตปลอดบุหรี่ 100% และร้อยละ 89.6 ต้งการการสนับสนุนสื่อในลักษณะของการจัดการ เช่น จัดเขตสูบบุหรี่ จัดนิทรรศการให้ความรู้ หลักสูตรบำบัด และการสนับสนุนให้ผู้สูบไปเข้าคลีนิคอดบุหรี่ เป็นต้น และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความคิดเห็นต่อ พรบ.ฉบับนี้ได้แก่ กลุ่มที่อายุ ตำแหน่งงายที่ต่างกัน พฤติกรรมการสูบบุหรี่ การเกิดผลต่อสุขภาพ ความต้องการเลิกบุหรี่ การรับทราบเกี่ยวกับ พรบ. และการรับรู้ถึงการดำเนินงานหน่วยงานปลอดบุหรี่ ปัจจัยเหล่านี้ควรได้รับการให้สำคัญในการนำไปใช้ปรับความคิดเห็นหรือทัศนคติต่อ พรบ. ข้อเสนอแนะในทางปฏิบัติต่อหน่วยงานคือ การวิเคราะห์และทำความเข้าใจสถานการณ์ การประกาศนโยบายที่ชัดเจน กำหนดผู้รับผิดชอบ มีการวางแผนและแนวทางการดำเนินงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้สูบบุหรี่ การรณรงค์ผ่านสื่อสารมวลชน จัดทำคู่มือและแนวทางการดำเนินงานเผยแพร่ และมีศูนย์กลางประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย คือหน่วยงานที่มีหน้าที่ออกกฎหมาย ให้มีการติดตามและควบคุมการบังคับใช้กฎหมาย การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความชัดเจนในนโยบายของหน่วยงานทุกระดับ และการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง