Publication: พฤติกรรมสุขภาพของนักเรียนระดับประถมศึกษาที่มีภาวะโภชนาการเกิน: กรณีศึกษา จังหวัดนครปฐม
Issued Date
2553
Resource Type
Language
tha
Rights
มหาวิทยาลัยมหิดล
Rights Holder(s)
สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬาแห่งประเทศไทย (สวกท)
Bibliographic Citation
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา. ปีที่ 10, ฉบับที่ 1, ( ก.ค. 2553), 273-284
Suggested Citation
พรรณิภา ทีรฆฐิติ, กิตติพงศ์ พูลชอบ, เมตตา ปิ่นทอง พฤติกรรมสุขภาพของนักเรียนระดับประถมศึกษาที่มีภาวะโภชนาการเกิน: กรณีศึกษา จังหวัดนครปฐม. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา. ปีที่ 10, ฉบับที่ 1, ( ก.ค. 2553), 273-284. สืบค้นจาก: https://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/1418
Research Projects
Organizational Units
Authors
Journal Issue
Thesis
Title
พฤติกรรมสุขภาพของนักเรียนระดับประถมศึกษาที่มีภาวะโภชนาการเกิน: กรณีศึกษา จังหวัดนครปฐม
Alternative Title(s)
Health behavior of primary school students with over-nutritional status: A case study in Nakorn Pathom Province
Author(s)
Other Contributor(s)
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมสุขภาพของนักเรียนระดับประถมศึกษาที่มีภาวะ
โภชนาการเกิน และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกายกับระดับภาวะ
โภชนาการเกิน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับประถมศึกษาที่มีภาวะโภชนาการเกิน รวม 451 คน จังหวัด
นครปฐม ใช้ค่าดัชนีมวลกายปรับตามอายุและเพศ (Body Mass Index-Age: BMI-Age) จำแนกระดับภาวะ
โภชนาการเกินเป็นกลุ่มที่มีภาวะนํ้าหนักเกินและกลุ่มที่มีภาวะเสี่ยงต่อนํ้าหนักเกิน ตามค่าอ้างอิงCDC
(Centers for Disease Control) คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยสุ่มเลือกนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกินตาม
สัดส่วนแบบชั้นภูมิ (Proportional Stratified Sampling) และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม
ผลการวิจัยพบว่าเด็กนักเรียนที่มีภาวะนํ้าหนักเกินมีค่าเฉลี่ยนํ้าหนักตัว ส่วนสูง และดัชนีมวลกายสูง
กว่าเด็กที่มีภาวะเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เด็กที่มีภาวะนํ้าหนักเกินมีความถี่ของการบริโภคอาหารมื้อ
เช้าตํ่ากว่าเด็กที่มีภาวะเสี่ยงต่อนํ้าหนักเกินแ ต่พฤติกรรมการบริโภคของทอด ของมัน และขนมขบเคี้ยว
บรรจุห่อของเด็กทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันนอกจากนี้ยังพบว่าการรับประทานอาหารมื้อเย็นและมื้อดึกเป็นมื้อหนักมีความสัมพันธ์กับระดับภาวะโภชนาการเกิน โดยเด็กที่มีภาวะนํ้าหนักเกินมีพฤติกรรมการ
รับประทาน อาหารมื้อเย็นและมื้อดึกเป็นมื้อหนักมากกว่าเด็กที่มีภาวะเสี่ยงต่อนํ้าหนักเกิน( ร้อยละ 56.8 ต่อ
ร้อยละ 43.3) สองในสามของสื่อโฆษณาที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของเด็กทั้งสองกลุ่มคือสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ เกี่ยวกับการออกกำลังกายพบว่าเด็กกลุ่มที่มีภาวะนํ้าหนักเกินมีคะแนนพฤติกรรมการออกกำลังกายตํ่ากว่ากลุ่มที่มีภาวะเสี่ยงต่อนํ้าหนักเกิน นอกจากนี้ยังพบความสัมพันธ์ระหว่างการออกกำลังกายเป็นประจำกับระดับภาวะโภชนาการเกิน โดยเด็กที่มีภาวะนํ้าหนักเกินและเด็กที่มีภาวะเสี่ยงต่อนํ้าหนักเกิน ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย3 ครั้ง/สัปดาห์ และแต่ละครั้งไม่น้อยกว่า2 0 นาทีเป็นประจำ
ร้อยละ 4.7 ต่อ ร้อยละ 21.6 และ ร้อยละ 9.8 ต่อ ร้อยละ 29.1 ตามลำดับ เดก็ ที่มีภาวะนํ้าหนักเกินออกกำลังกายเป็นประจำน้อยกว่าเด็กที่มีภาวะเสี่ยงต่อนํ้าหนักเกินอย่างมีนัยสำคัญ จากผลการวิจัยสรุปได้ว่าเด็กที่มีภาวะโภชนาการเกินทั้งสองกลุ่มมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม และส่วนใหญ่มีสัดส่วนการออกกำลังกายเป็นประจำที่ตํ่ากว่าแนวทางปฏิบัติมาตรฐาน สิ่งสำคัญคือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมดังกล่าวนั้นพบได้สูงในกลุ่มเด็กที่มีระดับภาวะโภชนาการเกินที่รุนแรงมากขึ้น