GJ-Proceeding Document

Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/123456789/124

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 64
  • ItemOpen Access
    ศึกษาประสิทธิภาพของนวัตกรรม "Progress Note OPD Fammed" ในหน่วยเวชศาสตร์ครอบครัว ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2568) ณัฐกานต์ สมุทรไชยกิจ; ชวัลรัตน์ คงศิริถาวร; สุภางค์ กิมสวัสดิ์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของนวัตกรรมใบ “Progress Note OPD Fammed" โดยเปรียบเทียบความครบถ้วนของข้อมูลการบันทึกทางการแพทย์และทางการพยาบาลก่อนและหลังใช้ Progress Note และเพื่อประเมิน ความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่ที่ใช้งานจริงในหน่วยเวชศาสตร์ครอบครัว ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก โดยใช้การออกแบบ การศึกษาวิจัยแบบย้อนหลัง (Retrospective study) กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยเวชระเบียนจำนวน 60 ฉบับ แบ่งเป็นใบ Progress Note แบบเดิม 30 ฉบับ และใบ Progress Note OPD Fammed 30 ฉบับ วิเคราะห์ความครบถ้วนของข้อมูลในประเด็นสำคัญ ได้แก่ การสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ลายมือชื่อแพทย์ ความสามารถในการทวนสอบ และประเด็นอื่นๆ และประเมินความพึงพอใจจากแพทย์และเจ้าหน้าที่จำนวน 45 ราย ผลการวิจัยพบว่า ใบ Progress Note OPD Fammed มีคะแนนความครบถ้วนของข้อมูลเฉลี่ยสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (𝑥̅= 3.90 เทียบกับ 2.63, p-value < 0.001) และมีความครบถ้วนของข้อมูลถึงร้อยละ 90 เมื่อเทียบกับร้อยละ 30 ของใบแบบเดิม ด้านความพึงพอใจ แพทย์และเจ้าหน้าที่ให้คะแนนในระดับดีถึงดีมาก โดยเฉพาะในประเด็นความสะดวกในการใช้งาน การลดความผิดพลาดในการสื่อสาร และความสามารถในการทวนสอบข้อมูลสรุปได้ว่า นวัตกรรม "ใบ Progress Note OPD Fammed" มีประสิทธิภาพสูงในการลดความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูลทางการแพทย์ และได้รับ ความพึงพอใจจากผู้ใช้งานอย่างชัดเจน
  • ItemOpen Access
    การพัฒนาระบบจัดการวัสดุโดยใช้ Google Looker Studio ของงานการศึกษา วิจัย และบริการวิชาการ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2568) ศลิษา ธาระสวัสดิ์; สุภาภรณ์ บัวจันทร์; ธีรดนย์ นุชปาน
    งานการศึกษา วิจัย และบริการวิชาการ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มีหน่วยงานภายในดูแลทั้งด้านการศึกษา วิจัย และธุรการ โดยเฉพาะหน่วยบริหารฐานข้อมูล ซึ่งดูแลวัสดุจำนวนมาก ปัจจุบันการจัดทำบัญชีคุมวัสดุ การเบิกวัสดุยังใช้วิธีการเขียน ทำให้เกิดความล่าช้าข้อมูลคลาดเคลื่อน และขาดระบบติดตามที่มีประสิทธิภาพ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบในการบริหารจัดการวัสดุของงานการศึกษา วิจัยและบริการวิชาการ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก, เพื่อเปรียบเทียบระยะเวลาการค้นหาวัสดุระหว่างระบบจัดการแบบเดิม กับระบบจัดการโดยใช้เทคโนโลยี Google Looker Studio และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของบุคลากรมีต่อระบบจัดการวัสดุโดยใช้เทคโนโลยี Google Looker Studio การวิจัยนี้เป็นรูปแบบกึ่งทดลอง โดยทดสอบกับประชากรจำนวน 10 คน เพื่อเปรียบเทียบการค้นหาวัสดุ ผลการทดสอบสมมติฐานด้วย Paired Samples t-test แสดงให้เห็นว่าระบบใหม่สามารถลดเวลาในการค้นหาวัสดุลงได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01) นอกจากนี้การสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้งานยังพบว่ามีระดับความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากโดยเฉพาะในประเด็นด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้และความสะดวกในการใช้งานซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเหมาะสมและประสิทธิผลของระบบที่พัฒนาขึ้นผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การใช้ Google Looker Studio เป็นเครื่องมือในการจัดการข้อมูลวัสดุไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลด ความซับซ้อนของกระบวนการทำงานเท่านั้นแต่ยังส่งเสริมความพึงพอใจของบุคลากรในหน่วยงานได้อย่างมีนัยสำคัญระบบดังกล่าวเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับหน่วยงานขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ต้องการระบบดิจิทัลที่เข้าถึงง่าย มีต้นทุนต่ำและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการขององค์กร การนำเทคโนโลยี Cloud-based มาใช้ในงานบริหารทรัพยากรเช่นนี้จึงเป็นแนวทาง ที่มีศักยภาพในการพัฒนาการจัดการภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพและทันสมัยมากยิ่งขึ้น
  • ItemOpen Access
    การพัฒนาระบบวิเคราะห์แนวโน้มค่าประมาณอัตราการกรองของไต (eGFR) ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ตลอดช่วงระยะเวลา โดยประยุกต์ใช้โปรแกรม Microsoft Power BI
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2568) วิเชียร บุญญะประภา; ธนกร บุญลาภ; ณัฐวุฒิ รุ่งเกียรติ์เตชากร
    โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease: CKD) เป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในประเทศไทยและทั่วโลก โดยค่า eGFR เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการวินิจฉัยและติดตามการเสื่อมของไต ปัจจุบันอายุรแพทย์ ที่คลินิกโรคไต ของศูนย์การแพทย์การจนาภิเษก ยังคงใช้วิธีประเมินแนวโน้มด้วยตนเองจากตัวเลข อาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนและไม่ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบันของสภาวะสุขภาพในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรั้ง การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาระบบวิเคราะห์แนวโน้มค่าประมาณอัตราการกรองของไต (eGFR) ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ตลอดช่วงระยะเวลา โดยใช้โปรแกรม Microsoft Power BI และแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ วิเคราะห์และแสดงแนวโน้มค่า eGFR ตลอดช่วงระยะเวลาการรักษา เพื่อลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำในการสนับสนุนการวินิจฉัยของอายุรแพทย์ การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ โดยใช้ข้อมูลย้อนหลังของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังจากระบบเวชระเบียนของศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก จำนวน 300 ราย และสุ่มตัวอย่าง จำนวน 169 ราย เพื่อทำการวิเคราะห์ความแม่นยำของแนวโน้มค่า eGFR และรวบรวมแบบสอบถามจากแพทย์ที่ใช้ระบบวิเคราะห์แนวโน้มค่า eGFR ผลการศึกษาพบว่าอายุรแพทย์ พบว่ามีความต้องการใช้ระบบวิเคราะห์ผ่านโปรแกรม Microsoft Power BI สูง และมีความพึงพอใจในระดับมาก ระบบสามารถประมวลผลแนวโน้มค่า eGFR และสนับสนุนการตัดสินใจรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ItemOpen Access
    ประสิทธิภาพของนวัตกรรมใบคัดกรองเพื่อคัดกรองผู้ป่วย Stroke, Sepsis และ STEMI ในผู้ป่วยหน่วยเวชศาสตร์ครอบครัว ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2568) ชวัลรัตน์ คงศิริถาวร; สิริพร พลับเจ็ดริ้ว; ณัฐกานต์ สมุทรไชยกิจ
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความแม่นยำและประสิทธิภาพของแบบประเมิน Early Warning Signs ‘3S’ ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้บุคลากรสามารถคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มโรคเร่งด่วนได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการ Triage และจัดลำดับคิวเข้าพบแพทย์ตามมาตรฐาน 30 นาที การศึกษานี้เป็นการศึกษาวิจัยแบบย้อนหลัง (Retrospective Study)โดยแบ่งการเก็บข้อมูลเป็น 3 ระยะ คือระยะพัฒนาใบคัดกรอง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ป่วยจำนวน 52 ฉบับที่เข้ารับการรักษาในหน่วยเวชศาสตร์ครอบครัว ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก เพื่อนำมาพัฒนาแบบประเมิน Early Warning Signs ‘3S’ ระยะทดสอบความถูกต้องของแบบประเมิน Early Warning Signs ‘3S’ และระยะนำไปใช้กับผู้ป่วยจริงในหน่วยเวชศาสตร์ครอบครัวโดยกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ป่วยจำนวน 50 ราย แบ่งเป็น 25 รายในกลุ่มที่ได้รับการคัดกรองแบบเดิม และ 25 รายในกลุ่มที่ได้รับการคัดกรองด้วยแบบประเมิน Early Warning Signs ‘3S’ โดยวิธีการ Randomization ผลการวิจัยพบว่า แบบประเมิน Early Warning Signs ‘3S’ มีความแม่นยำในการคัดกรองตรงกับผลการวินิจฉัยของแพทย์ในระดับร้อยละ 100 ในขณะที่การคัดกรองแบบเดิมมีความแม่นยำเพียงร้อยละ 60 และยังพบว่าแบบประเมิน Early Warning Signs ‘3S’ สามารถลดระยะเวลาในการรอคอยพบแพทย์ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยช่วยให้เจ้าหน้าที่นำข้อมูลไปประกอบการ Triage และจัดลำดับคิวกลุ่ม Urgency ให้เข้าพบแพทย์ภายในระยะเวลามาตรฐาน 30 นาที ได้ร้อยละ 100 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตของผู้ป่วยกลุ่มเร่งด่วน นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่ต่อการใช้งานแบบประเมิน Early Warning Signs ‘3S’ พบว่าบุคลากรส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในระดับสูง โดยเฉพาะในด้านความสะดวกในการใช้งาน ความครบถ้วนของข้อมูลเกณฑ์ประเมิน และความชัดเจนของแบบฟอร์ม จากผลการวิจัยสามารถสรุปได้ว่า แบบประเมิน Early Warning Signs ‘3S’ เป็นนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงในการคัดกรองผู้ป่วยโรคฉุกเฉินกลุ่ม Stroke, Sepsis และ STEMI โดยสามารถเพิ่มความแม่นยำ ลดระยะเวลารอคอยพบแพทย์ และเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับจากบุคลากรในภาคปฏิบัติ เหมาะสมที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในระดับโรงพยาบาลที่มากขึ้น เช่น จุดคัดกรองของหน่วยงานอื่น เผยแพร่ให้เป็นที่แพร่หลาย เพื่อใช้ในระดับจังหวัด ระดับประเทศต่อไป เพื่อเพิ่มคุณภาพของการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
  • ItemOpen Access
    การเปลี่ยนแปลงความดันลบขณะใช้เครื่อง Flow-Oriented Incentive Spirometer เมื่อปิดช่องของท่อความจุในรูปแบบที่แตกต่างกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูสมรรถภาพปอด
    (2568) ปฏิพล ก้าวงามพาณิชย์; กรวิชญ์ ลิขิต
    Incentive Spirometer เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้ในการฟื้นฟูระบบหายใจในผู้ป่วยหลายกลุ่มโรค ทำงานโดยอาศัย ความแตกต่างของความดันอากาศเพื่อทำให้ระดับลูกบอลในท่อความจุลอยตัวสูงขึ้น ปัจจุบัน Flow-oriented incentive spirometer (FIS) มีความนิยมมากกว่า Volume-oriented incentive spirometer (VIS) เนื่องจากใช้งานง่าย ขนาดเล็ก และราคาถูก ทั้งนี้ หากใช้งาน FIS ไม่ถูกวิธีหรือมีสมรรถภาพของระบบหายใจต่ำอาจทำให้ใช้งานได้ไม่มีประสิทธิภาพ การศึกษาภาคตัดขวางฉบับนี้จัดทำขึ้น เพื่อค้นหารูปแบบการปรับช่องเปิดของท่อความจุของอุปกรณ์ FIS ที่ใช้ความดันลบน้อยที่สุดใน การทำให้ลูกบอลลูกที่ 1 ลอยขึ้นจนสุดท่อ และหาแนวโน้มของความสัมพันธ์ดังกล่าวในอุปกรณ์ FIS ที่แตกต่างกันแต่ละชนิด เพื่อนำไปสู่การพัฒนาการใช้งานอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น จากการศึกษาพบว่าการปิดช่องเปิดของท่อความจุที่ 2 และ 3 จะใช้ความดันลบน้อยลงถึง 2.2 - 2.8 เท่าเมื่อเทียบกับ การใช้อุปกรณ์ที่ไม่มีการปรับเปลี่ยนช่องเปิดความจุใดๆ รวมถึงอุปกรณ์ FIS ในแต่ละชนิดมีแนวโน้มของการใช้ความดันลบไปในทิศทางเดียวกัน ผลจากการศึกษานี้สามารถนำไปทดลองจริงกับผู้ใช้งานสุขภาพดีและผู้ป่วยที่มีสมรรถภาพของระบบหายใจต่ำ ได้ในอนาคต เพื่อให้เกิดการใช้งาน FIS ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป
  • ItemOpen Access
    ความเที่ยงตรงและความน่าเชื่อถือของการวัดองศาการเคลื่อนไหวข้อเข่าด้วยสมาร์ทโฟนในผู้ใหญ่สุขภาพดี
    (2568) ปฏิพล ก้าวงามพาณิชย์; ธนภัทร วิทยาวราพงศ์; อ้อมเดือน ชื่นวารี
    เครื่องมือที่ใช้ในการวัดองศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่าในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี โดยไม้บรรทัดวัดมุมถือเป็นเครื่องมือที่มีความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือสูง ทั้งนี้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านการพกพาและจำนวนที่ไม่เพียงพอต่อการใช้งานในทางคลินิก การใช้สมาร์ทโฟนเพื่อวัดองศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่าจึงได้รับความนิยมในการใช้งานเพิ่มมากขึ้น การศึกษาฉบับนี้จึงศึกษา ความเที่ยงตรง ความน่าเชื่อถือภายในผู้วัดและความน่าเชื่อถือระหว่างผู้วัด โดยทำการศึกษาในผู้ใหญ่สุขภาพดีจำนวน 15 คน ทำการวัดองศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่าเปรียบเทียบระหว่างไม้บรรทัดวัดมุมและสมาร์ทโฟน ประเมินโดยนักกายภาพบำบัด 2 คน ใน 4 ท่า ได้แก่ ท่านอนหงายข้อเข่าเหยียด ท่านอนหงายข้อเข่างอมากสุด ท่านั่งข้อเข่าเหยียด และท่านั่งข้อเข่างอ จากการศึกษาพบว่า สมาร์ทโฟนมีความเที่ยงตรงในการวัดองศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่าเมื่อเทียบกับไม้บรรทัดวัดมุมอยู่ในระดับปานกลางถึงสูงมาก (r = 0.55-0.94) มีความความน่าเชื่อถือภายในตัวผู้ประเมินอยู่ในระดับดีถึงดีมาก (ICC = 0.86 – 0.96, SEM = 0.70° – 1.38°) และความน่าเชื่อถือระหว่างผู้ประเมินอยู่ในระดับปานกลางถึงดีมาก (ICC = 0.74 – 0.96, SEM = 1.29° - 1.90°) สมาร์ทโฟนจึงสามารถนำมาใช้วัดองศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่าทดแทนการใช้ไม้บรรทัดวัดมุมในทางคลินิกได้เป็นอย่างดี
  • ItemOpen Access
    ปัจจัยเสี่ยงและการรักษาภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยและโรคเบาหวาน
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2024-05-30) ชินไตร ถาวรลัญฉ์
    ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นปัญหาสาธารณสุขที่กำลังอุบัติขึ้น ในปัจจุบันการรักษาภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย ยังไม่มียาที่ใช้รักษาโดยตรง การป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่สามารถป้องกันได้ การตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มต้น รวมถึงรักษาเบาหวานที่มักพบร่วมกัน จึงสำคัญมาก
  • ItemOpen Access
    พยาบาลวิชาชีพ Generation C กับการทำงานเป็นทีม : ความท้าทายสำหรับผู้บริหารการพยาบาลสู่ยุค 5.0
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2024-05-30) ปานฤทัย บุญมา
    พยาบาลวิชาชีพในปัจจุบันมีหลากหลาย Generation นอกจากการแบ่งกลุ่มตามช่วงอายุแล้ว ยังมีการแบ่งกลุ่มตามลักษณะทางพฤติกรรมศาสตร์ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันที่ถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงข้อมูลขนาดใหญ่ จึงจัดกลุ่มบุคคลในยุคปัจจุบันว่าเป็นพยาบาลวิชาชีพ Generation C โดยการปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาลนั้นจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมท่ามกลางความหลากหลาย ทั้งลักษณะเฉพาะของช่วงวัยที่แตกต่างกัน รูปแบบในการปฏิบัติงาน รวมถึงความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ความหลากหลายดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยส่งเสริมหรือเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงานร่วมกันได้ ส่งผลต่อผลลัพธ์ทางการพยาบาล และภาพรวมขององค์การพยาบาล ผู้บริหารการพยาบาลเป็นผู้นำในการกำหนดทิศทางการดำเนินงานขององค์การพยาบาลในยุคปัจจุบัน ต้องใช้กลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนให้มีการทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 1) เข้าใจความแตกต่างของ Generation 2) สร้างแรงจูงใจในทีมพยาบาล 3) ชี้นำทีมการพยาบาลสู่เป้าหมายชัดเจน และ 4) การบริหารงานอย่างรวดเร็ว ทันทีทันใด เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของยุคแห่งเทคโนโลยี การเข้าใจและคำนึงถึงความแตกต่างของพยาบาลวิชาชีพในทีมสุขภาพ และดึงศักยภาพในการใช้เทคโนโลยีของพยาบาลวิชาชีพ Generation C มาช่วยขับเคลื่อนและเชื่อมโยงการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพในทีมสุขภาพเข้าด้วยกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สอดคล้องกับยุคดิจิทัล 5.0 ในอนาคต
  • ItemOpen Access
    การบริหารห้องผ่าตัดในเวลาราชการศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกในยุคดิจิทัล
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2024-05-30) สกุลไทย ศรีหินกอง; อารยา รักศรีอักษร
    ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก เป็นโรงพยาบาลของรัฐ สังกัดคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ดำเนินงานให้บริการผ่าตัดในระดับทุติยภูมิ มีเป้าหมายในการดำเนินการขององค์กรที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล ภายใต้การนำนโยบายของต้นสังกัดมาใช้ในการบริหารจัดการห้องผ่าตัดให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล จากการปฏิบัติงานของผู้เขียนพบว่า การบริหารจัดการห้องผ่าตัดของศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มีการนำโปรแกรม SSB มาใช้ในการบันทึกข้อมูลการใช้ห้องผ่าตัด และใช้การสื่อสารโดยโทรศัพท์แจ้งข้อมูลผู้ป่วยตามแนวทางปฏิบัติแล้วบันทึกข้อมูลลงในแบบบันทึก ซึ่งเกิดปัญหาหลายด้านและเกิดอุบัติการณ์ข้อมูลผิดพลาด ส่งผลให้เกิดการเข้าใช้ห้องผ่าตัดยังไม่ถึงความสามารถที่ห้องผ่าตัดรองรับได้ ทั้งด้านเวลาและทรัพยากรที่มี ทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการเข้ารับการรักษา สูญเสียโอกาสในการพัฒนาความก้าวหน้าขององค์กรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การพัฒนาแนวทางการบริหารห้องผ่าตัดในยุคดิจิทัลเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการเป็นเลิศตามยุทธศาสตร์ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกจะต้องมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาและพัฒนากระบวนการทำงาน เพื่อการบริหารจัดการห้องผ่าตัดอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จะช่วยพัฒนาองค์กรให้เป็นเลิศ ลดการผิดพลาดจากการปฏิบัติงาน ส่งผลให้การใช้ห้องผ่าตัดเป็นไปอย่างคุ้มค่าตามความสามารถของทรัพยากรและบุคลากร รวมถึงสร้างความพึงพอใจแก่ผู้รับบริการ สร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและคุณภาพในการปฏิบัติงานขององค์กรได้อย่างยั่งยืน
  • ItemOpen Access
    ภาวะการอักเสบและหนาตัวของเยื่อหุ้มสมอง
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2024-05-30) ศิริกัญญา รุ่งเรือง; วรเศรษฐ์ สายฝน
    การอักเสบและหนาตัวของเยื่อหุ้มสมองเป็นภาวะที่พบได้น้อย เกิดการอักเสบและหนาตัวของเยื่อหุ้มสมองชั้นดูราทั้งแบบจำกัดเฉพาะที่หรือแบบกระจาย ส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุ ส่วนที่ทราบสาเหตุเกิดได้จาก autoimmune disease ได้แก่ IgG4 related disease การติดเชื้อเรื้อรัง เช่น ติดเชื้อวัณโรค หรือเกิดจากเนื้องอกได้แก่ เนื้องอกเยื่อหุ้มสมองเองหรือจากการกระจายจากอวัยวะอื่นมาที่เยื่อหุ้มสมอง และภาวะอื่น ๆ อาการและอาการแสดงสัมพันธ์กับตำแหน่งกายวิภาคและความรุนแรงของระบบประสาทที่ถูกกดเบียด ที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดศีรษะ อัมพาตของเส้นประสาทสมอง เช่น ใบหน้าอ่อนแรง การมองเห็นภาพผิดปกติ เป็นต้น ผู้ป่วยต้องได้รับการวินิจฉัยที่รวดเร็ว และ ให้การรักษาที่เหมาะสมเพื่อลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนและทุพพลภาพ
  • ItemOpen Access
    การพัฒนากระบวนการพยาบาลผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องและครอบครัว : รูปแบบการให้บริการที่หน่วยล้างไตทางช่องท้องร่วมกับทีมสหวิชาชีพ ณ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2024-05-30) ณัฐชมนต์ วรพัฒน์วัชรกุล; ชลชญา บุญจันทร์ตรี
    ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่เลือกรับการรักษาบำบัดทดแทนไตด้วยวิธีล้างไตทางช่องท้อง (Continuous ambulatory peritoneal dialysis: CAPD) นั้นเป็นวิธีการรักษาโดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและครอบครัวในการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่องที่บ้าน ซึ่งพยาบาลเฉพาะทางมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้การดูแลล้างไตทางช่องท้องประสบความสำเร็จเริ่มตั้งแต่ คอยให้คำปรึกษา การให้ความรู้ การสอน แก้ไขปัญหา ภาวะแทรกซ้อน การเสริมพลัง ตลอดจนดูแลจำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยตามมาตรฐานวิชาชีพ ในรูปแบบการให้บริการที่หน่วยล้างไตทางช่องท้องที่ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ
  • ItemOpen Access
    ความสัมพันธ์ของภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยและโรคเบาหวาน
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2024-05-30) ชินไตร ถาวรลัญฉ์
    ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ทำให้ลดความสามารถในการทำกิจวัตร เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มอัตราการเสียชีวิต ทั้งสองภาวะนี้มีความสัมพันธ์กันในด้านพยาธิกำเนิดที่พบร่วมกันและเกี่ยวข้องกัน เช่น กระบวนการอักเสบ (inflammation) ภาวะเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) ภาวะดื้ออินซูลิน (insulin resistance) adiposity และ advance glycation end products (AGEs) นอกจากนี้ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยยังมีความสัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานอีกด้วย ทั้งภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก
  • ItemOpen Access
    สังคมเทคโนโลยีพยาบาลผ่าตัดและความปลอดภัยของผู้ป่วย
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2024-05-30) วราภรณ์ พันธ์ผาด
    ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การเกิดโรคอุบัติใหม่ วิถีการดำเนินที่ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้มีเรื่อง เทคโนโลยีเข้ามาสอดแทรกในชีวิตประจำวัน รวมถึงมีความหลากหลายของอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์มากขึ้น การเกิดอุบัติการณ์ความไม่พร้อมของเครื่องมือผ่าตัด พยาบาลห้องผ่าตัดมีความจำเป็นต้องมีความรู้ ความสามารถ เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจากการเรียนรู้และการปรับปรุง พัฒนาทักษะของตัวเอง อยู่ตลอดเวลา โดยการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ตลอดชีวิตและ การจุดประกาย ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีและการเข้าถึงสารสนเทศที่มีคุณภาพได้อย่างรวดเร็วตลอดเวลา บทความนี้จะนำ เสนอแนวโน้มของระบบสาธารณสุขโลก ผ่านมุมมองของพยาบาลห้องผ่าตัด และนำเสนอ ด้านคุณลักษณะและทักษะที่จำเป็นของพยาบาล ห้องผ่าตัดในยุคเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตและทำงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อผลลัพธ์สูงสุดคือความปลอดภัยของผู้ป่วย
  • ItemOpen Access
    ไวรัสตับอักเสบอี : ทบทวนวรรณกรรมอย่างละเอียด
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2024-05-30) อัชฌา สืบสังข์
    ไวรัสตับอักเสบอีถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1980 จากการระบาดของโรคตับอักเสบเฉียบพลันที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ปัจจุบัน การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอีเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดชนิดหนึ่งของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเฉียบพลันทั่วโลก ไวรัสตับอักเสบอีที่พบบ่อยในมนุษย์คือสายพันธุ์ 1,2,3 และ 4 โดยสายพันธุ์ 1 และ 2 ติดต่อผ่านทางการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ อาจเกิดตับอักเสบรุนแรงได้โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ สายพันธุ์ 3 และ 4 พบได้ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา ติดต่อผ่านทางการกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก สัตว์รังโรคที่พบบ่อยที่สุด คือ หมู กลุ่มอาการของผู้ป่วยมีได้หลากหลายตั้งแต่ไม่มีอาการ ตับอักเสบเฉียบพลัน ตับวายเฉียบพลัน หรือตับอักเสบเรื้อรังในกลุ่มผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องและกลุ่มอาการภายนอกตับได้หลายระบบ การวินิจฉัยยืนยันทางห้องปฏิบัติการยังทำได้จำกัดทั่วโลก ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการดีขึ้นตอบสนองต่อการรักษาประคับประคอง การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอีไม่มีการรักษาจำเพาะ Ribavirin และ PEGylated-interferon-alpha อาจพิจารณาใช้ในการรักษาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอีเฉพาะราย
  • ItemOpen Access
    รายงานผู้ป่วยการเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกหลังการได้รับยาอิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคระบบประสาทกิลแลงบาร์เร
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2024-05-30) อภิชญา บุญสิริฉาย; เจนจิรา กิตติวรภัทร; ศิริกัญญา รุ่งเรือง; ฉัตรี หาญทวีพันธุ์
    อิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดดำ (IVIG) เป็นยาที่ใช้เพื่อเป็นยาทดแทนในภาวะการขาดแอนติบอดี และเพื่อใช้เป็นสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิต่อต้านตนเองหรือภาวะการอักเสบของร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคทางโลหิตวิทยาและโรคทางระบบประสาทต่างๆ ภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตกที่สัมพันธ์กับ IVIG เป็นผลข้างเคียงของ IVIG ที่พบไม่บ่อยและยังคงไม่ได้รับการนึกถึง แม้จะมีการใช้ผลิตภัณฑ์ IVIG กันอย่างกว้างขวาง อุบัติการณ์ของภาวะเม็ดเลือดแดงแตกที่สัมพันธ์กับ IVIG นี้ยังไม่ทราบแน่ชัด ปัจจัยเสี่ยงของภาวะเม็ดเลือดแดงแตกที่สัมพันธ์กับ IVIG ได้แก่ กรุ๊ปเลือดของผู้รับที่ไม่ใช่เลือดกรุ๊ปโอ การได้รับยา IVIG ขนาดสูง และผลิตภัณฑ์ IVIG ที่มีระดับของแอนติบอดี้เอ/บีสูง ผู้จัดทำรายงานผู้ป่วยหญิงอายุ 62 ปี กรุ๊ปเลือดเอ มาด้วยอาการชาปลายมือปลายเท้า และอ่อนแรงแขนขาสองข้างซึ่งต่อมาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นกลุ่มอาการกิลแลงบาร์เร (Guillain-Barre syndrome) และได้รับการรักษาโดยยา IVIG ในขนาดสูง คือ 2 กรัม/กิโลกรัม หลังจากได้รับ IVIG ภายในสัปดาห์แรก ผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจางเฉียบพลันร่วมกับมีหลักฐานที่ทำให้สงสัยภาวะเม็ดเลือดแดงแตก จึงได้รับการรักษาด้วยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์หลังจากนั้นระดับฮีโมโกลบินค่อยๆดีขึ้นจนกลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ รายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างของผู้ป่วยที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตกหลังการได้รับยา IVIG ได้เป็นอย่างดี โดยผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดภาวะนี้ คือ มีกรุ๊ปเลือดเอ การได้รับยา IVIG ในขนาดสูงเป็นโรคที่มีอาการอักเสบทางระบบประสาท นอกจากนี้กระบวนการผลิต IVIG ที่ทำให้มีค่าแอนติบอดี้ชนิดเอสูงก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคโลหิตจางในผู้ป่วยรายนี้ ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกหลังได้รับยา IVIG นี้ เป็นภาวะที่พบได้โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกหลังได้ยา IVIG ดังนั้นหลังการให้ IVIG ควรตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดเป็นระยะๆ โดยเฉพาะในช่วงห้าถึงสิบวันแรกเพื่อเฝ้าระวัง ติดตาม และให้การรักษาอย่างทันท่วงที
  • ItemOpen Access
    ภาวะการกดเบียดระบบประสาทไขสันหลังจากโรคมะเร็ง
    (ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, 2024-05-30) วรเศรษฐ์ สายฝน; ศิริกัญญา รุ่งเรือง; ธนันต์ จิตรวัชรโกมล
    Malignant spinal cord compression (MSCC) คือ ภาวะการกดเบียดระบบประสาทไขสันหลังซึ่งเกิดจากมะเร็งลุกล้ำกระดูกสันหลังหรือเนื้อเยื่อข้างเคียง ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดทุพพลภาพทั้งในด้านการเคลื่อนไหว การรับรู้ความรู้สึก การขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ หากการดำเนินโรครวดเร็วหรือไม่ได้รับการรักษาที่ทันเวลาอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน นำไปสู่คุณภาพชีวิตและอัตราการรอดชีวิตที่ลดลง จึงเป็นภาวะฉุกเฉินทางโรคมะเร็งที่มีความสำคัญเร่งด่วน ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยที่รวดเร็วและให้การรักษาที่เหมาะสมโดยแพทย์สหสาขาวิชาชีพ ได้แก่ อายุรแพทย์โรคมะเร็ง แพทย์รังสีรักษา ประสาทศัลยแพทย์หรือศัลยแพทย์กระดูกสันหลัง แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู และควรได้รับการดูแลทางจิตใจร่วมด้วยเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด
  • ItemOpen Access
    ผลของการใช้เครื่องช่วยออกกำลังกายชนิดแสดงผล (GJ Biofeedback) สำหรับการออกกำลังกายหลังในผู้ป่วยปวดหลังส่วนล่าง
    (2017) ศิวรักษ์ ขนอม; นิดา วงศ์สวัสดิ์
    อาการปวดหลังส่วนล่างเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญพบได้บ่อยที่สุดในโรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ โดยเกิดขึ้นได้ทั้งกับวัยทำงานและวัยผู้สูงอายุ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังคือ การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ทั้งกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลัง ดังนั้น การออกกำลังกายเสริมความมั่นคงให้กับกล้ามเนื้อหลังอาจช่วยลดอาการปวดหลังและเพิ่มความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรมได้ การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้เครื่องช่วยออกกำลังกายชนิดแสดงผล (GJ Biofeedback) สำหรับการออกกำลังกายหลังในผู้ป่วยปวดหลังส่วนล่าง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยปวดหลังส่วนล่างที่มารับการรักษาที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนดมีความคล้ายคลึงกัน คือ อายุ ดัชนีมวลกาย และคะแนนอาการปวดหลังส่วนล่างสุ่มให้อยู่ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 20 ราย กลุ่มทดลองได้รับการรักษาทางการแพทย์และทางกายภาพบำบัดร่วมกับการออกกำลังกายเสริมความมั่นคงของกล้ามเนื้อหลังในขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับการรักษาทางการแพทย์ ร่วมกับการรักษาทางกายภาพบำบัด จำนวน 10 ครั้ง เป็นเวลา 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ดำเนินการศึกษา คือ เครื่องช่วยออกกำลังกายชนิดแสดงผล(GJ Biofeedback) แบบสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดระดับความปวดด้วยการมอง และแบบแสดงความเห็นระดับความพึงพอใจต่อการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล ใช้สถิติเชิงพรรณนาเปรียบเทียบคะแนนอาการปวดหลังส่วนล่างที่ลดลง ใช้สถิติ Wilcoxon Signed Ranks test เปรียบเทียบคะแนนอาการปวดหลังที่ลดลงของ 2 กลุ่มใช้สถิติt-test ที่เป็นอิสระต่อกันผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังทั้ง 2 กลุ่ม มีคะแนนอาการ ปวดหลังลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p<0.05) ผู้ป่วยในกลุ่มออกกำลังกายเสริมความมั่นคงของกล้ามเนื้อหลังโดยใช้เครื่องช่วยออกกำลังกายชนิดแสดงผล (GJ Biofeedback) มีอาการปวดหลังลดลงดีกว่ากลุ่มควบคุม แต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายเสริมความมั่นคงของกล้ามเนื้อหลัง โดยใช้ GJ Biofeedback สามารถช่วยลดอาการปวดหลังได้และสามารถใช้เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการออกกำลังกายเสริมความมั่นคงของกล้ามเนื้อหลัง
  • ItemOpen Access
    กรณีศึกษาแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพที่บ้านในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอัมพาตครึ่งซีก: ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก
    (2017) จิรพร บุญศรีทอง
    การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการให้แผนการฟื้นฟูสมรรถภาพที่บ้าน (Rehabilitation Home Program) สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาตครึ่งซีก ต่อการลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นแก่ผู้ป่วย ได้แก่ 1)ปวดไหล่และไหล่ติด 2) การพลัดตกหกล้ม 3) แผลกดทับ และกำหนดเป็นแนวทางในการบำบัดรักษาผู้ป่วย โดยศึกษาในผู้ป่วย 2 ราย และญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วย 2 ราย โดยคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง คือ เป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาตครึ่งซีก มีอาการป่วยในระยะ 0-6 เดือน อายุระหว่าง 20 – 90 ปี ญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วยเป็นคนเดิมตลอดระยะเวลา 3 เดือน โดยผู้ป่วยและญาติจะได้รับแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพที่บ้านสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาตครึ่งซีกในระยะอ่อนปวกเปียก โดยผู้วิจัยติดตามผลทุก 1 เดือน 2 เดือน และ 3 เดือน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบฟอร์มสังเกตญาติหรือผู้ช่วยเหลือผู้ป่วยขณะปฏิบัติตามแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพที่บ้าน แบบสัมภาษณ์ผู้ป่วย ญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วยต่อแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพที่บ้าน แบบประเมิน/บันทึกภาวะแทรกซ้อนระหว่างเข้าร่วมวิจัย และแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพที่บ้าน ฯ โดยจะมีการวัดระดับความเจ็บปวด องศาการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ ประเมินแผลกดทับ และการพลัดตกหกล้มของผู้ป่วยในระยะ 3 เดือน มาเปรียบเทียบ และใช้การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นตาราง นอกจากนี้ยังให้ญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วยทำแบบประเมินซึ่งเป็นข้อสอบจำนวน 24 ข้อ ก่อน และหลังได้รับแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพที่บ้าน ฯ เมื่อครบเดือนที่ 3 และนำผลคะแนนมาเปรียบเทียบก่อน และหลัง ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยรายที่ 1 มีอาการปวดไหล่และไหล่ติด โดยผู้ป่วยมีอาการปวดระดับปานกลางจนถึงปวดมาก (Vas Score 5 – 10) และไหล่ติด ตั้งแต่ช่วงกลางถึงช่วงสุดท้ายขององศาการเคลื่อนไหว โดยในการติดตามผลในเดือนที่ 3 พบว่า ผู้ป่วยรายนี้มีข้อไหล่ติดในทุกท่าของการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ โดยมี ความสอดคล้องกับคะแนนจากแบบสังเกตการฝึกปฏิบัติก่อน –หลัง โดยมีคะแนนที่ได้อยู่ในระดับต่ำถึงต่ำมาก ส่วนผู้ป่วยรายที่ 2 พบว่ามีอาการปวดไหล่ในเดือนที่ 1 และ 2 ที่ระดับปานกลางถึงน้อย(Vas Score 3 – 5) และไม่พบอาการปวดในเดือนที่ 3 ผู้เข้าร่วมวิจัยมีไหล่ติด ในช่วงสุดท้ายของการเคลื่อนไหวในเดือนที่ 1-2 และไม่พบไหล่ติดในเดือนที่ 3 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังได้รับแผนการฟื้นฟู สมรรถภาพที่บ้านฯ พบว่าคะแนนจากแบบสังเกตการฝึกปฏิบัติก่อน –หลังที่ได้อยู่ในระดับดีถึงดีมาก ญาติผู้ป่วยทั้งสองรายที่เข้าร่วมวิจัย หลังได้รับแผนการฟื้นฟู สมรรถภาพที่บ้านฯ มีคะแนนการทำแบบทดสอบเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยทั้งสองรายไม่พบการพลัดตกหกล้ม และแผลกดทับ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติตามแผนการ ฟื้นฟูสมรรถภาพที่บ้านฯ สามารถลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาตครึ่งซีกได้
  • ItemOpen Access
    ความเหมาะสมและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาต้านจุลชีพแบบคาดการณ์ อย่างเหมาะสมที่โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิแห่งหนึ่ง : การศึกษาเชิงพรรณนา
    (2023) อังศุนิตย์ พรคทาทัศน์; สถาพร ขนันไทย; พิจิตรา สมบูรณ์ภัทรกิจ; ศักดา กองพัฒน์พาณิชย์
    การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสมก่อให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเหมาะสมของการให้ยาปฏิชีวนะแบบคาดการณ์สำหรับโรคปอดอักเสบติดเชื้อและติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ณ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก จังหวัดนครปฐม เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนออนไลน์ย้อนหลังจากระบบโปรแกรม SSB ของโรงพยาบาล ในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561 ผู้ป่วยตามเกณฑ์การศึกษาได้รับเลือกมาจานวน 292 คน เพื่อทบทวนข้อมูลย้อนหลังและประเมินความเหมาะสมของการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแบบคาดการณ์ โดยความเหมาะสมของการใช้ยาจะถูกประเมินตามแนวทางการรักษาโรคติดเชื้อปอดอักเสบ (IDSA Guideline 2007) หรือทางเดินปัสสาวะ (EAU Guideline 2018) และเอกสารกำกับยาแต่ละชนิด หรือผลความไวของยาปฏิชีวนะ ในด้านของชนิด ขนาดและการบริหารยาต้านจุลชีพ โดยเภสัชกรผู้ร่วมวิจัย 2 คนที่เป็นอิสระต่อกัน และมีการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกับความเหมาะสมของการใช้ยาโดยใช้ Univariate Chi-Square Test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ในช่วงเวลาที่ศึกษามีผู้ป่วยรวม 292 คนได้รับการประเมิน แบ่งเป็นผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ 165 คนซึ่งได้รับยาอย่างเหมาะสม 129 คน (ร้อยละ 78.2) โดยปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือขนาดยาหรือความถี่ของการบริหารยาไม่เหมาะสม (41 คน คิดเป็นร้อยละ 24.85) และสำหรับโรคปอดอักเสบ (127 คน) มีผู้ป่วยที่ได้รับยาเหมาะสม 44 คน (ร้อยละ 34.6) โดยปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือการเลือกชนิดยาไม่สอดคล้องกับแนวทางการรักษา (40 คน คิดเป็นร้อยละ 31.50) ในโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การใช้ยาอย่างเหมาะสมตามแนวทางการรักษาหรือผลความไวเชื้อสัมพันธ์กับประวัติการได้รับยาปฏิชีวนะแบบครอบคลุมเชื้ออย่างกว้าง (X2=6.54, p=0.01) และประวัติการได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาล (X2=14.26, p<0.01) ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ส่วนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ ประวัติการทำหัตถการในระบบทางเดินหายใจ (X2=9.06,p<0.01) และประวัติการติดเชื้อแบบเรื้อรังในระบบทางเดินหายใจ (X2=9.05, p<0.01) นั้นสัมพันธ์กับการใช้ยาอย่างเหมาะสม ปัญหาการใช้ยาปฏิชีวนะแบบคาดการณ์นั้นมีความแตกต่างกันระหว่างข้อบ่งใช้ และผู้ป่วยบางกลุ่มอาจมีโอกาสได้รับยาปฏิชีวนะแบบครอบคลุมเชื้ออย่างกว้างที่เหมาะสมมากกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแพทย์ควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ดังนั้นผลวิจัยนี้จึงเป็นข้อมูลพื้นฐานที่จำเพาะกับโรงพยาบาล ที่สามารถนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาคุณภาพการใช้ยาปฏิชีวนะในอนาคตและใช้กำหนดตัวชี้วัดที่เป็นบรรทัดฐานของโรงพยาบาลภายหลังจากเริ่มดำเนินการโครงการควบคุมกากับดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมต่อไป
  • ItemOpen Access
    การวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์ดามขาป้องกันข้อสะโพกเคลื่อนหลุด สำหรับผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก
    (2017) ศิวรักษ์ ขนอม; นิดา วงศ์สวัสดิ์
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ดามขาป้องกันข้อสะโพกเคลื่อนหลุดสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก เนื่องจากผู้ป่วยหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกจะต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพที่ถูกวิธีและเปลี่ยนแปลงท่าทางต่าง ๆ ในชีวิตประจาวัน งานวิจัยนี้ออกแบบอุปกรณ์ดามขาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนข้อสะโพกเทียมเคลื่อนหลุดที่เกิดในท่านอน ท่านั่ง และการเคลื่อนย้ายตนเองในท่านอนหงายจนมานั่งข้างเตียง โดยออกแบบให้อุปกรณ์ทำจากวัสดุที่หาได้ง่ายในประเทศไทย มีความปลอดภัย ใช้งานง่าย ดูแลรักษาง่าย สามารถปรับขนาดอุปกรณ์ให้เหมาะสมในแต่ละคนได้ และมีราคาไม่แพง จากนั้นนำอุปกรณ์มาตรวจสอบและสอบถามความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ 10 ท่าน พบว่าหัวข้อรูปทรง น้าหนัก ความสะดวกและง่ายต่อการใช้งาน ความปลอดภัย เคลื่อนย้ายสะดวก ความทนทาน ใช้แล้วได้ประโยชน์ และความคิดเห็นต่อภาพรวมอุปกรณ์มีระดับความเห็นด้วยระดับปานกลางขึ้นไปในทุก ๆ หัวข้อ โดยหัวข้อการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ได้สะดวกมีคะแนนความคิดเห็นมากที่สุดถึงร้อยละ 80