MS-Article

Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/21

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 48
  • PublicationOpen Access
    CLASSICAL DOUBLE BASS PEDAGOGY FOR INTERMEDIATE JAZZ BASS STUDENTS: A CASE STUDY
    (2023) Tanarat Chaichana; ธนรัตน์ ไชยชนะ
    Numerous renowned jazz bassists, such as Ron Carter, Eddie Gomez, Christian McBride, and John Patitucci, underwent classical music training. However, other jazz musicians can be skeptical about whether classical training would enhance the quality of jazz performances. To examine the benefits of a classical bass method to jazz bassists, the researcher demonstrates a study of four hours of classical bass training to bass students who had received jazz training at the intermediate level. These four classical bass lessons include the study of appropriate postures for the bassist, the use of the double bass bow, left-hand techniques covering positions I–VII, and the study of thumb position. Consequently, four criteria from the class observations indicate that classical bass training may improve the quality of jazz bass performances.
  • PublicationOpen Access
    การจัดการเรียนการสอนเปียโนคลาสสิกสําหรับนักเรียนเจเนอเรชันแอลฟา: กรณีศึกษา เสกข์ ทองสุวรรณ
    (2567) ธันยพร อัศววีระเดช; ตรีทิพ บุญแย้ม; ปรีญานันท์ พร้อมสุขกุล; Thunyaporn Assawaweeradej; Treetip Boonyam; Preeyanun Promsukkul
    บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการเรียนการสอนเปียโนคลาสสิกสําหรับนักเรียนเจเนอเรชันแอลฟาของครูเสกข์ ทองสุวรรณ รวมถึงประวัติและผลงานของครูเสกข์ ทองสุวรรณ เนื่องด้วยในปัจจุบันนี้ครูเสกข์ ทองสุวรรณ เป็นครูสอนเปียโนคลาสสิกชาวไทยที่มีชื่อเสียงและประสบความสําเร็จในด้านการสอนอย่างมาก โดยครูเสกข์ ทองสุวรรณ ยังเป็นคนไทยคนแรกที่จบการศึกษาด้านเปียโนคลาสสิกในระดับ A Specialist in Piano Performance จาก St. Petersburg State Conservatory ประเทศรัสเซีย ด้วยศักยภาพในการสอนและความสามารถในการถ่ายทอดของครูเสกข์ ทองสุวรรณ ทําให้นักเรียนของครูเสกข์ ทองสุวรรณ มีพัฒนาการในการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้พบว่าภายในระยะเวลา 10 ปี นักเรียนของครูเสกข์ ทองสุวรรณ ได้รับรางวัลจากการเข้าร่วมการแข่งขันเปียโนทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 100 รางวัลจากที่กล่าวมาในข้างต้น ผู้วิจัยจึงเกิดความสนใจในการจัดการเรียนการสอนเปียโนคลาสสิกของครูเสกข์ทองสุวรรณ สําหรับนักเรียนเจเนอเรชันแอลฟา เพื่อนําข้อมูลที่ได้ไปเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนเปียโนคลาสสิกแก่คุณครูสอนเปียโนทุกท่านการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีการเก็บข้อมูลภาคสนามด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูเสกข์ ทองสุวรรณ เป็นครูสอนเปียโนผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถในการสอนนักเรียนอย่างหลากหลายประเภท ช่วงวัย โดยเฉพาะความสามารถในการถ่ายทอดความรู้แก่นักเรียนเยาว์วัย 2) การจัดการเรียนการสอนเปียโนคลาสสิกสําหรับนักเรียนเจเนอเรชันแอลฟา ได้แก่ (1) จุดประสงค์ ประกอบด้วย การพัฒนาด้านสมาธิ ความพยายาม และความอดทน ตลอดจนให้สอดคล้องกับความคาดหวังจากผู้ปกครอง (2) เนื้อหา ประกอบด้วย หลักสูตรเฉพาะบุคคล การอ่านโน้ต การฝึกความแข็งแรงของนิ้ว การตีความและสื่อสารอารมณ์เพลง การสอนบทเพลง และการสอนทักษะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (3) กิจกรรมการเรียนการสอน ประกอบด้วย การรับสมัครและข้อตกลงเบื้องต้น หลักการสอน เทคนิคและวิธีการสอน และลําดับขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน (4) สื่อการสอน ประกอบด้วย แกรนด์เปียโน โน้ตเพลง แฟลชการ์ด เมโทรนอม ไอแพด และแอปพลิเคชัน Note Rush และ (5) การวัดและประเมินผล ประกอบด้วย การส่งงานและการสอบวัดระดับความสามารถทางดนตรีของศูนย์สอบ ABRSM ผลการศึกษานี้สามารถนําไปเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเปียโนคลาสสิกให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • PublicationOpen Access
    ทิศทางหลักสูตร ศิลป์-ดนตรี ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
    (2567) ธัญญ์รภัสร์ ดิตถ์ดํารงสกุล; ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์; Thanraphat Ditdumrongsakul; Narongchai Pidokrajt
    บทความวิชาการเรื่อง ทิศทางหลักสูตร ศิลป์-ดนตรี ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ผู้เขียนได้ดําเนินการวิเคราะห์หลักสูตรและเอกสารวิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําเสนอสารัตถะดนตรีที่ปรากฏในหลักสูตรการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนสายสามัญที่บรรจุศิลป์-ดนตรีไว้ในหลักสูตร โดยอธิบายข้อมูลในเรื่องหลักสูตรดนตรีในโรงเรียน โครงสร้างหลักสูตร และรายวิชาเพิ่มเติมในหลักสูตรดนตรี รวมถึงการสัมภาษณ์อาจารย์ในโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรดนตรี ในบทความนี้นําเสนอโรงเรียน4 โรงเรียนที่มีการจัดการเรียนการสอนศิลป์-ดนตรีที่มีความแตกต่างกัน คือ 1) โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย จังหวัดศรีสะเกษ 2) โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) 3) โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการสุวรรณภูมิ และ 4) โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า สมุทรปราการ การศึกษานี้พบว่า โรงเรียนมีความยืดหยุ่นในการวางโครงสร้างหลักสูตรให้เหมาะสมกับบริบทโรงเรียนจุดมุ่งหมาย และเป้าหมายในการเรียนหลักสูตรดนตรีในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของแต่ละโรงเรียน ส่งผลให้การจัดการเรียนการสอนดนตรีในโรงเรียนแต่ละแห่งมีความแตกต่างกันชัดเจน ทิศทางในการสร้างและพัฒนาหลักสูตรดนตรีในอนาคต การจัดการเรียนการสอนต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความรู้และความสามารถของผู้เรียนรายบุคคลภายใต้กรอบมาตรฐานของความรู้ความสามารถทางดนตรีที่ผู้เรียนควรได้รับ โดยมีครูผู้สอนเป็นหัวใจสําคัญในการถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของผู้เรียนให้มีความเป็นเลิศสูงสุด นอกจากนี้รายวิชาควรมีความหลากหลายเพื่อตอบโจทย์สายอาชีพในปัจจุบันทั้งในประเทศและระดับสากล เพื่อให้ผู้เรียนได้มีมุมมองทางด้านการศึกษาและสายอาชีพอย่างกว้างไกล
  • PublicationOpen Access
    งานวิจัยสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลง แอน อิมเพอเฟค สคีมสําหรับอัลโตแซกโซโฟน
    (2567) วิศุวัฒน์ พฤกษวานิช; Wisuwat Pruksavanich
    งานวิจัยสร้างสรรค์บทประพันธ์ แอน อิมเพอเฟค สคีมสําหรับอัลโตแซกโซโฟน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและนําเสนอเทคนิคแซกโซโฟนร่วมสมัย คือ การตัดลิ้นโดยใช้สุญญากาศการเป่าหลายเสียงในเวลาเดียวกันการเล่นโน้ตระดับเสียงเดิมโดยใช้ปุ่มกดที่ต่างกัน ในดนตรีแนวโปรเกรสซีฟ ร็อกโดยใช้เทคนิคทั้งสามแบบมาเป็นองค์ประกอบหลักในการนําเสนอบทประพันธ์ ผู้วิจัยดําเนินการวิจัยด้วยการวิเคราะห์เทคนิคแซกโซโฟนร่วมสมัยที่อยู่ในบทประพันธ์ รวมถึงการประยุกต์นําเทคนิคแซกโซโฟนร่วมสมัยไปใช้ในบทประพันธ์ ผู้วิจัยพบว่าเทคนิคการตัดลิ้นโดยใช้สุญญากาศมีข้อจํากัดเมื่ออยู่ในจังหวะที่เร็ว เทคนิคการเป่าหลายเสียงในเวลาเดียวกันและเทคนิคการเล่นโน้ตระดับเสียงเดิมโดยใช้ปุ่มกดที่ต่างกัน ควรคํานึงถึงรูปแบบของการกดนิ้วที่ต้องการความคล่องตัวและมีความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงกันของแต่ละโน้ต โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในจังหวะที่เร็ว ทั้งนี้ด้วยการนําเทคนิคทั้ง 3 แบบมาผสมผสานเข้ากับองค์ประกอบของต่างๆ ของบทประพันธ์ จึงได้ผลลัพธ์เป็นบทประพันธ์ที่ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของเสียงแซกโซโฟน รวมถึงการนําเสนอแซกโซโฟนในรูปแบบของดนตรีแนวโปรเกรสซีฟ ร็อก
  • PublicationOpen Access
    EXPANDING 21ST CENTURY PERFORMER GENRE BOUNDARIES - INTRODUCING THAI LUK THUNG ELEMENTS TO THAILAND TRUMPET PERFORMERS
    (2023) Patcharee Suwantada; Joseph Bowman; พัชรี สุวรรณธาดา; โจเซฟ โบว์แมน
    Trumpet performers in the 21st century should be able to adapt their instrumental skills to perform various styles of music. In Thailand’s current musical industry, trumpet players who can perform diverse styles of music have more employment prospects. Luk Thung music (Thai country/folk music) is one such style. Thai Luk Thung music has a unique character that demands high trumpet skill to perform. The purpose of this research was to design a Luk Thung trumpet training program according to guidelines derived from previous study results. The two research questions were 1) How effectively can Luk Thung elements and techniques be introduced to Thai trumpet students? and 2) Does the course enable trumpet players to improve their understanding and performance of Thai Luk Thung style? The program duration was 12 weeks. Classes were held once a week (two hours per class). A group of ten trumpet students between the ages of 15-18 years old who had limited prior experience playing Luk Thung music in school Luk Thung band from the local area (Songkhla province, southern Thailand) were selected to participate in the program. Data was collected using performance pre-tests and pre-interviews before the program started. All lessons were recorded and observed by the researchers. After the course was finished, all participants did performance post-tests and post-interviews. The results after participating in the program found that trumpet techniques commonly found in Luk Thung music such as lip slurs and trumpet special sound effects were considered something new for students. What students learned during this program changed their attitudes about playing Luk Thung music and helped them improve their confidence in approaching Luk Thung style. However, the duration of the training program was not long enough, according to student participants, many of whom wanted longer instruction periods.
  • PublicationOpen Access
    5 เพลงทํานองสวด ประพันธ์โดยบรูซ แกสตัน
    (2566) ทรงศักดิ์ งามศรี; ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์; Songsak Ngamsri; Narongchai Pidokrajt
    บทความทางวิชาการนี้มีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอให้เห็นแนวความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธ์ 5 เพลงทำนองสวดร่วมสมัยของอาจารย์บรูซ แกสตัน ดังต่อไปนี้ 1. เพลงข้าแต่พระเจ้า 2. เพลงศักดิ์สิทธิ์ 3. เพลงลูกแกะพระเจ้า 4. เพลงพระสิริ และ 5. เพลงสดุดีที่ 84 ในปี พ.ศ. 2517 อาจารย์บรูซ แกสตันได้ประพันธ์เพลงทำนองสวดทั้ง 5 บทเพลงนี้ขณะสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบทเพลงที่ใช้ใน คริสตศาสนพิธีกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ 5 เพลงทำนองสวดประพันธ์ในสังคีตลักษณ์แบบดนตรีตะวันตก แต่การขับร้องและการบรรเลงใช้ระบบเสียงแบบดนตรีไทย เพลงข้าแต่พระเจ้าประพันธ์ในรูปแบบเพลงล้อไล่ เพลงศักดิ์สิทธิ์ประพันธ์ในรูปแบบเพลงกึ่งขับร้องกึ่งเจรจา เพลงลูกแกะพระเจ้าประพันธ์แบบเพลงชานท์ในยุคกลาง ส่วนเพลงพระสิริและเพลงสดุดีที่ 84 ประพันธ์ในรูปแบบอิสระ มีการประสานเสียง 4 แนว แต่เพลงสดุดีที่ 84 มีแนวขับร้องเดี่ยวสำหรับนักร้องเสียงเทเนอร์ ปัจจุบันเพลงพระสิริและเพลงสดุดีที่ 84 ยังคงมีโน้ตเพลงต้นฉบับปรากฏให้พบเห็น ส่วนเพลงข้าแต่พระเจ้า เพลงศักดิ์สิทธิ์ และเพลงลูกแกะพระเจ้านั้นโน้ตเพลงต้นฉบับได้หายสาบสูญไปหมดแล้ว จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2565 เดือนมีนาคม เพลงทำนองสวดทั้ง 3 เพลงนี้มีการบันทึกโน้ตขึ้นใหม่อีกครั้งโดยผู้เขียนและนำมาใช้ศึกษาแนวความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธ์เพลงทำนองสวดร่วมสมัยของผู้ประพันธ์
  • PublicationOpen Access
    บทวิเคราะห์และแนวทางการฝึกซ้อมเพื่อบรรเลงบทเพลง “บุษบา” สําหรับเครื่องมาริมบาและเปียโน ประพันธ์โดย กิตติ เครือมณี
    (2566) Wannapha Yannavut; วรรณภา ญาณวุฒิ
    บทวิเคราะห์และแนวทางการฝึกซ้อมเพื่อบรรเลงบทเพลง “บุษบา” สําหรับเครื่องมาริมบาและเปียโน ประพันธ์โดยกิตติ เครือมณี มุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์บทเพลงโดยรวม มีการนําเสนอแนวทางการฝึกซ้อมและบรรเลงบนเครื่องมาริมบา ทําให้เข้าใจ ตีความ และเลือกใช้เทคนิคการบรรเลงมาริมบาได้อย่างเหมาะสมและหลากหลาย เพื่อให้ผู้อ่านและผู้สนใจในการนําบทเพลงนี้ไปแสดง มีความรู้ความเข้าใจ สามารถบรรเลงร่วมกับเปียโนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้ประพันธ์ได้ใช้เทคนิคการบรรเลงเครื่องกระทบตะวันตกรวมเข้ากับเทคนิคการบรรเลงเครื่องกระทบไทย รวมถึงแนวทํานองและเสียงประสานที่ผสมผสานดนตรีไทยและตะวันตกอย่างลงตัวฟังง่าย น่าสนใจ ซึ่งผู้ประพันธ์ได้ประพันธ์บทเพลง “บุษบา” เพื่อส่งเสริม สืบสาน การนําเพลงไทยมาเสนอในรูปแบบผสมผสานกับดนตรีตะวันตก ทําให้เห็นถึงทํานอง สํานวน โวหารแบบไทยผสมแนวดนตรีตะวันตก และบรรเลงบนเครื่องดนตรีตะวันตก เกิดเป็นการสร้างงานศิลปะและเผยแพร่ความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี
  • PublicationOpen Access
    THE EFFECT OF MUSIC THERAPY ON STRESS AMONG CAREGIVERS OF PATIENTS WITH DEMENTIA
    (2023) Rinnatha Asawahiranwarathon; Natee Chiengchana; Ni-on Tayrattanachai; รินทร์ณฐา อัศวหิรัญวราธร; นัทธี เชียงชะนา; นิอร เตรัตนชัย
    The purpose of this study was to investigate the effectiveness of music therapy interventions on stress reduction among caregivers of patients with dementia in Thailand. A quasi-experimental repeated-measures design was used to compare the effect of music therapy on stress level among pre-test, mid-test, and post-test. 10 participants were selected to participate in music therapy activities for 10 sessions through the Zoom Meeting Platform. Music therapy interventions consisted of music listening, music and relaxation, music playlist, and songwriting activities. In terms of research instruments, the Perceived Stress Questionnaire (PSQ) was used to measure the stress level and a general questionnaire was used to collect the demographic background of the participants. Repeated-Measures ANOVA was used to compare the results among pre-, mid-, and post-interventions. The results showed that mean stress scores in dementia caregivers among pre-, mid-, and post-test were statistically significant at .05 level. The mean stress score of post-test (M = 65.60, SD = 16.801) was lower than both the pre-test (M = 85.60, SD = 19.317), and mid-test (M = 71.10, SD = 19.122). The findings revealed that music therapy is significantly effective in reducing stress among caregivers of patients with dementia.
  • PublicationOpen Access
    AN INVESTIGATION OF MUSIC THERAPY FOR IMPROVING REQUESTING SKILLS IN A CHILD WITH AUTISM SPECTRUM DISORDER: A SINGLE–CASE RESEARCH DESIGN
    (2024) Thatsapol Koedkhumtong; Natee Chiengchana; Ni-on Tayrattanachai
    The purpose of this study was to investigate the effectiveness of music therapy on requesting skills in a seven-year-old child with autism spectrum disorder [ASD]. ABAB single-case design was used to examine music therapy in two situations of requesting skills, including requesting objects and snacks between baseline condition (A) and music therapy interventions (B). The music therapy interventions consisted of singing, instrument playing, movement with music, and music with social stories. The research instruments were: 1) initial assessment, 2) interview protocol, 3) assessment of communicative requesting skills, and 4) observational protocol. The data was analyzed using visual inspection and qualitative data analysis. The results revealed that during the baseline A1 phase, the mean scores of requesting skills revealed to be 3.08 for objects and 3.52 for snacks. In the intervention B1 phase, the mean scores were 3.64 for objects and 3.35 for snacks. At the baseline A2 phase, the mean scores were 4.00 for objects and 3.88 for snacks. The mean scores in the B2 intervention phase were 4.5 for objects and 4.6 for snacks, respectively. According to the findings, music therapy significantly enhanced the requesting skills of a child with ASD.
  • PublicationOpen Access
    THE SIGNIFICANCE OF PERFORMING RACHMANINOFF'S 24 PRELUDES AS A CYCLE
    (2023) Eri Nakagawa; เอริ นาคากาวา
    Sergei Rachmaninoff wrote Prelude, Op. 3, No. 2; 10 Preludes, Op. 23; and 13 Preludes, Op. 32 in all 24 different keys, following the trend of his Russian contemporary composers such as Felix Blumenfeld, Anton Arensky, Alexander Scriabin, Cgif.latex?\acute{e}sar Cui, and Reinhold Gligif.latex?\grave{e}re. Although Rachmaninoff's 24 Preludes, Op. 3, No. 2; Op. 23; and Op. 32 were written at three different periods in 1892, 1903 and 1910 respectively, the complete cycle of all 24 Preludes was published in a single volume in 1911. Unlike the systematic order in the sets of Johann Sebastian Bach's The Well-Tempered Clavier and Frgif.latex?\acute{e}dgif.latex?\acute{e}ric Chopin's 24 Preludes, Op. 28, the key organization of Rachmaninoff's 24 Preludes seems random at first glance; however, they are uniquely integrated by the cyclical manipulation of tonal and rhythmic relationships and thematic ideas. This article reveals the significance of performing the 24 Preludes as a cycle by focusing on the following aspects: key scheme; use of common tones; anticipation of opening material at the end of the preceding prelude; use of the interval of a second; use of chromaticism; use of bell-like tones; cyclical use of two motives of Op. 3, No. 2; organization of tempi in Op. 23; and use of rhythms and compound meters in Op. 32.
  • PublicationOpen Access
    แนวทางการจัดการเรียนการสอนเปียโนคลาสสิกระดับกลางของสถาบันเปียโนบางกอก
    (2567) ขวัญชนก อิศราธิกูล; ปรีญานันท์ พร้อมสุขกุล; นิอร เตรัตนชัย; Kwanchanok Isarathikul; Preeyanun Promsukkul; Ni-on Tayrattanachai
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนเปียโนคลาสสิกระดับกลางในสถาบันเปียโนบางกอก และ 2) นําเสนอแนวทางการจัดการเรียนการสอนเปียโนคลาสสิกระดับกลางในรูปแบบคู่มืออิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้วิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักจากสถาบันเปียโนบางกอก จํานวน 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 2 ท่าน และ 2) กลุ่มครูเปียโน 10 ท่าน ใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลแบบอุปนัย และนําเสนอข้อมูลในรูปแบบเชิงพรรณนาวิเคราะห์จากการศึกษา พบว่า 1) สภาพการจัดการเรียนการสอน ครูผู้สอนยึดถือหลักการเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ โดยมีการออกแบบการเรียนการสอนตามความสามารถและองค์ความรู้เดิมของผู้เรียน และ 2) แนวทางการจัดการเรียนการสอน พบว่า (1) ด้านครูผู้สอน ควรมุ่งเน้นการทํางานร่วมกันในสถาบัน ระหว่างครูระดับศิลปิน ผู้ช่วยศิลปิน และครูผู้สอน และควรมีทัศนคติที่ยืดหยุ่นให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์จากครูท่านอื่น (2) ด้านผู้เรียน ควรเน้นการออกแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน ทั้งทางด้านร่างกาย อายุ ทักษะปฏิบัติ และความคาดหวังของผู้ปกครอง (3) ด้านการจัดการเรียนการสอน ควรมุ่งเน้นให้ผู้ปกครองและผู้เรียนมีส่วนรวมในการวางแผนการเรียนรู้ (4) ด้านสภาพแวดล้อม ควรคํานึงถึงการจัดพื้นที่ใช้สอยอย่างเหมาะสม การใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพ และเอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
  • PublicationOpen Access
    แนวทางการผลิตเสียงสําหรับเครื่องกระทบคลาสสิก
    (2567) วรรณภา ญาณวุฒิ; ธนสิทธิ์ ศิริพานิชวัฒนา; Wannapha Yannavut; Tanasit Siripanichwattana
    งานวิจัยแนวทางการผลิตเสียงบนเครื่องกระทบคลาสสิก มุ่งเน้นไปที่การศึกษา รวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล และนํามาสร้างแบบฝึกหัดเพื่อให้นักศึกษาได้ทดลองใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในการผลิตเสียงที่ดีตามความต้องการและแตกต่างกันตามสัญลักษณ์ที่ต่างกัน โดยทีมผู้วิจัยได้ประพันธ์โน้ตเพลงสําหรับกลองทอมให้กลุ่มนักศึกษาผู้เข้าร่วมทดลองจํานวน 9 คนได้ทําการบรรเลงและฝึกซ้อมหลังจากได้รับโน้ตเป็นเวลา 1 วันเต็ม จึงทําการบันทึกเสียง จากนั้นได้ให้นักศึกษากลุ่มทดลองเข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการจากทีมผู้วิจัย เพื่อให้เข้าใจการทํางานของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ อาทิ นิ้ว ข้อมือ แขน หัวไหล่ เป็นต้น เพื่อสามารถผลิตเสียงให้มีความดัง เบา ชัด คม สั้น ยาว ลึก ฯลฯ แตกต่างกันตามสัญลักษณ์และค่าโน้ตที่ต่างกันได้ชัดเจนขึ้น จากนั้นทําการบันทึกเสียงอีกครั้ง และจากการบันทึกเสียงทั้ง 2 ครั้ง ได้นําคลื่นเสียงไปวางลงในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทําให้ได้ทราบผลการวิจัยว่าเสียงที่ได้รับการฝึกใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ด้วยความเข้าใจมากขึ้นแล้ว ทําให้สามารถผลิตเสียงได้ตามความต้องการและตรงกับสัญลักษณ์ รวมทั้งค่าโน้ตต่างๆ ที่ปรากฏในบทประพันธ์ได้ชัดเจนขึ้น
  • PublicationOpen Access
    วิเคราะห์การบรรเลงคีตปฎิภาณของออสการ์ ปีเตอร์สัน ในบทเพลงเดอะเกิร์ลฟรอมอิปาเนมา
    (2567) กริชพล อินทนิน; Krichapol Inthanin
    ผลงานการบรรเลงคีตปฎิภาณของออสการ์ ปีเตอร์สัน ในบทเพลงเดอะเกิร์ลฟรอมอิปาเนมา ถือเป็นบทเพลงที่ครบถ้วนทั้งความไพเราะและเนื้อหาสาระทางดนตรี บทความวิจัยนี้จึงได้นำเอาส่วนของคีตปฎิภาณมาวิเคราะห์ในแง่ของการประสานเสียงและจังหวะ รวมไปถึงเทคนิคเฉพาะตัวอื่น ๆ ผลการวิเคราะห์พบว่า การบรรเลงคีตปฎิภาณของออสการ์ได้ใช้การเลือกโน้ตที่อ้างอิงตามความสัมพันธ์ของคอร์ดและบันไดเสียงมาเพื่อสร้างท่วงทำนอง และในทางกลับกันยังสามารถใช้บันไดเสียงบลูส์มาสร้างทำนองโดยไม่ยึดโยงกับความสัมพันธ์ของคอร์ดได้อีกด้วย ในส่วนของจังหวะแสดงให้เห็นถึงเทคนิคในการเน้นและจับกลุ่มของโน้ต เพื่อสร้างให้เกิดทิศทางใหม่ ๆ ขึ้น โดยพบเทคนิคในการบรรเลงคีตปฎิภาณดังนี้ อัพเปอร์สตรัคเจอร์, ริธึมมิกดิสเพลสเมนท์, การใช้อาร์เปโจจากไดอาโทนิก, เฮมิโอลา, เทิร์นอะราวด์ และฮาร์โมนิกเจเนอรัลไลเซซัน
  • PublicationOpen Access
    กระบวนการถ่ายทอดความรู้และเทคนิคการบรรเลงขลุ่ยในบทเพลงไทยลูกทุ่ง
    (2567) ณัฐภัทร เรืองบุญ; ธันยาภรณ์ โพธิกาวิน; ปรีญานันท์ พร้อมสุขกุล; Nutthapat Ruangboon; Dhanyaporn Phothikawin; Preeyanun Promsukkul
    การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชีวประวัติของผู้เชี่ยวชาญด้านการบรรเลงขลุ่ยในบทเพลงไทยลูกทุ่ง ศึกษากระบวนการถ่ายทอดความรู้และเทคนิคการบรรเลงและสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ใช้ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Study) โดยศึกษาแบบปรากฏการณ์วิทยาแนวการตีความ (InterpretativePhenomenology) กําหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสําคัญเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบรรเลงขลุ่ย 7 ท่าน โดยใช้การคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation)ผลการวิจัยพบว่า ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 7 ท่าน มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านการบรรเลงขลุ่ยในบทเพลงไทยลูกทุ่ง กระบวนการถ่ายทอดความรู้และเทคนิคในการบรรเลงขลุ่ยในบทเพลงไทยลูกทุ่งที่ผู้เชี่ยวชาญใช้ ประกอบด้วย หลักการถ่ายทอดความรู้ วิธีการในการถ่ายทอดความรู้สําหรับเด็กและวิธีสําหรับผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่ ขั้นตอนในการถ่ายทอดความรู้และจิตวิทยาในการสอน นอกจากนี้พบเทคนิคที่ใช้ในการบรรเลง ได้แก่ การนั่งและท่าทาง การจับขลุ่ย การใช้ลม การเลือกใช้ระบบนิ้ว การคัดเลือกขลุ่ย และการคัดเลือกบทเพลง ซึ่งได้พบปรากฏการณ์ที่สะท้อนความหมาย ดังนี้ ภูมิหลังของกระบวนการถ่ายทอดความรู้ พบว่าผู้เชี่ยวชาญนําประสบการณ์ในอดีตมาปรับใช้ในการสอนขลุ่ย พัฒนาการจากขลุ่ยไทยสู่ขลุ่ยไทยคีย์สากล พบว่าขลุ่ยมีการพัฒนาเรื่องวัสดุอุปกรณ์และเรื่องระบบเสียง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับเทคนิคการบรรเลงขลุ่ย พบการปรับเทคนิคให้เหมาะสมกับการบรรเลงในบทเพลงไทยลูกทุ่ง การดํารงชีพของคนขลุ่ยในปัจจุบัน พบว่าคนขลุ่ยในปัจจุบันสามารถประกอบอาชีพได้หลากหลาย เช่น นักดนตรีในห้องบันทึกเสียง นักสร้างสรรค์เนื้อหา และการเรียนรู้ในยุคใหม่พบว่าการเรียนดนตรีไทยสามารถเรียนรู้ได้จากสื่อออนไลน์ที่มีเนื้อหาที่ครบถ้วน การสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ประกอบไปด้วยบทที่ 1 ประวัติของผู้เชี่ยวชาญ บทที่ 2 กระบวนการถ่ายทอดความรู้ บทที่ 3 เทคนิคการบรรเลงขลุ่ยในบทเพลงไทยลูกทุ่ง
  • PublicationOpen Access
    กระบวนการถ่ายทอดศิลปะการรําสวดของคุณวิชัย เวชโอสถ คณะรําสวดวิชัยราชันย์
    (2567) ณฐพล วรรณจนา; ธันยาภรณ์ โพธิกาวิน; ปรีญานันท์ พร้อมสุขกุล; Nathapol Wanjana; Dhanyaporn Phothikawin; Preeyanun Promsukkul
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประวัติและผลงานด้านรําสวดของคุณวิชัย เวชโอสถ คณะรําสวดวิชัยราชันย์ และ 2) เพื่อศึกษากระบวนการถ่ายทอดศิลปะการรําสวดของคุณวิชัย เวชโอสถ คณะรําสวดวิชัยราชันย์กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง คือ คุณวิชัย เวชโอสถ และกลุ่มลูกศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดศิลปะการรําสวดจากคุณวิชัย เวชโอสถ จํานวน 5 คน โดยคัดเลือกจากบุคคลที่ได้รับการถ่ายทอดศิลปะการรําสวดกับคุณวิชัย เวชโอสถ ตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสัมภาษณ์แบบเจาะลึก แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และแบบสังเกตแบบมีส่วนร่วมผลการวิจัยพบว่าคุณวิชัย เวชโอสถ เจ้าของคณะวิชัยราชันย์ เป็นผู้ที่มีผลงานการแสดงด้านการรําสวดเป็นที่ยอมรับในจังหวัดจันทบุรี ได้รับบัตรประกาศเกียรติคุณเป็นวิทยากรภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้ความรู้เกี่ยวกับการแสดงรําสวด และได้ก่อตั้งคณะรําสวดวิชัยราชันย์มาแล้วร่วม 10 ปี โดยมีกระบวนการถ่ายทอดศิลปะการรําสวด แบบมุขปาฐะ คัดเลือกลูกศิษย์จากผู้ที่มีใจรักในการรําสวด โดยเริ่มจากการถ่ายทอดด้านดนตรี การร้อง และการรํา ใช้เทคนิคการถ่ายทอดตามหลักจิตวิทยาเพื่อสร้างแรงจูงใจ ในด้านเนื้อหาและบทเพลง ได้นําบทร้องจากเรื่องในวรรณคดีไทยต่างๆ ด้านการรําใช้นาฏยศัพท์พื้นฐานและท่ารํามาตรฐานเพื่อนํามาถ่ายทอด และใช้สื่อออนไลน์ในการถ่ายทอดเพื่อเพิ่มเติมการเรียนรู้ นอกจากนี้ยังใช้การแสดงเพื่อวัดและประเมินผลในการถ่ายทอดความรู้ สถานที่ถ่ายทอดคือบ้านของคุณวิชัย จังหวัดจันทบุรี ลูกศิษย์ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนในชุมชนใกล้เคียงที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครอง
  • PublicationOpen Access
    A PRACTICAL GUIDE FOR STUDYING BASSIST JOHN PATITUCCI'S PERFORMANCE OF "LIKE SOMEONE IN LOVE"
    (2024) Tanarat Chaichana; ธนรัตน์ ไชยชนะ
    Jazz pedagogy has always been associated with learning by ear. In fact, it is common for inexperienced jazz musicians to listen carefully to jazz masters and try to imitate them before experimenting on their instruments. However, as jazz education gained popularity, this approach spread beyond imitating previous performances on an instrument to transcribing performances in traditional notation. Unlike other transcription research, which provides the result through musical analysis, this study delivered three musical exercises- two-feels, walking basslines, and solo - that can be used for additional practice to gain a greater practical understanding of Patitucci's musical approach. By working on these bass exercises, jazz Bass players can become more proficient in Patitucci's performance methods. The research method consists of three major strands: (1) transcribing the bass solo and accompaniment lines of John Patitucci's live performance of "Like Someone in Love," (2) providing a comprehensive musical analysis of Patitucci's performance, and (3) create bass exercises drawn from a musical analysis of John Patitucci's performance. The researcher transcribed John Patitucci and Chuck Loeb's rendition of "Like Someone in Love" on ArtistWorks, a professional online music learning platform. The bass transcription of this research consists of 162 bars (5 choruses). As a result, the comprehensive musical analysis reveals several of Patitucci's musical techniques, such as the use of slide notes, the chromatic approach, the rootless technique, and double-time during this performance. The research approach of this study can be used by jazz performers and educators who wish to integrate musical knowledge drawn from the transcription process into musical exercise.
  • PublicationOpen Access
    การประพันธ์ทางเดี่ยวซออู้ เพลงเชิดนอก
    (2566) นริศรา ศักดิ์ปัญจโชติ; ดวงฤทัย โพคะรัตน์ศิริ; ณัฐชยา นัจจนาวากุล; Narisara Sakpunjachot; Duangruthai Pokaratsiri; Nachaya Natchanawakul
    การประพันธ์ทางเดี่ยวซออู้ เพลงเชิดนอก มีแนวคิดการประพันธ์ทางเดี่ยวโดียใช้ทางปี่ในเป็นพื้นฐาน เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่ปรากฏบทเพลงดังกล่าวสําหรับทางเดี่ยวซออู้ ผู้วิจัยได้ศึกษาโครงสร้าง คุณลักษณะของเพลงเชิดนอก จังหวะและเอกลักษณ์ของบทเพลง รวมถึงศึกษาหลักการประพันธ์เพลงไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการประพันธ์ทางเดี่ยว ในการศึกษาผู้วิจัยได้เลือกทางเดี่ยวปี่ใน เพลงเชิดนอก ของครูเทียบ คงลายทอง เป็นต้นแบบ จากการศึกษาพบว่าลักษณะของทางเดี่ยวปี่ใน เพลงเชิดนอก ประกอบด้วย ทํานองครวญ ทํานองเนื้อ ทํานองสร้อย ทํานองจับ มีการถ่ายทอดอารมณ์ให้ความรู้สึกถึงความรุกเร้า การไล่จับ ผู้วิจัยจึงนํารูปแบบดังกล่าวมาใช้ในการประพันธ์ เพื่อให้ได้ทางเดี่ยวซออู้ที่มีคุณลักษณะ รูปแบบและลีลาการบรรเลงใกล้เคิยงกับทางปี่ใน ในการประพันธ์ทางเดี่ยวจึงประกอบไปด้วยโครงสร้างทํานองอย่างปี่ใน มีเทคนิค อาทิ ครั่น ขยี้ พรมนิ้ว รูดนิ้ว สะอึก สะเดาะคันชัก สะบัด นิ้วคิวง และใช้การตั้งสายซออู้เป็นคู่ 4 (เร-ซอล) ทําให้เกิดลีลาที่เป็นลักษณะเฉพาะของซออู้ ขยายขอบเขตการบรรเลงได้หลากหลายขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน สามารถนํามาใช้เป็นเพลงสําหรับการฝึกซอมีพัฒนาทักษะฝึมีอ และเป็นต้นแบบในการสร้างสรรค์เพลงเดี่ยวสําหรับซออู้ต่อไปได้
  • PublicationOpen Access
    การนําเสนอแนวทางการสร้างและพัฒนาชุดการสอนสุนทรียศาสตร์ดนตรีเพื่อพัฒนาความซาบซึ้งทางดนตรีสําหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย
    (2567) ริยาส เจ๊ะโส๊ะ; ปรีญานันท์ พร้อมสุขกุล; กานต์ยุพา จิตติวัฒนา; Riyas Chesoh; Preeyanun Promsukkul; Karnyupha Jittivadhna
    งานวิจัยในครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการสร้างและพัฒนาชุดการสอนสุนทรียศาสตร์ดนตรีเพื่อพัฒนาความซาบซึ้งทางดนตรีสําหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย 2) พัฒนาชุดการสอนสุนทรียศาสตร์ดนตรีเพื่อพัฒนาความซาบซึ้งทางดนตรีสําหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย มีขั้นตอนการดําเนินงานวิจัย 6 ขั้นตอน คัดเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักแบบเฉพาะเจาะจงแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ครูสอนดนตรีในโรงเรียนระดับประถมศึกษา 3 ท่าน กลุ่มที่ 2 ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดกิจกรรมดนตรี 3 ท่าน กลุ่มที่ 3 ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสื่อดนตรี 3 ท่าน รวมทั้งหมด 9 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและแบบประเมินคุณภาพของสื่อการเรียนการสอน วิเคราะห์ข้อมูลแบบการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและสถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า ชุดการสอนมีแนวทางการสร้างและพัฒนาสุนทรียศาสตร์ดนตรีที่สอดคล้องกับหลักการเรียนรู้สุนทรียศาสตร์และขั้นตอนการเรียนรู้โสตศิลป์ 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การรับรู้ 2) การเลียนแบบ 3) การลงมือทํา 4) การแสดงไหวพริบทางดนตรี 5) การประพันธ์ และ 6) การสรุปผลการเรียนรู้ร่วมกัน และได้รับผลการประเมินคุณภาพชุดการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่านอยู่ในเกณฑ์ดีมาก สามารถนําชุดการสอนไปใช้ได้
  • PublicationOpen Access
    การสืบทอดและการดํารงอยู่ของคณะแตรวงในอําเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม
    (2565) ธันยาภรณ์ โพธิกาวิน; Dhanyaporn Phothikawin
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของคณะแตรวงในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม 2) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาของคณะแตรวงในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม 3) เพื่อศึกษาการสืบทอดและการดำรงอยู่ของคณะแตรวงในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยผู้ให้สัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยทำการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้คือ 1) ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา สภาพและปัญหาการสืบทอดและการดำรงอยู่ของคณะแตรวงในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม 2) นักดนตรีที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ และมีความเกี่ยวข้องกับคณะแตรวงในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม จากการนำเสนอผลการวิจัยในลักษณะการพรรณนาและพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ประวัติความเป็นมาของคณะแตรวง มาจากครูดนตรีและนักดนตรีใน 4 จังหวัดด้วยกัน โดยเริ่มต้นจากครูทองด้วง เดชาชัย ครูดนตรีและนักดนตรีในจังหวัดนครปฐม ครูดนตรีและนักดนตรีในจังหวัดราชบุรี ครูทวาย ทัศนะจิตร ครูดนตรีและนักดนตรีในอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม และครูบุญรอด ทองคำใส ครูประคอง วิสุทธิวงศ์ ครูธินัย วิสุทธิวงศ์ ครูดนตรีและนักดนตรีในอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้ในการบรรเลงแตรวงให้แก่คณะแตรวง ดังต่อไปนี้ คณะแตรวงวิเชียรเอ็นเตอร์เทน คณะแตรวงบรรเทิงศิลป์ คณะแตรวงขวัญใจศิลามูล และ คณะแตรวงสยามศิลป์ 2) สภาพและปัญหาภายในคณะแตรวง เกิดจากการสืบทอดความรู้ของคณะแตรวงและการบริหารจัดการคณะแตรวง ส่วนสภาพและปัญหาภายนอกคณะแตรวง เกิดจากสภาพสังคมและวัฒนธรรม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสุขภาพ 3) การสืบทอดและการดำรงอยู่ของคณะแตรวงในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เกิดจากการสืบอดความรู้ภายในครอบครัวและการสืบทอดความรู้จากภายนอก การปรับตัวของคณะแตรวงด้านการประยุกต์เครื่องดนตรีและการนำบทเพลงสมัยใหม่มาบรรเลง การปรับตัวในด้านการสร้างความเป็นเอกลักษณ์ การปรับตัวด้านตลาดและประชาสัมพันธ์ และการได้รับการยอมรับและการเห็นคุณค่าของคณะแตรวงในประเพณีและพิธีกรรม
  • PublicationOpen Access
    เพลงดนตรี ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ฉบับหอสมุดวชิรญาณ
    (2565) สนอง คลังพระศรี; Sanong Klangprasri
    บทความวิชาการนี้นำเสนอเพลงดนตรีที่ปรากฏในหนังสือเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ (ฉบับชำระใหม่) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้รักดนตรีไทยได้เข้ามาอ่าน เพื่อให้เข้าใจถึงสาระสำคัญของเพลงดนตรีจากเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ในฐานะดุริยวรรณกรรมเพลงไทย และสาระด้านดนตรีเพื่อการอ้างอิงเชิงวิชาการ เนื้อหาในบทความประกอบด้วย (1) สารัตถะแห่งการขับเสภา (2) เพลงดนตรีในเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน จากการศึกษาข้อมูลพบว่า ขุนช้างขุนแผน เดิมเป็นนิทานอิงพระราชพงศาวดารสมัยอยุธยา ที่ชาวบ้านหรือนักเล่าเรื่องในสมัยนั้นเรียกว่า “เสภา” กรมพระสุรัสวดีได้นำมาเล่าขยายเป็นนิทานคำกลอน เพื่อขับลำนำเข้าจังหวะขยับ “กรับคู่” (ข้างละคู่) กลายเป็นแบบแผนของ “การขับเสภา” ในเวลาต่อมา ภายหลังได้มีการแต่งเติมขึ้นใหม่อีกหลายตอน หลายสำนวน โดยเฉพาะในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้ทรงนำบทเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน มาร้องส่งให้วงปี่พาทย์บรรเลงรับ จนเกิดแบบแผนและการบรรเลงในรูปแบบ “วงปี่พาทย์เสภา” และนิยมนำบทเสภาไปบรรจุไว้ในทำเนียบขับร้อง เฉพาะที่พบในฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ มีจำนวน 73 บทร้อง/บทเพลง นอกจากนี้ ในแต่ละตอนได้ยังพบสาระเกี่ยวกับเพลงดนตรีอื่น ๆ ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานอ้างอิง เพื่อขยายมุมมองด้านการศึกษาดนตรีไทยให้กว้างขวางและลุ่มลึกมากยิ่งขึ้นได้