TM-Article
Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/112
Browse
Recent Submissions
Publication Open Access การสำรวจความคิดเห็นบุคลากรด้านความเป็นสากลของสถาบันการศึกษา(2565) ผ่องศรี ก้อนทอง; วริสรา ไชยพันธุ์; ปณิธี มาเอี่ยม; จิราวรรณ พึ่งสาย; ภรภัทร์ ทองพราย; Phongsri Konthong; Warissara Chaiyaphan; Panithee Maaiem; Jirawan Phuangsai; Porrapat Thongprai; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. สำนักงานคณบดี; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. สํานักงานบริการการวิจัยความเป็นนานาชาติของสถาบันการศึกษามีความสำคัญในยุคโลกาภิวัตน์ และการจัดลำดับมหาวิทยาลัยโลก ความสำเร็จของพันธกิจขององค์กรต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ปฏิบัติการทุกระดับ งานวิจัยนี้สำรวจความเห็นจากฐานรากครั้งแรกด้านความเป็นสากลของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล โดยใช้แบบสอบถามแบบตัดขวาง ในปี พ.ศ. 2561-2562 มีผู้ตอบแบบสอบถาม 267 คน (ร้อยละ 33 จากบุคลากรทั้งหมด) ประกอบด้วยบุคลากรสายวิชาการ (n=68) สายสนับสนุนวิชาการและอื่นๆ (n=106) และสายสนับสนุนวิชาชีพเฉพาะ (n=93) ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีทัศนคติเชิงบวกต่อวิสัยทัศน์นานาชาติ มีความเชื่อมั่นความเป็นนานาชาติขององค์กร และประสิทธิภาพการสื่อสารภาษาอังกฤษของสายวิชาการ เห็นด้วยกับความจำเป็นการใช้ภาษาอังกฤษและการพัฒนาสู่ความเป็นนานาชาติ โดยคะแนนรวมของแบบสอบถามอยู่ระดับปานกลางถึงมาก คะแนนเฉลี่ย (mean+SD) เบี่ยงแบนจากมากสุด (3.83+0.42) เรื่องความเป็นนานาชาติของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน และน้อยสุด (2.95+0.91) เรื่องความมั่นใจทักษะภาษาอังกฤษของตนเอง บุคลากรส่วนใหญ่ยินดีที่จะสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษ (76%) และสมัครใจพัฒนาภาษาอังกฤษ โดยเลือกการร่วมการฝึกอบรมร้อยละ 46.4, สันทนาการเป็นภาษาอังกฤษร้อยละ 23.6 และ ทุนศึกษา/ดูงานร้อยละ 30 การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าบุคลากรทุกระดับเห็นด้วยกับวิสัยทัศน์ และการธำรงความเป็นนานาชาติขององค์กร และพร้อมใจที่จะพัฒนาภาษาอังกฤษ การศึกษานี้เป็นกรณีตัวอย่างการหาข้อมูลจากฐานรากเพื่อสนับสนุนรูปแบบการพัฒนายุทธศาสตร์หลักขององค์กรPublication Open Access การศึกษากระติกบรรจุส่วนประกอบของโลหิตชนิดเม็ดเลือดแดงเพื่อการขนส่ง(2564) วราภรณ์ สมวงษ์; เอกมณี พัฒนพิพิธไพศาล; ปานจิต โพธิ์ทอง; Waraporn Somwong; Akemanee Pattanapipitpaisarn; Panjit Phothong; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนการศึกษาหาวิธีการบรรจุส่วนประกอบของโลหิตชนิดเม็ดเลือดแดงเพื่อการขนส่งให้เป็นไปตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลกกำหนด คืออุณหภูมิอยู่ในช่วง 1-10°C ระหว่างการขนส่งจากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยมาโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการรักษาสภาพของโลหิตให้ปลอดภัยที่สุดกับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรับเลือด วัสดุอุปกรณ์ ภาชนะบรรจุส่วนประกอบของโลหิต Gel Pack เก็บความเย็น แผ่นโฟมห่อแผ่นฟอยด์ Data logger ที่ผ่านการ Calibrate แล้ว ถุงเลือดชนิด Leukocyte Poor Packed Red Cells (LPRC) ที่หมดอายุแล้ว วิธีการศึกษา หาวิธีการจัดเตรียมภาชนะ ทำการวัดอุณหภูมิภายในกระติก โดยใช้ Data logger เก็บข้อมูลอุณหภูมิลงในคอมพิวเตอร์ เก็บข้อมูลทุก ๆ 1 นาที ทาการวัด 3 ครั้ง/จำนวนยูนิต ภายในเวลา 6 ชั่วโมง ผลการศึกษา วิธีการบรรจุภาชนะพบว่าการขนส่งเลือดตามระบบข้างต้นสามารถรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในช่วง 1-10 °C ได้ภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมงPublication Open Access Case-Control Study of Use of Personal Protective Measures and Risk for SARS-CoV 2 Infection, Thailand(2020) Pawinee Doung-ngern; Rapeepong Suphanchaimat; Apinya Panjangampatthana; Chawisar Janekrongtham; Duangrat Ruampoom; Nawaporn Daochaeng; Napatchakorn Eungkanit; Nichakul Pisitpayat; Nuengruethai Srisong; Oiythip Yasopa; Patchanee Plernprom; Pitiphon Promduangsi; Panita Kumphon; Paphanij Suangtho; Peeriya Watakulsin; Sarinya Chaiya; Somkid Kripattanapong; Thanawadee Chantian; Emily Bloss; Chawetsan Namwat; Direk Limmathurotsakul; Ministry of Public Health; Ministry of Public Health–US Centers for Disease Control and Prevention Collaboration, Nonthaburi; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Mahidol-Oxford Tropical Medicine Research UnitWe evaluated effectiveness of personal protective measures against severe acute respiratory disease coronavirus 2 (SARS-CoV-2) infection. Our case-control study included 211 cases of coronavirus disease (COVID-19) and 839 controls in Thailand. Cases were defined as asymptomatic contacts of COVID-19 patients who later tested positive for SARS-CoV-2; controls were asymptomatic contacts who never tested positive. Wearing masks all the time during contact was independently associated with lower risk for SARS-CoV-2 infection compared with not wearing masks; wearing a mask sometimes during contact did not lower infection risk. We found the type of mask worn was not independently associated with infection and that contacts who always wore masks were more likely to practice social distancing. Maintaining >1 m distance from a person with COVID-19, having close contact for <15 minutes, and frequent handwashing were independently associated with lower risk for infection. Our findings support consistent wearing of masks, handwashing, and social distancing to protect against COVID-19.Publication Open Access พฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนกของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกในจังหวัดกาญจนบุรี(2552) วิวัฒน์ วนรังสิกุล; Wiwat Wanarangsikul; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อนการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนกของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก ทั้งในเขตพื้นที่ที่มีการเกิดโรคและในเขตพื้นที่ที่ไม่มีการเกิดโรค รวมถึงศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนกของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกทั้ง 2 กลุ่ม เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษารวม 400 ราย ของ 2 พื้นที่ในจังหวัดกาญจบุรี โดยแบ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกในเขตพื้นที่ที่มีการเกิดโรค และกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกในเขตพื้นที่ที่ไม่มีการเกิดโรค จำนวนกลุ่มละ 200 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนกของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกทั้งสองเขตพื้นที่ ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนกในระดับปานกลาง สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนกของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกในเขตพื้นที่ที่มีการเกิดโรค ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับอาการของสัตว์ปีกที่ติดเชื้อไข้หวัดนก และการศึกษา โดยปัจจัยเหล่านี้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนกในระดับปานกลาง (R = 0.402) ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนกของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีในเขตพื้นที่ที่ไม่มีการเกิดโรค ได้แก่ บุคคลในครอบครัวที่รับรู้ข้อมูลข่าวสาร การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับไข้หวัดนก อายุ การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนก ความรู้เกี่ยวกับอาการของสัตว์ปีกที่ติดเชื้อไข้หวัดนก อายุ การรับรู้ประโยชน์ของการติดเชื้อไข้หวัดนก และสถานภาพในครอบครัว โดยปัจจัยเหล่านี้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนกในระกับปานกลาง (R = 0.524) ข้อเสนอแนะจากการศึกษาครั้งนี้ คือ ควรส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกมีพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนก และมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไข้หวัดนกให้ดีขึ้นPublication Open Access พฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนก และความสัมพันธ์ของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี(2551) ถาวร มาต้น; ปิยรัตน์ บุตราภรณ์; Tavorn Maton; Piyarat Butraporn; วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินทร จังหวัดสุพรรณบุรี; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อนPublication Metadata only การบริหารคนเก่ง: การประเมินความสำเร็จและความพึงพอใจ โดยคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล(2561) ผ่องศ รีก้อนทอง; สุภาพร โชติวาทิน; ไพริน บุญประเสริฐ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. สำนักงานคณบดีงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดผลสำเร็จและสำรวจความพึงพอใจของบุคลากรที่เข้าโครงการ “การบริหารคนเก่ง (Talent Management)” ของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ระหว่างปี พ.ศ 2556 - 2560 สำหรับบุคลากรสายวิชาการรุ่นใหม่ที่มีอายุงานไม่เกิน 5 ปี โดยการสนับสนุนเงินพิเศษรายเดือน และทุนทางวิชาการ ที่เกี่ยวข้อง งานทรัพยากรบุคคลของคณะฯ มีหน้าที่ติดตามความก้าวหน้าตามเป้าประสงค์โครงการ ทุก 3 เดือน และประเมินความพึงพอใจโดยแบบสอบถามเมื่อจบโครงการ 4 ปี ผลการวิจัยพบว่า อาจารย์/นักวิจัยผู้มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการครบทั้ง 20 ราย อายุเฉลี่ย (mean + SD) 36.5 + 3.3 ปี เป็นชาย 6 คน หญิง 14 คน ประกอบด้วยบุคลากรใหม่ 6 ราย (อายุงานน้อยกว่า 1 ปี) และบุคลากรเดิม 14 ราย (อายุงาน 1-5 ปี) หลังเข้าร่วมโครงการทุกรายมีผลงานตีพิมพ์เพิ่มขึ้น โดย18 ราย (ร้อยละ 90) ตีพิมพ์ในฐานะผู้นิพนธ์หลัก รวมมีผลงานตีพิมพ์เพิ่มขึ้น 23 เรื่อง (ค่ามัธยฐาน 7.50; 2.00 – 23.0 เรื่อง) ด้านทุนวิจัย 19 ราย (ร้อยละ 95) มีทุนวิจัยในฐานะผู้วิจัยหลัก รวมมีทุนโครงการวิจัยทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น 27 โครงการ การเสนอขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ (ก.พ.อ. 03 หรือ ม.ม. 01) พบว่าทุกรายเสนอตามกำหนดระยะเวลาของโครงการ รวมเฉลี่ยคือ 29.10 + 10.92 เดือน และ 18 ราย (ร้อยละ 90) ได้รับผลการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการแล้ว การเปรียบเทียบระหว่างบุคลากรใหม่และบุคลากรเดิมไม่พบความแตกต่างของจำนวนผลงานตีพิมพ์ (p > 0.42) แต่กลุ่มบุคลากรเดิมส่งตีพิมพ์ได้เร็วกว่า (26.07 + 11.03 เดือน เปรียบเทียบกับ 36.17 + 6.49 เดือน, p = 0.03) การประเมินความพึงพอใจ (0-5 คะแนน) ทั้งหมด 10 ประเด็น ได้คะแนนรวม ที่ระดับปานกลางถึงดีมาก คือ 3.84 + 1.01 คะแนน โดยประเด็นการให้บริการของงานทรัพยากรบุคคล ได้คะแนนสูงสุด (4.35 + 0.59) บุคลากรทั้งสองกลุ่มมีความพึงพอใจเหมือนกันต่อทั้ง 10 ประเด็นคำถาม (p > 0.06) ข้อเสนอแนะจากการวิจัยพบว่า โครงการ “การบริหารคนเก่ง” เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้บุคลากร สายวิชาการรุ่นเยาว์มีความก้าวหน้าทางวิชาการตามระยะเวลาที่เหมาะสม และมีความพึงพอใจต่อโครงการ งานวิจัยนี้ได้ข้อเสนอแนะคือ (1) การบริหารคนเก่ง สามารถเป็นโครงการระยะสั้นแต่ควรให้การสนับสนุนแบบครบวงจร (2) ควรมีการติดตามวัดผลความสำเร็จระหว่างโครงการ (3) งานทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมที่จะสนับสนุนด้านการบริการโครงการ (4) การสำรวจความพึงพอใจที่กระชับและตรงประเด็นจะได้ความร่วมมือที่ดี (5) บุคลากรรุ่นเยาว์มีความเหมาะสมที่จะเข้าโครงการ “คนเก่ง” เพื่อการพัฒนา และ (6) องค์กรควรมีการวางแผนระยะยาวเพื่อหาแหล่งทุน “การบริหารคนเก่ง” สำหรับบุคลากรรุ่นใหม่ทุกรุ่นPublication Metadata only ความพึงพอใจของผู้ปกครองต่ออุปกรณ์ผูกยึดแขนหรือขาผู้ป่วยเด็กระหว่างให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำที่พัฒนาโดยพยาบาลโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน(2553) กองแก้ว ย้วนบุญหลิม; ปิยธิดา รุ้งมัจฉา; เนาวรัตน์ เจริญสุข; พัชรินทร์ คำอินทร์; ศุภางค์ ผาสุข; เฉลิมศรี พินิจเวชการ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อนการวิจัยนี้ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษา ความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการใช้อุปกรณ์ผูกยึดแขนหรือขาผู้ป่วยเด็กระหว่างให้สารน้ำทาง หลอดเลือดดำในเด็ก เปรียบเทียบระหว่างอุปกรณ์ที่พัฒนาโดยพยาบาลโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน กับอุปกรณ์ที่ใช้อยู่เดิม ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้ป่วยเด็กอายุแรกเกิดถึง 6 ปีที่แพทย์สั่งให้สารน้ำ ทางหลอดเลือดดำ และรับไว้นอนในโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัย มหิดล จำนวน 22 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นอุปกรณ์ ผูกยึดแขนหรือขาผู้ป่วยเด็กระหว่างให้สารน้ำทาง หลอดเลือดดำที่พัฒนาโดยพยาบาล และใช้แบบสอบถามวัดความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการใช้ อุปกรณ์ผูกยึดเป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ยของคะแนน (Mean) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) และเปรียบเทียบความ พึงพอใจโดยใช้ Paired T-test ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจของผู้ปกครองต่อการใช้อุปกรณ์ผูกยึดแขน หรือขาผู้ป่วยเด็ก ระหว่างให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำในโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนที่พัฒนาโดย พยาบาล โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน โดยรวมแล้วอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งผลการเปรียบเทียบ ความพึงพอใจต่อการใช้อุปกรณ์ผูกยึดแขนหรือขาผู้ป่วยเด็กระหว่างให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำใน โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน แบบดั้งเดิมและแบบใหม่ที่พัฒนาโดยพยาบาล แตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <0.001 การวิจัยนี้เป็นนวัตกรรมที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น เพื่อเพิ่มคุณภาพการ พยาบาลในหอผู้ป่วย เพื่อลดค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนและคณะฯ และเพิ่มความพึงพอใจ ของผู้รับบริการ สอดคล้องกับแนวคิดของ อเดย์และเเอนเดอร์สัน (Aday and Andersen: 1975) อ้างในปรีชา หนูทิมและคณะ ว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจของผู้มารับบริการในการรักษาพยาบาลและ ความรู้สึกที่ผู้ป่วยได้รับจากการบริการเป็นสิ่งที่สำคัญ และเป็นสิ่งที่จะช่วยประเมินระบบบริการทางการแพทย์ ว่าได้มีการเข้าถึงประชาชนมากน้อยเพียงใดPublication Open Access บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนนทบุรีต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนางานด้านสาธารณสุข(2559) วิวัฒน์ วนรังสิกุล; Wiwat Wanarangsikul; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อนเพราะเหตุใดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดนนทบุรีได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนางาน ด้านสาธารณสุข ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษากระบวนการและศึกษาองค์ประกอบที่ทำาให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนนทบุรี เข้ามา มีส่วนร่วมในการพัฒนางานด้านสาธารณสุข ประชากร ที่ใช้ในการศึกษาคือ ตัวแทนผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน ใน “โครงการพัฒนาเครือข่ายการดำเนินงานป้องกัน และแก้ไขปัญหาเอดส์จังหวัดนนทบุรี” จำนวน 10 คน เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ระดับลึกโดยใช้แนวทาง การสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ ข้อมูลด้วยระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนางานด้าน สาธารณสุขขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีขั้นตอน ต่าง ๆ คือ 1) รับทราบนโยบายจากสำานักงานจังหวัด เรื่อง “ยุทธศาสตร์บูรณาการการป้องกันและแก้ไขปัญหา เอดส์แห่งชาติ” 2) ร่วมเป็น “คณะอนุกรรมการป้องกัน และแก้ไขปัญหาเอดส์จังหวัดนนทบุรี” 3) วางแผน และกำหนดบทบาทหน้าที่ในการดำเนินการป้องกัน และแก้ไขปัญหาเอดส์จังหวัดนนทบุรี 4) ดำเนินงาน ภายใต้ “โครงการพัฒนาเครือข่ายดำเนินงานเพื่อ ป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์จังหวัดนนทบุรี” และ 5) ติดตามและประเมินผล การดำเนินงาน สำหรับ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนางานด้าน สาธารณสุขขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมี 6 ปัจจัย โดยจำาแนกเป็นปัจจัยภายในองค์กรและปัจจัยภายนอก องค์กร กล่าวคือ ปัจจัยภายในองค์กร 1. กฎหมาย เกี่ยวกับการกำหนดบทบาทหน้าที่ 2. วิสัยทัศน์ของ ผู้บริหาร 3. ศักยภาพทางด้านการเงินและการคลัง 4. ความตระหนักรู้ในปัญหาเอดส์ของผู้บริหารและ ผู้ปฏิบัติงาน และปัจจัยภายนอกองค์กร 5. อำนาจ ในการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาระดับสูงของจังหวัด 6. ความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างองค์กร ดังนั้นจึงควร ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหลายพื้นที่ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนางานด้านสาธารณสุข ในลักษณะของพหุภาคี และเจ้าหน้าที่ของทุกองค์กร ควรได้รับการอบรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ร่วมกัน โดยเฉพาะการทำความเข้าใจเรื่องกฎระเบียบ เกี่ยวกับงบประมาณPublication Open Access การประเมินความเสี่ยงด้านการยศาสตร์ของบุคลากรคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ด้วยค่าดัชนีความผิดปกติ AI(2563) ชุติมา ปฐมกำเนิด; วชรสร เพ่งพิศ; เนตรฟ้า รักมณี; จุฑามาศ ประเสริฐศรี; น้ำฝน เอกสนธิ์; ประไพพร เตียเจริญ; ฐิติพร แก้วรุณคำ; สันติ มณีวัชระรังษี; Chutima Pathomkumnird; Wacharasorn Pangpit; Natefa Rukmanee; Jutamas Prasertsri; Namfon Ekkasonth; Prapaiporn Tiacharoen; Titiporn Kaewrunkam; Santi Maneewatchararangsri; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. ภาควิชาสุขวิทยาเขตร้อน; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. ภาควิชาโภชนศาสตร์เขตร้อนและวิทยาศาสตร์อาหาร; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. สำนักงานคณบดี; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. ภาควิชาชีวโมเลกุลและพันธุศาสตร์โรคเขตร้อนงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับความเสี่ยงด้านการยศาสตร์ของบุคลากรคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ปี พ.ศ. 2560 จากข้อมูลทุติยภูมิแบบประเมินค่าดัชนีความผิดปกติ AI จําาแนกปัจจัยเสี่ยง และลักษณะท่าทางการทําางานที่มีความเสี่ยงการยศาสตร์ จําานวน 517 คน พบบุคลากรกลุ่มเสี่ยงทางการยศาสตร์มีความชุกร้อยละ 10.8 ในระดับมีความเสี่ยงสูงและมีความเสี่ยงสูงต้องแก้ไขทันที และมีค่าเฉลี่ยดัชนีความผิดปกติ AI ที่ 3.3±0.2 และ 4.8±0.1 ตามลําาดับ โดยพบบุคลากรกลุ่มเสี่ยงทางการยศาสตร์ในกลุ่มวิชาชีพเฉพาะ ร้อยละ 19.0 กลุ่มสายวิชาการและบริหาร ร้อยละ 12.0 กลุ่มสนับสนุนวิชาการ ร้อยละ 4.5 กลุ่มสนับสนุนทั่วไประดับปฏิบัติการและระดับช่วยปฏิบัติการ ร้อยละ 6.2 และ 6.4 ตามลําาดับ (p<0.001) โดยปัจจัยเพศ (p=0.046) และค่าดัชนีมวลกาย (p<0.001) มีความสัมพันธ์กับบุคลากรในกลุ่มเสี่ยงทางการยศาสตร์ บุคลากรกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มวิชาชีพเฉพาะ มีอิริยาบถนั่ง ยืน เคลื่อนไหวด้วยท่าซ้ําา ๆ และใช้กําาลังเกินตัว กลุ่มนักวิชาการและอาจารย์ ที่มีอิริยาบถนั่งทําางานอยู่กับที่ ใช้สายตาและความคิด และกลุ่มสายสนับสนุนช่วยปฏิบัติการ มีอิริยาบถเคลื่อนไหวและใช้กําาลังด้วยท่าทางไม่เหมาะสม เสี่ยงต่อการบาดเจ็บและเกิดอุบัติเหPublication Open Access Recombinant Proteins as Antigens for Serological Detection of Toxoplasma gondii and Neospora caninum in Livestock(2021) Ruenruetai Udonsom; Supaluk Popruk; Charoonluk Jirapattharasate; Aongart Mahittikorn; รื่นฤทัย อุดรโสม; สุภลัคน์ โพธิ์พฤกษ์; จารุญลักษณ์ จิรภัทรเศรษฐ์; องอาจ มหิทธิกร; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Department of Protozoology; Mahidol University. Faculty of Veterinary Science. Department of Pre-clinic and Applied animal science,Toxoplasmosis and neosporosis are diseases of livestock worldwide caused by infections with closely related parasitic protozoa, T. gondii and N. caninum, respectively. Toxoplasmosis is a cause of reproductive failure in small ruminants and zoonotic, while neosporosis is a major cause of bovine abortion without zoonotic reports. The clinical signs associated with both infections are often nonspecific. Therefore, serological diagnosis is important for detection of specific antibodies induced by the infection. However, propagation of T. gondii and N. caninum tachyzoite in vitro or in vivo is required prior to crude antigen extraction, high risk in contamination of cell culture or animal facilities for parasite propagation and time-consuming process. With the use of recombinant proteins as antigens, the risk of handing viable parasites can be avoided with improving in sensitivity and specificity for the detection. Although some of T. gondii or N. caninum recombinant proteins showed a high efficacy for diagnosis, more validation and optimization are still needed to provide a high throughput performance for using in animals. This review presents advance in the application of recombinant antigens as a serological marker for the above parasites detection in livestock.Publication Open Access ปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ต่อคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล(2559) อารี บัวแพร; จุฑามาศ ชัยวรพร; ศิวพร พิสิษฐ์ศักดิ์; Aree Bauprae; Chutamas Chaiworaporn; Sivaporn Pisitsak; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. สำนักงานบริหารการศึกษาความผูกพันองค์กรของนักศึกษาต่อสถาบันการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นความรู้สึกประทับใจศรัทธา ภาคภูมิใจ ตั้งใจและพร้อมที่จะใช้ความพยายามที่มีอยู่ของบุคคลเพื่อสร้างชื่อเสียงที่ดีแก่สถาบันการศึกษานั้น การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความผูกพัน และปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันของนักศึกษาหลักสูตรนานาชาติต่อคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ประชากรศึกษาเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาหลักสูตรนานาชาติ ที่ยังคงสภาพนักศึกษาในรอบปีการศึกษา 2557 จำนวน 172 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามแบบตอบด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปด้วยสถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยมัชฌิมเลขคณิต ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยค่าไคส์-แควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า นักศึกษาคณะเวชศาสตร์เขตร้อนส่วนใหญ่ มีความผูกพันต่อคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 51.2 เมื่อจำแนกรายด้าน พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่มีความทุ่มเทต่อคณะเวชศาสตร์เขตร้อน และมีความศรัทธาต่อคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 50.6 และ 50.0 ตามลำดับ และมีความจงรักภักดีต่อคณะเวชศาสตร์เขตร้อนในระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 49.4 ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ ตำแหน่ง มีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อคณะเวชศาสตร์เขตร้อนโดยภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value = 0.022) แรงจูงใจในการเข้าศึกษา มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความผูกพันต่อคณะเวชศาสตร์เขตร้อนในระดับปานกลาง (p-value = 0.001, r = 0.687) และเมื่อจำแนกรายด้านพบว่าความคาดหวังในการศึกษาและการประกอบอาชีพ เหตุผลส่วนตัวและการสนับสนุนการศึกษามีความสัมพันธ์กับความผูกพันในเชิงบวกระดับปานกลาง (r = 0.731 และ 0.631 ตามลำดับ) ทัศนคติมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความผูกพันต่อคณะเวชศาสตร์เขตร้อนในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value = 0.000, r = 0.848) และมีความสัมพันธ์กับความศรัทธา ความทุ่มเท และความจงรักภักดี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value =0.000, r = 0.790, 0.786 และ 0.765 ตามลำดับ) และความพึงพอใจโดยรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับความผูกพันต่อคณะเวชศาสตร์เขตร้อน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value = 0.000, r = 0.788) และมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับความศรัทธา ความจงรักภักดีและความทุ่มเท อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value = 0.000, r = 0.772, 0.704, 0.700 ตามลำดับ) สัมพันธภาพโดยรวม ระหว่างความผูกพันต่อคณะเวชศาสตร์เขตร้อนกับ ความศรัทธา ความทุ่มเท และความจงรักภักดี มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value = 0.000, r = 0.715, 0.699, 0.681, ตามลำดับ) ผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะในการเสริมสร้างความผูกพันต่อสถาบันแก่นักศึกษาเพิ่มขึ้น โดยผู้บริหารควรกำหนดแผนปฏิบัติการเกี่ยวกับช่องทางและกิจกรรมสร้างความผูกพันต่อองค์กรแก่นักศึกษา กำหนดแนวทางการประชาสัมพันธ์และเสริมสร้างกิจกรรมระหว่างศิษย์ปัจจุบันและศิษย์เก่าเพิ่มขึ้น จัดบริการวิชาการ โดยกำหนดกิจกรรมสร้างเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ จัดสภาพสิ่งแวดล้อม และอำนวยความสะดวกแก่นักศึกษาเพิ่มขึ้นPublication Open Access Kinetic Adsorption of Hazardous Methylene Blue from Aqueous Solution onto Iron-Impregnated Powdered Activated Carbon(2019) Athit Phetrak; Sirirat Sangkarak; Sumate Ampawong; Suda Ittisupornrat; Doungkamon Phihusut; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Department of Social and Environmental Medicine; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Department of Tropical Pathology; Department of Environmental Quality Promotion. Environmental Research and Training Center; Chulalongkorn University. Environmental Research InstituteIn this study, iron-impregnated powderedactivated carbon (Fe-PAC) prepared using chemical co-precipitation techniques was used as an adsorbent for methylene blue (MB) removal in a batch experiment. The analysis of transmission electron microscopy, scanning electron microscopy with energy dispersive spectroscopy showed that iron oxide particle was substantially distributed into the surface of the adsorbent, suggesting that Fe-PAC was successfully synthesized. The results showed that fast and efficient adsorption of MB by Fe-PAC was achieved, witha relative short contact time of 10 min and MB adsorption capacity of 51 mg/g. The kinetic adsorption of MB on Fe-APC adsorbent was well described by a pseudo-second-order model. Concurrently, the analysis of intraparticle diffusion model suggests that intraparticle diffusion is not the only rate-limiting step of MB molecules adsorption by Fe-PAC adsorbent. The elevated temperature conditions also improved the removal efficiency of MB. Thermodynamic parameters exhibited by the MB adsorption process onto Fe-PAC were endothermic and spontaneous. The findings of the present work indicate that Fe-PAC can be a potentially effective adsorbent for MB removal in wastewater due to its fast and efficient MB adsorption, and separation in wastewater treatment systems.Publication Open Access การบริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยโรคมาลาเรีย(2558) ศุภศิษฏ์ พัชโรภาสวัฒนกุล; ศรีวิชา ครุฑสูตร; Suphasit Phatcharopaswattanakul; Srivicha Krudsood; มหาวิทยาลัยมหิดล. โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน. งานเภสัชกรรมผู้ป่วยที่ติดเชื้อมาลาเรียควรได้รับยารักษาที่เหมาะสมและรวดเร็ว หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมแล้ว อาจก่อให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาและภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อได้ ดังนั้นการให้บริบาลทางเภสัชกรรมจึงมีบทบาทที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาของผู้ป่วยโรคมาลาเรียได้ เริ่มตั้งแต่การซักประวัติการใช้ยาของผู้ป่วย การมีส่วนร่วมในการประเมินอาการความรุนแรงของโรคเพื่อประกอบการตัดสินใจเรื่องการเลือกใช้ยา สามารถให้ข้อมูลแก่แพทย์ผู้รักษาเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาที่เหมาะสม ตลอดจนให้คำแนะนำปรึกษาเรื่องยาแก่ผู้ป่วยเพื่อให้มีการใช้ยาอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ เภสัชกรควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการใช้ยาในการรักษาโรคมาลาเรีย อาการและอาการแสดง ผลทางห้องปฏิบัติการที่ต้องเฝ้าระวังติดตามในผู้ป่วยที่ใช้ยาทั้งในด้านผลการรักษาและการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา รวมทั้งการใช้ยาในกลุ่มผู้ป่วยพิเศษPublication Open Access การศึกษาเปรียบเทียบอุณหภูมิของแผ่นประคบร้อนที่สัมพันธ์กับความหนา ของผ้าห่อแผ่นประคบ ในช่วงเวลา 20 นาที(2561) ชมพูนุช ศรีไกรยุทธ; กภ.วรรณเฉลิม ชาววัง; Chompunuch Srikraiyut; Wanchalorm Chawwang; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. หน่วยกายภาพบำบัดและเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนวัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาเปรียบเทียบอุณหภูมิแต่ละช่วงเวลา ต่อความหนาของผ้าห่อแผ่นประคบร้อนที่ความหนา 4 เซนติเมตร และ 2 เซนติเมตร วิธีการวิจัย ทำการทดลองในห้องที่มีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 22-25 องศาเซลเซียส นำแผ่นประคบร้อนที่แช่ใน Hydrocollator ที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 80 องศาเซลเซียส มากกว่า 1 ชั่วโมง ถูกเตรียมโดยการห่อด้วยผ้าขนหนูที่ทำด้วยผ้าฝ้าย 100% ขนาด 27 x 54 นิ้ว ที่ถูกพับครึ่งแล้ววางซ้อนทับกันให้ได้ความหนา 4 เซนติเมตร และ 2 เซนติเมตร ในด้านที่จะใช้วางบนเครื่องวัดอุณหภูมิ จากนั้นนำมาวางบนหมอนที่มี digital thermometer บริเวณกึ่งกลางของหมอน 1 โดยวางด้านที่ทีความหนาของแผ่นประคบร้อน เริ่มใช้นาฬิกาจับเวลา และทำการวัดอุณหภูมิตั้งแต่นาทีที่ 1 ถึงนาทีที่ 20 บันทึกอุณหภูมิทุกนาที จนครบ 20 นาที ด้วยความหนาของผ้าชุดละ 25 ครั้ง นำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมมสถิติ SPSS version PASW statistics 18 ใช้ student T-test ในการเปรียบเทียบอุณหภูมิของความหนาของผ้าที่ให้ห่อแผ่นประคบร้อนที่ 2 และ 4 เซนติเมตร ผลการศึกษา: ในการใช้แผ่นประคบร้อนที่ความหนาของผ้าห่อ 4 เซนติเมตร ต้มในหม้อต้มที่อุณหภูมิเฉลี่ยที่ 76.71 ± 0.90 องศาเซลเซียส ตั้งแต่นาทีที่ 1 ถึงนาทีที่ 20 อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ในช่วง 22.86 ± 0.63 องศาเซลเซียส ถึง 39.64 ± 2.47 องศาเซลเซียส อุณหภูมิเฉลี่ยที่ 31.24 ± 5.80 องศาเซลเซียส แผ่นประคบร้อนที่ความหนาของผ้าห่อ 2 เซนติเมตร ต้มในหม้อต้มที่อุณหภูมิเฉลี่ยที่ 77.30 ± .44 องศาเซลเซียส ตั้งแต่นาทีที่ 1 ถึงนาทีที่ 20 อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ในช่วง 23.92 ± 1.18 องศาเซลเซียส ถึง 48.69 ± 1.64 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างเห็นได้ชัดเจนในช่วงนาทีที่ 3 ถึงนาทีที่ 15 ตามเวลาที่เปลี่ยนไปทื่ 30.25 ± 3.02 องศาเซลเซียส ถึง 47.80 ± 2.27 องศาเซลเซียส เมื่อเปรียบเทียบความหนาของผ้า พบว่าอุณหภูมิของผ้าที่ใช้ห่อแผ่นประคบร้อนมีความแตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ (p-value, 0.01) สรุปผลการศึกษาพบว่า ความหนาของผ้าที่ใช้ห่อแผ่นประคบร้อน ขนาด 2 เซนติเมตร และ 4 เซนติเมตร มีความแตกต่างต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของแผ่นประคบร้อนอย่างมีนัยสำคัญPublication Open Access การศึกษาการสรุปรหัสคำวินิจฉัยโรค หัตถการและการผ่าตัดของ ค่ารักษาพยาบาลตามระบบกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน(2557) ส้มแป้น ศรีหนูขำ; วราภรณ์ ปานเงิน; ธานี รักนาม; ยุพาพร วัฒนกูล; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน. งานเวชระเบียน; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน. ฝ่ายการพยาบาล; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน. ภาควิชาอายุรศาสตร์เขตร้อนการศึกษาการสรุปคำวินิจฉัยโรค หัตถการและการผ่าตัด ที่มีผลต่อ การปรับค่านํ้าหนักสัมพัทธ์ (Adjust Relative Weight : AdjRW) และมีผล กระทบต่อค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปริมาณของเวชระเบียนผู้ป่วยในที่ตรวจพบความคลาดเคลื่อนในการ สรุปการวินิจฉัยโรค หัตถการและการผ่าตัดของผู้ป่วยใน เพื่อเปรียบเทียบความ แตกต่างของกลุ่มการวินิจฉัยโรคร่วม (Diagnosis Related Group, DRGs) ที่มีผลต่อ AdjRW นำมาเปรียบเทียบ AdjRW และค่ารักษาพยาบาลที่ได้ก่อน และหลังการตรวจพบความคลาดเคลื่อนในการสรุปการวินิจฉัยโรค หัตถการและการผ่าตัดของผู้ป่วยในและเพื่อเปรียบเทียบ AdjRW และค่ารักษาพยาบาล ที่ได้ก่อนและหลังการตรวจพบความคลาดเคลื่อนในการสรุปการวินิจฉัยโรค หัตถการและการผ่าตัดของผู้ป่วยในได้รับจัดสรรตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม (DRGs) โดยศึกษาจากเวชระเบียนผู้ป่วยในที่จำหน่ายตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 ถึงเดือนเมษายน 2557 ผลการศึกษาการทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยในจำนวน 1,107 ฉบับ พบว่ามีเวชระเบียนผู้ป่วยในที่มีความคลาดเคลื่อนในการสรุปคำวินิจฉัยโรค หัตถการและการผ่าตัดของผู้ป่วยใน จำนวน 322 ฉบับ และหลังจากที่ Auditor ทบทวนและแก้ไข เพิ่มเติมคำวินิจฉัยโรค หัตถการและการผ่าตัด ให้ถูกต้อง ครบถ้วนแล้ว พบว่ามีความแตกต่างของกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม (DRGs) ที่มี ผลต่อค่า AdjRW จำนวน 216 ฉบับ โดยทำให้ค่า AdjRW เพิ่มขึ้น 182.84 ซึ่ง มีผลทำให้ โรงพยาบาลได้รับค่ารักษาพยาบาลจากต้นสังกัดของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 2,420,928.35 บาท ในการศึกษาครั้งนี้มีประเด็นที่เพิ่มเติมพบว่าความคลาดเคลื่อนในส่วน ของโรคหลัก โรคร่วม โรคแทรกซ้อน หัตถการ และการผ่าตัด เมื่อ Auditor ทบทวนและแก้ไข เพิ่มเติมให้ถูกต้อง ครบถ้วนแล้ว พบว่าการสรุปคำวินิจฉัย โรคที่แตกต่างกันมีผลต่อการจัดกล่มุ วินิจฉัยโรคร่วม (DRGs) ส่งผลต่อค่า AdjRW ซึ่งมีผลกระทบต่อจำนวนเงินค่ารักษาพยาบาลที่ต้นสังกัดต้องจ่ายคืนให้กับ โรงพยาบาลฯ ดังนั้นแพทย์ควรตระหนักถึงความสำคัญและเข้าใจการสรุปคำ วินิจฉัยโรค ซึ่งควรมีการตรวจสอบ ทบทวนเวชระเบียน แบบ Real time อย่าง ต่อเนื่อง โดย Auditor ประจำโรงพยาบาลที่มีความรู้ ความชำนาญ เพื่อช่วย ให้การบันทึกและการสรุปคำวินิจฉัยโรค ในเวชระเบียนผู้ป่วยมีความถูกต้อง และครบถ้วนมากยิ่งขึ้นPublication Open Access Plasmodium vivax genetic diversity and heterozygosity in blood samples and resulting oocysts at the Thai–Myanmar border(2017) Ingfar Soontarawirat; Andolina, Chiara; Paul, Richard; Day, Nicholas P. J.; Nosten, Francois; Woodrow, Charles J.; Mallika Imwong; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Department of Clinical Tropical Medicine; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Shoklo Malaria Research Unit; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Mahidol Oxford Research Unit; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Department of Molecular Tropical Medicine and GeneticsBackground: Polyclonal blood-stage infections of Plasmodium vivax are frequent even in low transmission settings, allowing meiotic recombination between heterologous parasites. Empirical data on meiotic products are however lacking. This study examined microsatellites in oocysts derived by membrane feeding of mosquitoes from bloodstage P. vivax infections at the Thai–Myanmar border. Methods: Blood samples from patients presenting with vivax malaria were fed to Anopheles cracens by membrane feeding and individual oocysts from midguts were obtained by dissection after 7 days. DNA was extracted from oocysts and parental blood samples and tested by microsatellite analysis. Results: A focused study of eight microsatellite markers was undertaken for nine blood stage infections from 2013, for which derived oocysts were studied in six cases. One or more alleles were successfully amplifed for 131 oocysts, revealing high levels of allelic diversity in both blood and oocyst stages. Based on standard criteria for defning minor alleles, there was evidence of clear deviation from random mating (inbreeding) with relatively few heterozygous oocysts compared to variance across the entire oocyst population (FIT = 0.89). The main explanation appeared to be natural compartmentalisation at mosquito (FSC = 0.27) and human stages (FCT = 0.68). One single human case produced a total of 431 successfully amplifed loci (across 70 oocysts) that were homozygous and identical to parental alleles at all markers, indicating clonal infection and transmission. Heterozygous oocyst alleles were found at 15/176 (8.5%) successfully amplifed loci in the other fve cases. There was apparently reduced oocyst heterozygosity in individual oocysts compared to diversity within individual mosquitoes (FIS = 0.55), but this may simply refect the diffculty of detecting minor alleles in oocysts, given the high rate of amplifcation failure. Inclusion of minor allele peaks (irrespective of height) when matching peaks were found in related blood or oocyst samples, added 11 minor alleles for 9 oocysts, increasing the number of heterozygous loci to 26/176 (14.8%; p = 0.096). Conclusion: There was an apparently low level of heterozygous oocysts but this can be explained by a combination of factors: relatively low complexity of parental infection, natural compartmentalisation in humans and mosquitoes, and the methodological challenge of detecting minor alleles.Publication Open Access PPBP and DEFA1/DEFA3 genes in hyperlipidaemia as feasible synergistic inflammatory biomarkers for coronary heart disease.(2017) Yaowapa Maneerat; Kriengchai Prasongsukarn; Surachet Benjathummarak; Wilanee Dechkhajorn; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Department of Tropical Pathology; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Center of Excellence for Antibody Research; Pramongkutklao Hospital and College of MedicineBackground: Coronary heart disease (CHD) is an important complication of atherosclerosis. Biomarkers, which associate with CHD development, are potential to predict CHD risk. To determine whether genes showing altered expression in hyperlipidaemia (H) and coronary heart disease (CHD) patients compared with controls could be CHD risk biomarkers. Methods: Control, H, and CHD groups represented atherosclerosis to CHD development. Gene profiling was investigated in peripheral blood mononuclear cells using DNA microarrays. Eight selected genes expressed only in H and CHD groups were validated by real-time quantitative reverse transcription PCR and plasma protein determination. Results: α-defensin (DEFA1/DEFA3), pro-platelet basic protein (PPBP), and beta and alpha2 hemoglobin mRNA expression was significantly increased in H and CHD groups compared with controls, but only plasma PPBP and α-defensin proteins were correspondingly increased. Conclusion: PPBP and DEFA1/DEFA3 could be potential CHD biomarkers in Thai hyperlipidaemia patients.Publication Open Access Plasmodium falciparum Kelch 13 mutations and treatment response in patients in Hpa-Pun District, Northern Kayin State, Myanmar.(2017) Bonnington, Craig A.; Aung Pyae Phyo; Ashley, Elizabeth A.; Mallika Imwong; Kanlaya Sriprawat; Parker, Daniel M.; Proux, Stephane; White, Nicholas J.; Nosten, Francois; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Shoklo Malaria Research Unit; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Mahidol Oxford Research Unit; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Department of Molecular Tropical Medicine and GeneticsBackground: Artemisinin resistance, linked to polymorphisms in the Kelch gene on chromosome 13 of Plasmodium falciparum (k13), has outpaced containment eforts in South East Asia. For national malaria control programmes in the region, it is important to establish a surveillance system which includes monitoring for k13 polymorphisms associated with the clinical phenotype. Methods: Between February and December 2013, parasite clearance was assessed in 35 patients with uncomplicated P. falciparum treated with artesunate monotherapy followed by 3-day ACT in an isolated area on the Myanmar– Thai border with relatively low artemisinin drug pressure. Molecular testing for k13 mutations was performed on dry blood spots collected on admission. Results: The proportion of k13 mutations in these patients was 41.7%, and only 5 alleles were detected: C580Y, I205T, M476I, R561H, and F446I. Of these, F446I was the most common, and was associated with a longer parasite clearance half-life (median) 4.1 (min–max 2.3–6.7) hours compared to 2.5 (min–max 1.6–8.7) in wildtype (p = 0·01). The prevalence of k13 mutant parasites was much lower than the proportion of k13 mutants detected 200 km south in a much less remote setting where the prevalence of k13 mutants was 84% with 15 distinct alleles in 2013 of which C580Y predominated. Conclusions: This study provides evidence of artemisinin resistance in a remote part of eastern Myanmar. The prevalence of k13 mutations as well as allele diversity varies considerably across short distances, presumably because of historical patterns of artemisinin use and population movements.Publication Open Access Fast and Efficient Removal of Hexavalent Chromium from Water by Iron Oxide Particles(2018) Duangta Kitkaew; Athit Phetrak; Sumate Ampawong; Rachaneekorn Mingkhwan; Doungkamon Phihusut; Kamolnetr Okanurak; Chongrak Polprasert; Mahidol University. Faculty of Public Health. Department of Sanitary Engineering; Mahidol University. Center of Excellence on Environmental Health and Toxicology (EHT); Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Department of Social and Environmental Medicine; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Department of Tropical Pathology; Chulalongkorn University. Environmental Research Institute; Thammasat University. Faculty of Engineering. Department of Civil EngineeringIron oxide particles (IOPs) were synthesized by chemical co-precipitation technique and further used as an adsorbent in removing hexavalent chromium (Cr(VI)) from aqueous solutions during batch adsorption. The IOP adsorbent had specific surface area of 65 m2/g, total pore volume of 0.25 cm3/g and mostly contained a mesoporous structure. The analysis of scanning and transmission electron microscopy indicated that the adsorbent contained a substantial amount of iron oxide of about 66%, which was well distributed throughout the adsorbent. The IOP adsorbent showed a rapid and efficient Cr(VI) removal that followed Langmuir adsorption isotherm model with maximum adsorption capacity of 2.39 mg-Cr(VI)/g-IOP, demonstrating a monolayer formation on the adsorptive sites of IOP. The kinetic adsorption of Cr(VI) on the IOP followed the pseudo-second-order model, suggesting chemisorption. Thus, the IOP adsorbent provides a potentially effective technology in eliminating of Cr(VI) from water since it can remove appreciable amounts of Cr(VI) with a relatively short contact time of 30 min.Publication Open Access Climatic Factors Influencing Dengue Hemorrhagic Fever in Kolaka District, Indonesia(2018) Ramadhan Tosepu; Kraichat Tantrakarnapa; Suwalee Worakhunpiset; Kanchana Nakhapakorn; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine. Department of Social and Environmental Medicine; University of Halu Oleo, Kendari. Faculty of Public Health; Mahidol University. Faculty of Environment and Resource StudiesDengue hemorrhagic fever in Indonesia is one of the serious health problems and requires understanding the occurrence of this disease. Climate Factors have a role that needs attention in the prevention of DHF disease. Understanding of disease patterns will benefit the health surveillance system and provide a way to tackle this problem. The records of dengue fever cases and climate data for the years 2010-2015 were obtained from the Health Office Kolaka District, southeast Sulawesi province and Meteorology, Climatology and Geophysics Agency in Southeast Sulawesi province, respectively. Data for the period 2010 to 2014 were used for model development through multiple linear regressions. The prediction model was used to forecast dengue cases in 2015 and the predicted results were compared with reported dengue cases in Kolaka in the past and forecasting period. Rainfall, humidity, temperature average, minimum temperature, and maximum temperature are significantly correlated with monthly cases of dengue fever. Predicted results showed a good performance where the model was able to predict 3 out of 5 epidemic outbreak events that occurred in January-March 2015 and November-December 2015. The sensitivity of detecting the outbreaks was estimated to be 60%, the specificity was 100%, positive and negative predictive value were estimated to be 100% and 77.8%, respectively. Climate has a major influence on the occurrence of dengue hemorrhagic fever infection in Kolaka district. Although the predictive model has some limitations in predicting the number of cases of monthly dengue fever, it can estimate the possibility of an outbreak three months in advance with a fairly high accuracy. The predictive model can be used to explain the incident rate of DHF of approximately 71%.