Journal:
วารสารสถาบันราชสุดาเพื่อการวิจัยและพัฒนาคนพิการ (ชื่อเดิม : วารสารวิทยาลัยราชสุดาเพื่อการวิจัยและพัฒนาคนพิการ)

73

Journal Volumes

Journal Volume
RSjournal Volume 15
(2562)
Journal Volume
RSjournal Volume 16
(2563)
Journal Volume
RSjournal Volume 17
(2564)
Journal Volume
RSjournal Volume 18
(2565)
Journal Volume
RSjournal Volume 19
(2566)

Availability

Collections

Search Results

Now showing 1 - 10 of 17
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    การศึกษารูปแบบสนามฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะการทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม และการเคลื่อนไหวสำหรับคนพิการทางการเห็น
    (2564) สุวัฒน์ชัย จันทร์เฮง; Suwatchai Chanheng; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยราชสุดา
    งานวิจัยเรื่อง "การศึกษารูปแบบสนามฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะการทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและการเคลื่อนไหวสำหรับคนพิการทางการเห็น" มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดด้านองค์ประกอบของสนามฝึกอบรมทักษะการทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและการเคลื่อนไหวสำหรับคนพิการทางการเห็นที่เหมาะสม ผู้วิจัยได้ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพแบบสามเส้า พบว่า ขนาดของสนามที่ใช้ฝึกทักษะการเดินทางสำหรับคนพิการทางการเห็นทั้งสามกลุ่มมีความเห็นตรงกัน ไม่สามารถกำหนดขนาดพื้นที่ของสนามฝึกทักษะการเดินทางสำหรับคนพิการทางการเห็นที่เป็นมาตรฐานได้ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ (ถ้ามีขนาดเท่ากับสนามฟุตบอลมาตรฐานก็จะทำเส้นทางการฝึกได้มาก) การสอนการเดินทางให้กับคนพิการทางการเห็น ควรมีพื้นที่สภาพแวดล้อมในเมืองหรือชนบทองค์ประกอบที่สำคัญที่มีในสนามฝึกอบรมคนพิการทางการเห็นควรมีองค์ประกอบ ถนน ตรอก ซอย ทางแยก ทางข้าม สะพาน ฟุตบาทตามมาตราฐาน หญ้า พุ่มไม้ ต้นไม้ พื้นทางเดินแบบต่างๆ (คอนกรีต/ยางมะตอย/ลูกรัง/ดิน/น้ำ) ช่องทางเดินจัดให้เป็นไปตามสภาพจริง แต่ควรออกแบบให้มีพื้นผิวต่างสัมผัสตามสภาพจริง เช่น พื้นที่ราบเรียบ ขรุขระ แอ่งน้ำ เป็นเนินสูงๆต่ำๆ เป็นช่วงระยะทางสั้นบ้างยาวบ้างจะได้สร้างความคุ้นชิน ทางเดินคนเดียวขนาดไม่ต่ำกว่า 1ช่วงไหล่ (ประมาณ 80 เซนติเมตร) เพื่อที่จะใช้เทคนิคไม้เท้าในการสัมผัสพื้นผิวช่องทางเดิน และใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการรับรู้สิ่งต่างๆ สนามฝึกทักษะควรมี จุดสังเกต 2 แบบ คือ แบบถาวร และแบบชั่วคราว สนามฝึกควรมีสภาพแวดล้อมทั้งแบบในเมือง และแบบชนบท ส่วนด้านช่วงอายุที่เหมาะสมพบว่า คนพิการทางการเห็นมีด้วยกันสองกลุ่ม คนพิการทางการเห็นกลุ่มคนพิการทางการเห็นที่มีมาแต่กำเนิด และกลุ่มคนพิการทางการเห็นที่พิการภายหลัง เวลาการฝึกรอบละไม่ควรเกิน 3 ชั่วโมง (รวมเวลาพักแล้ว) และถ้าคนพิการทางการเห็นอยู่ในวัยเด็กต้องผ่านการเตรียมความพร้อมพื้นฐานในการเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว (การใช้สัมผัสทั้ง 5) มาก่อนการสอนการเดินทางส่วนใหญ่จะมีช่วงอายุประมาณ 10ปีขึ้นไป เวลาการฝึกควรฝึกทักษะรอบละไม่ควรเกิน1ชั่วโมง (รวมเวลาพักแล้ว)
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    Support Services for Students with Disabilities in Thai Universities: Satisfaction and Needs of Students and Service Providers
    (2020) Piyarat Nuchpongsai; Teerasak Srisurakul; Silvia M. Correa-Torres; ปิยะรัตน์ นุชผ่องใส; ธีรศักดิ์ ศรีสุรกุล; ซิลเวีย เอ็ม. คอเรีย-เทอเรส; Mahidol University. Ratchasuda College; University of Northern Colorado. School of Special Education
    This study examined administration within Disability Support Service (DSS) offices in Thailand. Service provision in DSS offices and satisfaction and needs of service providers and students with disabilities were also explored. A survey that included structured interview questions was administered to 31 administrators of DSS offices. In addition, a needs and satisfaction questionnaire was used with 73 service providers and 204 students with disabilities who were part of the convenience sample for this study. Results indicated that most DSS offices in Thai universities are under the supervision of the Department of Student Affairs and that there is an average of three service providers per office. It was also found that DSS offices primarily provide Braille translation (67.74%) and equipment and assistive technology or software rental services (54.84%) for students. The service that seemed to be provided the least was counseling (19.35%). About 56.58% of service providers were satisfied with their work while 15.1% and 13.9% expressed dissatisfaction with university support and allocation of budgets respectively. Most service providers (84.8%) and students (77.4%) reported satisfaction with scholarships. Both service providers and students agreed that support for studying abroad is the greatest service need. Findings indicated that Thai DSS offices serve as one-stop centers and deliver services based on a reactive approach. In order to improve the disability support services, it is the responsibilities of university, faculty, DSS office, and student with disabilities and changing policy related to administration and crucial services that affect students’ successful are proposed.
  • PublicationOpen Access
    ผลของดนตรีบำบัดรูปแบบเสมือนจริงที่มีต่อทักษะการคิดเชิงบริหารของเด็กที่มีภาวะออทิสซึม: การวิจัยกรณีศึกษาเดี่ยว
    (2566) ธีร์ดา รูปสุวรรณ; นัทธี เชียงชะนา; อำไพ บูรณประพฤกษ์; Teeda Rupsuwan; Natee Chiengchana; Ampai Buranaprapuk
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของดนตรีบำบัดรูปแบบเสมือนจริงที่มีต่อทักษะการคิดเชิงบริหาร 5 ด้าน ประกอบด้วยความจำเพื่อการใช้งาน การยั้งคิดไตร่ตรอง การยืดหยุ่นความคิด การควบคุมอารมณ์ และการวางแผน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยกรณีศึกษาเดี่ยวแบบผสมระหว่างการวิจัยแบบ ABA Single-Case Design และ Qualitative Single-Case Design ในเด็กที่มีภาวะออทิสซึม กิจกรรมดนตรีบำบัดออนไลน์จัดขึ้นทั้งสิ้น 8 ครั้งสำหรับเด็กชายที่มีภาวะออทิสซึมอายุ 5 ปีและมารดา เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลได้แก่ แบบประเมินพัฒนาการด้านความคิดเชิงบริหาร (MU.EF-101) และแบบประเมินปัญหาพฤติกรรมด้านความคิดเชิงบริหาร (MU.EF-102) คะแนนของทักษะการคิดเชิงบริหารถูกวิเคราะห์โดยใช้กราฟ แบบบันทึกการสังเกต และแบบสัมภาษณ์ผู้ปกครองถูกนำมาใช้เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพของพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับทักษะการคิดเชิงบริหารของเด็ก ผลวิจัยพบว่า ในช่วง Baseline A1 คะแนนเฉลี่ยของพัฒนาการด้านความคิดเชิงบริหารจาก MU.EF-101 เท่ากับ 94.50 และคะแนนเฉลี่ยของปัญหาพฤติกรรมด้านความคิดเชิงบริหารจาก MU.EF-102 เท่ากับ 60 ระหว่างช่วงบำบัด คะแนน MU.EF-101 เพิ่มมากขึ้นจนถึง 111 และคะแนน MU.EF-102 ลดลงจนถึง 38.5 ในช่วง Baseline A2 คะแนนเฉลี่ยของ MU.EF-101 เท่ากับ 112.50 และ MU.EF-102 เท่ากับ 34.67 จากผลวิจัยสรุปได้ว่า ดนตรีบำบัดรูปแบบเสมือนจริงมีผลต่อการส่งเสริมทักษะการคิดเชิงบริหารในเด็กที่มีภาวะออทิสซึม
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    ผลของดนตรีบำบัดที่มีต่อการฟื้นฟูการพูดในคนหูตึง วัยผู้ใหญ่ตอนต้น
    (2562) วทัญญู จิตติเสถียรพร; นัทธี เชียงชะนา; อำไพ บูรณประพฤกษ; Vatanyoo Jittisationporn; Natee Chiengchana; Ampai burnaprapuk; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยดุริยางคศิลป์; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยราชสุดา
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของดนตรีบำบัดที่มีต่อการฟื้นฟูการพูดในคนหูตึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยใช้วิธีวิจัยเชิงทดลองแบบการวัดซ้ำ ร่วมกับวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้เข้าร่วมการวิจัย คือ นักศึกษาที่มีความบกพร่อง ทางการได้ยิน ระดับปริญญาตรี วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 9 คน โดยเข้าร่วมการทดลองกิจกรรม ดนตรีบำบัดแบบกลุ่ม จำนวนทั้งหมด 10 ครั้ง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละหนึ่งชั่วโมง มีกิจกรรมดนตรีบำบัดดังต่อไปนี้ การฝึกโสตประสาทการได้ยิน การวอร์มเสียง และการร้องเพลง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลและวัดผล ประกอบไปด้วย คู่มือทดสอบการพูดของคนหูตึง แบบสังเกต และแบบสัมภาษณ์ การวิจัยนี้ใช้การวิเคราะห์ความ แปรปรวนแบบวัดซ้ำ (Repeated-Measures ANOVA) สำหรับการเปรียบเทียบข้อมูลเชิงปริมาณ และใช้การวิเคราะห์ ข้อมูลแบบอุปนัยสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผลการวิจัย พบว่า ดนตรีบำบัดสามารถฟื้นฟูการพูดในคน หูตึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้นได้ ถึงแม้ว่าค่าเฉลี่ยคะแนนการพูดในภาพรวมทั้งหมดจะไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ที่ระดับ .05 ก็ตาม ซึ่งหากสังเกตค่าเฉลี่ยคะแนนของทุกตัวชี้วัดในการทดสอบก่อน ระหว่าง และหลัง การให้ดนตรีบำบัด จะพบว่ามีตัวชี้วัด 8 ตัว จากทั้งหมด 9 ตัวชี้วัด ที่มีค่าเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นจากการทดสอบแต่ละครั้ง อีกทั้ง ค่าเฉลี่ยคะแนนหลังการให้กิจกรรมดนตรีบำบัดในทุกตัวชี้วัดมีค่าสูงกว่าก่อนการให้กิจกรรมดนตรีบำบัด ซึ่งเพิ่มขึ้นชัดเจนในตัวชี้วัดการเปล่งเสียงได้ชัดเจน และการเปล่งเสียงดัง-เบา ที่ต่างมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ที่ระดับ .05
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    กลวิธีการสอนดนตรีในชั้นเรียนรวมระดับประถมศึกษา: มุมมองจากประสบการณ์ของครูสอนดนตรี
    (2564) อัมทิภา ศิลปพิบูลย์; นัทธี เชียงชะนา; นิอร เตรัตนชัย; Amtipa Sinlapaphiboon; Natee Chiengchana; Ni-on Tayrattanachai; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยราชสุดา; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยดุริยางคศิลป
    การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่มุ่งศึกษากลวิธีการสอนดนตรีในชั้นเรียนรวม ระดับประถมศึกษา โดย ศึกษาผ่านมุมมองจากประสบการณ์ของครูสอนดนตรี จำนวนทั้งหมด 6 ท่าน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์แบบ กึ่งโครงสร้าง การสังเกตการเรียนการสอนแบบไม่มีส่วนร่วมในชั้นเรียน และการศึกษาข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกลวิธี การสอนดนตรีในชั้นเรียนรวมระดับประถมศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการอุปนัย พร้อมทั้งนำเสนอผลการวิจัย ในรูปแบบการบรรยาย ผลการวิจัยพบว่า ครูสอนดนตรีนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับกลวิธีการสอนดนตรีในชั้นเรียนรวม ระดับ ประถมศึกษาไว้ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) การสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้ในความต้องการของนักเรียนเป็นรายบุคคล และการขอคำปรึกษาจากครูการศึกษาพิเศษเพื่อร่วมกันการวางแผนการสอน 2) การออกแบบการสอนที่สอดคล้องกับ ศักยภาพของนักเรียน 3) การนำเทคนิคที่สำคัญมาใช้ในการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ได้แก่ การใช้คำสั่งที่ ชัดเจนและเข้าใจง่าย การกระตุ้นการตอบสนองของนักเรียนตลอดเวลา การสนับสนุนให้เพื่อนช่วยเหลือเพื่อน และการเลือก กิจกรรมที่สนุกสนาน และ 4) การปรับเปลี่ยนการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ
  • PublicationOpen Access
    การใช้เรื่องราวทางสังคมผ่านการเล่านิทานร่วมกับสถานการณ์จำลอง เพื่อพัฒนาทักษะการรอคอยในเด็กที่มีภาวะออทิซึม
    (2566) วาสนา วงค์เสน; นัทธี เชียงชะนา; ธีรศักดิ์ ศรีสุรกุล; Wasana Wongsen; Natee Chiengchana; Teerasak Srisurakul
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้เรื่องราวทางสังคมผ่านการเล่านิทานร่วมกับสถานการณ์จำลองเพื่อพัฒนาทักษะการรอคอยในเด็กที่มีภาวะออทิซึม อายุ 7 ปี เพศหญิง จำนวน 1 คน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยกรณีศึกษากรณีเดี่ยว รูปแบบ ABAB ประกอบด้วย การเก็บข้อมูลในระยะเส้นฐาน (A) และการใช้เรื่องราวทางสังคมผ่านการเล่านิทานร่วมกับสถานการณ์จำลอง (B) ดำเนินการทดลองจำนวนทั้งหมด 12 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ (1) แบบคัดเลือกผู้เข้าร่วมการวิจัยและประเมินทักษะพื้นฐาน (2) แบบสัมภาษณ์ผู้ปกครอง และ (3) แบบประเมินทักษะการรอคอย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์กราฟแสดงผลการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการรอคอย ผลการวิจัย พบว่า ในระยะเส้นฐาน (A1) มีค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการรอคอย 0.83 คะแนน ต่อมาระยะการใช้เรื่องราวทางสังคมผ่านการเล่านิทานร่วมกับสถานการณ์จำลอง (B1) มีค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการรอคอยเพิ่มขึ้นเท่ากับ 1.26 คะแนน เมื่อประเมินในระยะเส้นฐาน (A2) อีกครั้ง พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการรอคอยเพิ่มขึ้นเป็น 1.45 คะเนน และในระยะที่มีการใช้เรื่องราวทางสังคมผ่านการเล่านิทานร่วมกับสถานการณ์จำลอง (B2) มีค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการรอคอยเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.79 คะแนน สรุปได้ว่า การใช้เรื่องราวทางสังคมผ่านการเล่านิทานร่วมกับสถานการณ์จำลองสามารถช่วยส่งเสริมทักษะการรอคอยในเด็กที่มีภาวะออทิซึมได้
  • PublicationOpen Access
    การใช้วีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ในเด็กที่มีภาวะออทิซึม: ปริทัศน์วรรณกรรม
    (2565) ชัชวาลย์ อินต๊ะวัน; นัทธี เชียงชะนา; ธีรศักดิ์ ศรีสุรกุล; Chatchawan Intawan; Natee Chiengchana; Teerasak Srisurakul
    ภาวะออทิซึมเป็นภาวะที่มีความผิดปกติในประสาทพัฒนาการ ส่งผลกระทบให้เกิดข้อจำกัดในการสื่อสารทางสังคม พฤติกรรม และการเรียนรู้ ในปัจจุบันมีแนวทางการช่วยเหลือเด็กที่มีภาวะออทิซึมหลากหลายรูปแบบ และหนึ่งในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพคือการใช้วิดิทัศน์ต้นแบบ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปริทัศน์วรรณกรรมงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้วีดิทัศน์ต้นแบบเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ในเด็กที่มีภาวะออทิซึม โดยสืบค้นงานวิจัยจากฐานข้อมูลออนไลน์ ช่วงปี ค.ศ.2010-2020 ได้จำนวนงานวิจัยที่ศึกษาทั้งหมด 12 เรื่อง ซึ่งนำงานวิจัยดังกล่าวมาทำการวิเคราะห์เนื้อหาจำแนกตามประเด็นหลัก ผลการวิจัย พบว่าเด็กที่มีภาวะออทิซึมที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จำนวน 36 คน และ เพศหญิงจำนวน 6 คน ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้มากที่สุดคือการวิจัยกรณีศึกษากรณีเดี่ยว (Single case design) ในรูปแบบหลายเส้นฐาน งานวิจัยดังกล่าว มุ่งพัฒนาทักษะทางสังคม ทักษะการสื่อสาร ทักษะการเล่น และทักษะการช่วยเหลือตนเอง โดยมีการใช้วีดิทัศน์ต้นแบบ 4 รูปแบบ ได้แก่ 1) วีดิทัศน์ต้นแบบพื้นฐาน (Basic video modeling) 2) วีดิทัศน์ตนเองเป็นต้นแบบ (Video self-modeling) 3) วิดีทัศน์ต้นแบบเฉพาะส่วน (Point-of-view video modeling) และ 4) วีดิทัศน์ตามขั้นตอน (Video prompting) งานวิจัยส่วนใหญ่ใช้แบบสังเกตเป็นเครื่องมือในการวัดและประเมินผล และใช้สถิติเชิงบรรยายในการวิเคราะห์ข้อมูล สำหรับสถานที่ในการเก็บข้อมูลระยะเส้นฐาน (Baseline) เป็นการเก็บข้อมูลในห้องเรียน ส่วนในระยะทดลอง (Intervention) เป็นจัดการเรียนรู้ในห้องส่วนตัว และมีการเก็บข้อมูลเพิ่มเติมในบริบทอื่นๆ ได้แก่ โรงอาหาร ห้องเรียนศิลปะ และห้องดนตรี
  • PublicationOpen Access
    การวิจัยและพัฒนาบทเรียนออนไลน์สาระภูมิศาสตร์ผ่านระบบจัดการ การเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
    (2565) ปรเมศวร์ บุญยืน; พฤหัส ศุภจรรยา; ภัทรานิษฐ สงประชา; นันทพร จางวรางกูล; ศักดา โกมลสิงห์; Poramate Boonyuen; Paruhut Suphajanya; Pattranit Songphacha; Nunthaporn Changwarangkul; Sakda Komonsing
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิจัยและพัฒนาบทเรียนออนไลน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระภูมิศาสตร์ ผ่านระบบจัดการการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ใช้วิธีดำเนินการวิจัยแบบวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ 9 คน ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา 3 คน ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาสาระ 3 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านภาษามือไทย 3 คน ผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนออนไลน์ 30 คน ได้แก่ ครูผู้สอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 15 คน และนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 15 คน นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินทดลองใช้บทเรียนออนไลน์ 37 คน วิธีดำเนินการวิจัย ได้แก่ 1) การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพบทเรียนออนไลน์ 2) การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพแบบทดสอบก่อน-หลังเรียน 3) การทดลองใช้บทเรียนออนไลน์ เพื่อเปรียบเทียบผลคะแนนก่อน-หลังเรียน และการสอบถามความคิดเห็นนักเรียน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1) บทเรียนออนไลน์ ประกอบด้วย เอกสารนำเสนอเนื้อหา วีดิทัศน์ภาษามือพร้อมคำบรรยายแทนเสียง แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน แบบฝึกปฏิบัติ อภิธานศัพท์ และคู่มือการใช้งาน 2) ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนออนไลน์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านภาษามือ อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านเนื้อหาสาระ อยู่ในระดับปานกลาง 3) ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนออนไลน์โดยนักเรียน พบว่า ผลคะแนนทดสอบหลังเรียนมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.01
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานของผู้พิการทางการเคลื่อนไหว ที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานภาคเอกชน
    (2563) เจนจิรา เจนจิตรวาณิช; นนทิรัตน์ พัฒนภักดี; Janejira Janejitvanich; Nontirat Pattanapakdee; มหาวิทยาลัยมหิดล. วิทยาลัยราชสุดา; มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. คณะศิลปศาสตร์ประยุกต์
    บทความวิจัยนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยเรื่อง "ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานภาคเอกชน" มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานของผู้พิการด้านการเคลื่อนไหว การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการเก็บรวมรวมข้อมูลจากคนพิการทางการเคลื่อนไหวที่ปฏิบัติงานในองค์การภาคเอกชน โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-Depth Interview) และกำหนดแนวคำถาม (Guideline) ไว้ล่วงหน้า ส่วนผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือ คนพิการทางการเคลื่อนไหวที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานภาคเอกชนในเขตภาคกลาง จำนวน 12 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างเพิ่มจำนวนแบบลูกโซ่ (Snowball Technique) ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ปัจจัยหลักที่สำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานของผู้พิการด้านการเคลื่อนไหวมีทั้งหมด 5 ปัจจัย คือ 1) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับองค์การ ประกอบด้วยปัจจัยย่อย คือ มีความเข้าใจคนพิการและข้อจำกัดของความพิการ มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองมีความสามารถ สนใจ และรัก การได้รับโอกาสในการทำงาน ความปลอดภัยในการทำงาน การได้รับสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่น ความก้าวหน้าในอาชีพ มีความยืดหยุ่นในการทำงานไม่กดดัน มีการพัฒนาคนพิการ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมขององค์การ บรรยากาศในที่ทำงาน และฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ 2) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับผู้พิการ ประกอบด้วยปัจจัยย่อยคือ เพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา การสนับสนุนจากครอบครัว และเจ้าของกิจการ 3) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับค่าตอบแทนและสวัสดิการ ประกอบด้วยปัจจัยย่อยคือ ค่าตอบแทน สวัสดิการด้านที่พักอาศัย สวัสดิการประกันสุขภาพ ประกันชีวิต และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และสวัสดิการอื่นๆ 4) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ ประกอบด้วยปัจจัยย่อยคือ ทัศนคติทางบวกของคนพิการ การปรับตัวของคนพิการ คนพิการพัฒนาตนเองเสมอ มีความเข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ การดำเนินชีวิตอิสระ 5) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ ประกอบด้วยปัจจัยย่อยคือ ความสะดวกในการเดินทางไปทำงาน ประกันสังคม ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงาน และนโยบายภาครัฐ
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    บทบาทของนักจิตวิทยาการปรึกษาในการฟื้นฟูทางจิตใจ ผู้ป่วยบาดเจ็บ กระดูกสันหลังและครอบครัว
    (2562) นภชนก สุขประเสริฐ; Nopchanok Sukprasert; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด
    การดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บกระดูกสันหลังและไขสันหลังนอกจากการดูแลด้านร่างกายแล้วการดูแลจิตใจก็มีความจำเป็นและสำคัญเช่นกัน การดูแลจิตใจโดยนักจิตวิทยาการปรึกษาซึ่งเป็นหนึ่งในทีมสหสาขาทางการแพทย์ที่ให้การดูแลฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย โดยใช้การปรึกษาเชิงจิตวิทยาเยียวยา รักษา แก้ไข ป้องกันจิตใจ และพัฒนาศักยภาพการดำรงชีวิตของผู้ป่วยระหว่างพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ระยะก่อนจำหน่ายและติดตามการรักษา ซึ่งการดูแลอย่างเป็นองค์รวมนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถใช้ศักยภาพร่างกายและจิตใจให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตในชุมชนได้อย่างผาสุกและมีคุณภาพชีวิตที่ดี บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ของผู้เขียนเกี่ยวกับกระบวนการปรึกษาเชิงจิตวิทยาในผู้ป่วยบาดเจ็บกระดูกสันหลังและไขสันหลังที่เชื่อมโยงกับระยะของความเจ็บป่วย ได้แก่ แรกรับ/ระยะเฉียบพลัน ระยะฟื้นฟูสมรรถภาพ ระยะก่อนจำหน่ายจากโรงพยาบาล และระยะติดตามการรักษาเพื่อเป็นแนวทางในการนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลและฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้ป่วยบาดเจ็บกระดูกสันหลังและครอบครัว