Thesis and Thematic paper

Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/123456789/90105

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 11527
  • Item
    การสื่อสารวัฒนธรรมร่วมของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่ผ่านทวิตเตอร์: กรณีศึกษาการคัดค้านการคุกคามทางเพศในประเทศไทย
    (หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล, 2563) วัลลิภา โพธิ์แดง; นันทิยา ดวงภุมเมศ
    งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กลยุทธ์ วิธีการสื่อสารวัฒนธรรมร่วมและรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาการคัดค้านการคุกคามทางเพศในประเทศไทยของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่ผ่านทวิตเตอร์ ใช้แนวทางการวิจัยเชิงปริมาณ โดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา เก็บรวบรวมข้อมูลจากทวิตเตอร์ ประกอบด้วย ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และวิดีโอที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการคัดค้านการคุกคามทางเพศในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2562 จาก 3 ประเด็น คือ 1) การเรียกร้องเพื่อตนเอง แฮชแท็ก #ประชุมสภา 2) การเรียกร้องเพื่อผู้อื่น แฮชแท็ก #ลัลลาเบล และ 3) การเรียกร้องเพื่อผู้อื่นและมีแนวโน้มในการแสดงจุดยืนของตนเอง แฮชแท็ก #แบนพล่ากุ้ง รวมทั้งหมด 384 แฮชแท็ก แฮชแท็กละ 128 ทวีต เรียงลำดับตามความนิยมในการรีทวีตสูงสุด จากการศึกษา พบว่า ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่นี้ เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้นำในการเคลื่อนไหว ไม่มีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน แต่มีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคมและสร้างความตระหนักต่อภัยของการถูกคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้นกับคนในสังคมไทย โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์จำนวนหนึ่งที่ต้องการคัดค้านการคุกคามทางเพศในประเทศไทยและใช้ทักษะการสื่อสารวัฒนธรรมร่วมเพื่อนำเสนอเนื้อหาการเคลื่อนไหวทางสังคม โดยการนำแฮชแท็ก (#) มาวางประกอบในเนื้อหาเพื่อจัดกลุ่มขบวนการตามประเด็นที่สนใจและเผยแพร่ผ่านทวิตเตอร์ ผลการวิเคราะห์กลยุทธ์และวิธีการสื่อสารวัฒนธรรมร่วม พบว่า ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม รูปแบบใหม่นิยมเลือกใช้กลยุทธ์และวิธีการสื่อสารวัฒนธรรมร่วมผสมผสานกันในแต่ละทวีต กลยุทธ์การสื่อสารวัฒนธรรมร่วมที่ถูกนำมาใช้มากที่สุด คือ “กลยุทธ์การแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนมาก” โดยวิธีการสื่อสารวัฒนธรรมร่วมที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ดังกล่าวและได้รับความนิยมในการเลือกใช้มากที่สุดคือ “การโจมตี” โดยขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่จะสร้างเนื้อหาการคัดค้านการคุกคามทางเพศตามวิธีการที่เลือกใช้ ผลการวิเคราะห์รูปแบบการนำเสนอเนื้อหาการคัดค้านการคุกคามทางเพศ พบว่า การสื่อสารด้วยข้อความถูกนำมาใช้ในทุกทวีตที่ศึกษา โดยมีการดัดแปลงให้มีรูปแบบที่หลากหลายและนิยมใช้ร่วมกับรูปแบบการนำเสนออื่น เรียงตามลำดับความนิยมและความสะดวกในการใช้งาน คือ รูปภาพ วิดีโอ และภาพเคลื่อนไหว
  • Item
    การอยู่อย่างเท่าทันสภาวะลักษณ์ย่อยแบบผดุงตนของคนลักษณ์ 7: การโหยหากลุ่มคนคอเดียวกัน
    (หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล, 2563) พรรณเศรษฐ์ นุ่มหนู; สมสิทธิ์ อัสดรนิธี; ศักดิ์ชัย อนันต์ตรีชัย
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์เกี่ยวกับการดำรงอยู่อย่างเท่าทันกับสภาวะลักษณ์ย่อยแบบผดุงตนของคนลักษณ์ 7: การโหยหากลุ่มคนคอเดียวกันของผู้วิจัย และมีวัตถุประสงค์ย่อยดังนี้ 1) เพื่อศึกษาลักษณะของลักษณ์ย่อยผดุงตนของคนลักษณ์ 7: การโหยหากลุ่มคนคอเดียวกันของผู้วิจัย 2) เพื่อศึกษาสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อสภาวะลักษณ์ย่อยแบบผดุงตนของคนลักษณ์ 7: การโหยหากลุ่มคนคอเดียวกันของผู้วิจัย 3) เพื่อศึกษามุมมองใหม่ของผู้วิจัยที่มีต่อสภาวะลักษณ์ย่อยแบบผดุงตนของคนลักษณ์ 7: การโหยหากลุ่มคนคอเดียวกันโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบฮิวริสติก (Heuristic research) และใช้การเขียนด้วยการใคร่ครวญด้านใน (Contemplative Writing) ในการเก็บข้อมูล มีระยะเวลาของการเก็บข้อมูลทั้งสิ้น 7 เดือน ผลจากการศึกษาพบว่าลักษณะลักษณ์ย่อยผดุงตนของผู้วิจัย ประกอบด้วย ความต้องการการยอมรับจากคนคอเดียวกันเพื่อกลับมายอมรับในตัวเอง การเสพความสุขที่ไม่เคยเพียงพอและการวางแผนเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุข มุมมองที่เลือกเพียงสิ่งที่ชื่นชอบและละทิ้งสิ่งที่ไม่พึงใจ ความคิดที่ยึดติดและการยึดถือความคิดเป็นตัวตน ความกลัวที่ต้องสูญเสียตัวตน คุณค่า อิสรภาพ และการป้องกันตนเองจากความเจ็บปวดด้วยการใช้เหตุผลมาอธิบาย ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อสภาวะลักษณ์ย่อยผดุงตนของผู้วิจัย พบว่า การปล่อยวางแรงกดดันของตนเองออกจากงานวิจัยและประเด็นโหยหาคนคอเดียวกัน เป็นสิ่งสำคัญแรกสุดที่ทำให้เกิดการตระหนักถึงความคิดที่ยึดติดของตนเอง นอกจากนั้น ความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตนเอง การเผชิญหน้ากับทุก ๆ ประสบการณ์ทั้งความสุขและความทุกข์อย่างตรงไปตรงมา ไม่ด่วนตัดสิน การกลับมาทบทวนสิ่งที่ตนเองได้บันทึกเอาไว้และการสะท้อนตนเองผ่านการอ่านบันทึก แรงผลักดันและการสนับสนุนของกัลยาณมิตร เป็นองค์ประกอบที่เกื้อหนุนให้ผู้วิจัยตระหนักถึงสภาวะลักษณ์ย่อยแบบผดุงตนของตนเองมากขึ้น มุมมองใหม่ที่มีต่อสภาวะลักษณ์ย่อยแบบผดุงตนของผู้วิจัย พบว่า ความโหยหาคนคอเดียวกัน ที่เกิดจากกิเลสภายในใจ แปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจและเรียนรู้ที่จะตอบสนองให้ช้าลง เคารพความหลากหลายที่แตกต่างจากความคิด ความเชื่อ และความต้องการของตนเอง เปิดรับกับทุกความรู้สึกของตนเองและเปิดรับความรู้สึกของผู้อื่น ให้มากขึ้น เห็นช่องทางที่จะพัฒนาตนเองบนความเป็นลักษณ์ 7 ผดุงตน คนคอเดียวกันของตนเองต่อได้
  • Item
    ความเสี่ยงทางโภชนาการ การดูแลทางโภชนาการ และผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดใหญ่
    (หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล, 2560) สุกัญจนา พันธ์ศรี; พรรณวดี พุธวฒนะ; นพวรรณ เปียซื่อ
    การวิจัยเชิงบรรยายครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและหาความสัมพันธ์ของ ความเสี่ยงทางโภชนาการ การดูแลทางโภชนาการ และผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดใหญ่ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดใหญ่ทางศัลยกรรม โรงพยาบาลรามาธิบดี ในปี พ.ศ. 2558 จำนวน 70 คน เลือกตัวอย่างแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด เก็บข้อมูลด้วยแบบบันทึกข้อมูลและแบบคัดกรองทางโภชนาการ (Nutrition Alert Form) ประเมินความเสี่ยงทางโภชนาการแรกรับเข้ารักษาในโรงพยาบาล ติดตามบันทึกการดูแลทางโภชนาการและผลลัพธ์ทางคลินิกระหว่างอยู่ในโรงพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย และสถิติสหสัมพันธ์ของสเปียร์แมนผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 24.3 มีความเสี่ยงทางโภชนาการ และร้อยละ 7.1 มีภาวะทุพโภชนาการรุนแรง กลุ่มตัวอย่างที่ได้เริ่มให้อาหารหลังการผ่าตัดเร็วที่สุดคือ 1 ชั่วโมงหลังผ่าตัด และอย่างช้าที่สุดคือ 112 ชั่วโมงหรือ 4.67 วันหลังผ่าตัด เมื่อจำแนกเป็นการเริ่มให้อาหารได้เร็วภายใน 48 ชั่วโมง พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 92.9 เริ่มให้ได้เร็ว และร้อยละ 97.1 มีระยะเวลาที่ให้อาหารได้ตามเป้าหมายเร็วคือภายใน 7 วัน มีจำนวนวันนอนในโรงพยาบาล ตั้งแต่ 2 วันถึง 27 วัน เฉลี่ย 5.1 วัน และค่ามัธยฐาน 4.0 วัน กลุ่มตัวอย่างมีการติดเชื้อร้อยละ 2 แต่ไม่พบการตาย เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่าคะแนนความเสี่ยงทางโภชนาการกับจำนวนวันนอนโรงพยาบาลไม่มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (rs = .073, p > .05) แต่ระยะเวลาที่เริ่มให้อาหารกับจำนวนวันนอนโรงพยาบาลมีความสัมพันธ์กันในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (rs = .514, p < .01) และระยะเวลาที่ให้อาหารได้ตามเป้าหมายกับจำนวนวันนอนโรงพยาบาลมีความสัมพันธ์กันในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (rs = .740, p < .01) การดูแลด้านโภชนาการในผู้ป่วยศัลยกรรมมีความสำคัญ ควรมีการคัดกรองความเสี่ยงทางโภชนาการตั้งแต่แรกรับเข้าโรงพยาบาล ให้การดูแลด้านโภชนาการที่เหมาะสมเพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีและเป็นมาตรฐาน
  • Item
    Service quality measurement model for urban railway operators in Thailand
    (Mahidol University Library and Knowledge Center, 2018) Siripong Pongjirawut; Wasaporn Techapeerapanich; Siradol Siridhara; Jirapan Liangrokapart
    This research summarized and compared different performance measurement standards to measure service quality of railway operators at international level and in Thailand. Research reviewed performance measurement standards, and 9 standards were compared in terms of criteria, sub-criteria and KPIs. Various criteria, including availability, accessibility, information, time, customer care, comfort, security and environmental impact criteria were analyzed in 3 steps: 1.) Constant Comparative Method 2.) Selection of service quality measurement criteria by Delphi method, and 3.) A process of assigning weights to criteria and sub-criteria for service quality by AHP, respectively. The results of the part of constant comparison analysis showed that there were a total of 8 main criteria, 32 sub-criteria and a total of 284 KPIs to measure service quality of railway operators. The number of KPIs obtained from the results was more than KPI recommended by EN 13816 which is 193 KPIs. Based on the results of constant comparison analysis, the researcher created a questionnaire and conducted a survey with 19 experts from private, state enterprise and academic sectors. The consensus results obtained from the second round of Delphi technique included 8 criteria, 20 sub-criteria and 67 KPIs. 217 KPIs selected by some experts, didn’t pass the 4 selection conditions of the Delphi method. Based on the results of Delphi technique, the researcher selected 8 criteria and 32 sub-criteria for service quality measurement model to consider and analyze the priority.
  • Item
    Effectiveness of back exercise and education for low back pain prevention among nurses at a tertiary hospital
    (Mahidol University Library and Knowledge Center, 2017) Thanapol Chaiprateep; Teera Kolladarungkri; Witsanu Kumthornthip; Saowalak Hunnangkul
    Low back pain is a serious problem in public health and it is considered to be a major problem among occupational diseases. The purpose of this study was to examine the effectiveness of back exercise for low back pain prevention among nursing personnel. This was a quasi-experimental study conducted using a sample of sixty nurses from Siriraj Hospital. They were randomly divided into two groups; a training group and a control group. The training group followed a back exercise program including pelvic tilt, back extension, and knee to chest at least 3 days per week for 12 weeks while the control group was allowed to perform usual activities. Data collection was done by the same questionnaire at the 1st, 4th, 8th, and 12th week. The results of this study indicated that there were significant differences of pain score and Thai Version of Oswestry Questionnaire score between training and control group (P-value < 0.001) and the beneficial effects improved significantly during the time point of exercise (P-value < 0.001). It was therefore concluded that back exercise could relieve low back pain, improve disability score and it could also be helpful for low back pain prevention.
  • Item
    Science Students' EFL Reading Motivation at a Thai secondary school: a self determination theory-based study
    (Mahidol University Library and Knowledge Center, 2020) Natthinee Songnuan; Singhanat Nomian; Kanopporn Wonggarasin
  • Item
    ภาษาและวัฒนธรรมไทยในบริบทร่วมสมัยกับการสร้างอัตลักษณ์ความเป็นมาเลเซียเชื้อสายไทยในรัฐเกอดะฮ์ ประเทศมาเลเซีย
    (หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล, 2563) รณกร รักษ์วงศ์; ณรงค์ อาจสมิติ; สุภาสเมต ยุนยะสิทธิ์; ยูเนียนสาสมีต้า สาเมาะ
  • Item
    ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการคิดเชิงบริหารของเด็กก่อนวัยเรียน
    (หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล, 2562) ดวงฤทัย เสมคุ้มหอม; อาภาวรรณ หนูคง; สมสิริ รุ่งอมรรัตน์; นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล
  • Item
    A parallel corpus analysis of anaphora and co-reference in English-Thai literary translations of George Orwell's animal farm (1959-2017)
    (Mahidol University Library and Knowledge Center, 2021) Peemrapat Rongsawat; Isara Choosri
  • Item
    การปรับตัวข้ามวัฒนธรรมของครูชาวต่างชาติในโรงเรียนมัธยมศึกษา เขตจังหวัดชลบุรี
    (หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล, 2563) วรณัน สัตบุศย์; นันทิยา ดวงภุมเมศ; สิรินทรพิบูลภานุวัธน์
  • Item
    ความชุกและความสัมพันธ์ของแบบแผนการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายหลังการเล่นกีฬาฟุตบอลเพศชาย เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนามาตรการป้องกัน
    (หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล, 2562) มนัสนันท์ มาทอง; โธมัส กวาดามูซ; ศิริวรรณ ไกรสุรพงศ์; ดรุณี ภู่ขาว
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประสบการณ์และความหมายของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกลุ่มผู้เล่นกีฬาฟุตบอลเพศชาย 2) เพื่อศึกษาความชุกของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกลุ่มผู้เล่นกีฬาฟุตบอลเพศชาย และ 3) เพื่อศึกษารูปแบบและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกลุ่มผู้เล่นกีฬาฟุตบอลเพศชาย ที่มีความสัมพันธ์ต่อการดื่มหนัก (Binge Drinking) ในผู้เล่นกีฬาฟุตบอล โดยการสัมภาษณ์ผู้เล่นกีฬาจำนวน 7 คน และสุ่มเก็บแบบสอบถามจำนวน 400 ฉบับ ภายหลังจากการเตะเสร็จ จากสนามฟุตบอลภายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปผลจากการศึกษาพบว่า ณ ปัจจุบันผู้เล่นกีฬาฟุตบอลเลือกที่จะดื่มเบียร์ เพราะเชื่อว่าเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง ช่วยให้ร่างกายหายจากการเจ็บปวดและช่วยให้ผ่อนคลายจากความตึงเครียด อีกทั้งช่วยเพิ่มอรรถรสในวงสนทนาแบบฉบับของความเป็นชาย และมีจำหน่ายในสนามฟุตบอล ผู้เล่นกีฬาฟุตบอลส่วนใหญ่เริ่มดื่มภายหลังจากการเตะเสร็จและดื่มอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าผู้เล่นจะรับรู้ถึงผลเสียของการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นอย่างดีเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเกิดโรคและอุบัติเหตุ แต่ยังคงปรากฏแบบแผนพฤติกรรมการดื่มที่ซ้ำ ๆ กัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการดื่มหนักอย่างต่อเนื่อง ผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถามที่ดัดแปลงมาจาก The Alcohol Use Disorder Identification Test (AUDIT) ขององค์การอนามัยโลก เริ่มต้นเก็บข้อมูลทางประชากรศาสตร์ พบพฤติกรรมการดื่มหนัก โดยเฉพาะเมื่อผู้เล่นกีฬาฟุตบอลที่มีอายุเพิ่มขึ้น ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติรีเกรสชัน ทำให้ทราบว่าอายุของผู้เล่นกีฬาฟุตบอลเพศชายมีความสัมพันธ์ต่อการดื่มหนักอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ P < 0.05$ และมีโอกาสของการดื่มหนักในอนาคตที่ค่าความเชื่อมั่น 95% ความชุกของการดื่มหนักอยู่ที่กลุ่มอายุ 26-35 ปี คิดเป็นร้อยละ 79.20 ขณะที่ผู้เล่นกีฬาฟุตบอลส่วนใหญ่ให้ข้อมูลที่ตรงกันว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายหลังจากการเตะนั้นเป็นเพียงเครื่องดื่มที่ช่วยดับกระหายและเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสังคมผู้เล่นกีฬาฟุตบอลเท่านั้น การศึกษาครั้งนี้เป็นที่น่าตกใจอย่างยิ่ง เมื่อพบผู้ให้ข้อมูลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยนี้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจากการเมาและขับ แต่กระนั้นผู้เล่นกีฬาฟุตบอลในทีมเดียวกันยังคงใช้ชีวิตกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายหลังจากการเตะ
  • Item
    ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของคนทำงานที่ป่วยด้วยโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท
    (หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล, 2560) สรญา ขวาไทย; สุรินธร กลัมพากร; จุฑาธิป ศีลบุตร
    การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการดูแลตนเองในผู้ป่วยวัยทำงานที่ป่วยด้วยโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาทตามกรอบแนวคิด PRECEDE-PROCEED framework กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยวัยทำงานที่ป่วยด้วยโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาททั้งหมด 170 คน คัดเลือกผู้ป่วยโดยใช้การสุ่มอย่างง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น วิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ตามแบบเพียร์สัน และถดถอยพหุแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาทมีพฤติกรรมการดูแลตนเองอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 57.6) โดยมีพฤติกรรมการดูแลตนเองในเรื่องของการไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติมากที่สุด ในการวิจัยนี้พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลเรื่องเพศ อายุ อาชีพและระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของคนทำงานที่ป่วยด้วยกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาทอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) ปัจจัยนำพบว่า ทัศนคติมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของคนทำงานที่ป่วยด้วยโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาทอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) และอาการปวดมีความสัมพันธ์เชิงลบกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของคนทำงานที่ป่วยด้วยโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาทอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) ปัจจัยเอื้อ ได้แก่ การเข้าถึงสื่อทางด้านสุขภาพ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของคนทำงานที่ป่วยด้วยโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาทอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) ปัจจัยเสริม ได้แก่ การได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัว สถานทำงานและเพื่อนร่วมงานมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของคนทำงานที่ป่วยด้วยโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาทอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ (p-value =< 0.05) ตัวแปรที่สามารถอธิบายพฤติกรรมการดูแลตนเองของคนทำงานที่ป่วยด้วยโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท ได้แก่ การได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัว สถานที่ทำงานและเพื่อนร่วมงาน ข้อจำกัดในการทำงาน เพศ อาการปวดและอายุ โดยสามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการดูแลตนเองของคนทำงานที่ป่วยด้วยโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท ได้ร้อยละ 42.3 (R2 = 0.423) ผลการวิจัยนี้มีข้อเสนอแนะว่า ควรมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการได้รับการสนับสนุนเรื่องของพฤติกรรมการดูแลตนเองจากครอบครัว สถานที่ทำงานและเพื่อนร่วมงานให้กับในกลุ่มผู้ป่วยวัยทำงาน
  • Item
    โปรแกรมเสริมทักษะชีวิตเพื่อการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นหญิงตอนต้นในสถานสงเคราะห์เด็กหญิง
    (หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล, 2561) วรากร มณีสุวรรณ; สุนีย์ ละกำปั่น; อาภาพร เผ่าวัฒนา
    การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเสริมทักษะชีวิตเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นหญิงตอนต้น ในสถานสงเคราะห์เด็กหญิง กลุ่มตัวอย่าง คือ วัยรุ่นหญิงอายุ 10 – 14 ปี ในสถานสงเคราะห์เด็กหญิงในประเทศไทย จำนวน 60 คน สุ่มสถานสงเคราะห์เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ สุ่มเด็กที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์คัดเข้ากลุ่มละ 30 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมเสริมทักษะชีวิตเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น กิจกรรมการเรียนรู้มีทั้งหมด 4 ครั้ง เป็นกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมผ่านกระบวนการกลุ่ม ประกอบด้วย การประเมินตนเอง ข้อดี ข้อบกพร่อง สะท้อนความรู้สึก และแนวทางการพัฒนาความภูมิใจในตนเอง การสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางเพศและพัฒนาการวัยรุ่น ความแตกต่างระหว่างเพศ การจัดการอารมณ์ โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และวิเคราะห์ร่วมกัน การวิเคราะห์สาเหตุ ผลกระทบ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ และ แนวทางป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยใช้เกม สื่อวิดีโอ และใบงาน และการฝึกทักษะการปฏิเสธและการ เจรจาต่อรองในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่าง ๆ รวมระยะเวลา 4 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินผลลัพธ์ของ โปรแกรมในทักษะชีวิตด้านความภูมิใจในตนเอง ความตระหนักรู้ในตน ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การปฏิเสธ และการเจรจาต่อรอง และพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ โดยวิธีตอบแบบสอบถามด้วยตนเองในระยะก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และระยะติดตามผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Independent t-test, Chi-square, Likelihood Ratio Fisher’s Exact Test, Two way Repeated Measures ANOVA, Repeated one way ANOVA และ Bonferroni ผลการวิจัยพบว่า เมื่อสิ้นสุดการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการเปลี่ยนแปลงทักษะชีวิตด้านความตระหนักรู้ในตนจากก่อนทดลองสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) และคะแนนเฉลี่ยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์จากก่อนทดลองสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติ (p < 0.05) ส่วนคะแนนเฉลี่ยด้านความภูมิใจในตนเอง ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การปฏิเสธและการเจรจา ต่อรองไม่แตกต่างกัน สรุปโปรแกรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นหญิงตอนต้น ในสถานสงเคราะห์เด็กหญิงสามารถเพิ่ม ความตระหนักรู้ในตนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเพศและพัฒนาการวัยรุ่น และพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ ซึ่งโปรแกรมนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเสริมทักษะชีวิตเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นหญิงตอนต้นได้
  • Item
    เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก: ความพึงพอใจและผลกระทบด้านจิตสังคมของคนที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหวในจังหวัดสมุทรสาคร
    (หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล, 2560) วราพร ปัญญาวงศ์; เบญจพร ศักดิ์ศิริ; พรพรรณ์ สมบูรณ์
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) ระดับความพึงพอใจต่อเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก 2) ระดับผลกระทบด้านจิตสังคมของเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจกับ ผลกระทบด้านจิตสังคมของเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก 4) ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกของคนที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหวในจังหวัดสมุทรสาคร งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ประชากรเป็นคนที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหวที่เป็นสมาชิก ชมรมคนพิการจังหวัดสมุทรสาคร อายุ 18 ปี ขึ้นไป คำนวณตัวอย่างโดยยึดหลักอำนาจการวิเคราะห์ (Power analysis) ด้วยโปรแกรม G*Power ได้ตัวอย่างจำนวน 92 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยการสุ่มแบบง่าย เก็บข้อมูลในช่วงเดือน มีนาคม - เมษายน พ.ศ. 2560 ณ ที่พักอาศัยของกลุ่มตัวอย่างหรือจุดนัดหมายที่กลุ่มตัวอย่างสะดวก โดยใช้แบบสอบถามที่พัฒนามาจากแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ต่อเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกของควิเบค เวอร์ชั่น 2.0 (QUEST 2.0) และแบบประเมินผลกระทบด้านจิตสังคมของเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (PIADS) ที่ผ่านการหาค่าความตรงจากผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง และการหาความเชื่อมั่นจากประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง วิเคราะห์ ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของ เพียร์สัน ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับสูง (mean = 4.25, standard deviation = 0.84) 2) ระดับผลกระทบด้านจิตสังคมโดยรวมอยู่ในระดับเชิงบวกปานกลาง (mean = 2.22, standard deviation = 0.84) 3) ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจโดยรวมกับผลกระทบด้านจิตสังคมโดยรวมอยู่ในทางบวกระดับต่ำ (r = 0.249, p < 0.05) 4) ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการใช้งานเกี่ยวข้องกับคนพิการ กิจกรรม บริบท อุปกรณ์และบริการ เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก และด้านอื่น ๆ
  • Item
    ประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาทักษะชีวิตโดยการสนับสนุนของผู้ปกครองในการป้องกันตนเองจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศในเด็กนักเรียนหญิง
    (หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล, 2559) วันเพ็ญ ศรีทองกูล; อาภาพร เผ่าวัฒนา; พิมพ์สุรางค์ เตชะบุญเสริมศักดิ์
    การวิจัยครั้งที่เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ทักษะชีวิตโดยการสนับสนุนของผู้ปกครองในการป้องกันตนเองจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศในเด็กนักเรียนหญิง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในโรงเรียนประถมศึกษา อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีสุ่มอย่างง่าย จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน กลุ่มเปรียบเทียบ 30 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมพัฒนาทักษะชีวิตโดยการสนับสนุนของผู้ปกครองในการป้องกันตนเองจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยประยุกต์ใช้แนวคิดทักษะชีวิตในการป้องกันการถูกล่วงละเมิดทางเพศร่วมกับกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม และการสนับสนุนของผู้ปกครองด้านข้อมูลข่าวสาร และการสนับสนุนด้านอารมณ์ เพื่อให้เด็กนักเรียนหญิงได้พัฒนาทักษะการตระหนักรู้ในตน ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลและทักษะการสื่อสาร เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ใช้เวลาฝึกอบรมจำนวน 4 ครั้ง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired t-test และ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศสูงกว่าก่อนทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < .05) และมีค่าเฉลี่ยทักษะการป้องกันตนเองจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศสูงกว่าก่อนทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < .001) ข้อเสนอแนะจากการทำวิจัยครั้งนี้คือ พยาบาลทั้งในชุมชนและโรงเรียนสามารถนำโปรแกรมจากการวิจัยครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาทักษะชีวิตในการป้องกันการถูกล่วงละเมิดทางเพศในเด็กนักเรียนหญิงได้
  • Item
    Factors associated with quality of life among lung cancer patients
    (Mahidol University. Mahidol University Library and Knowledge Center, 2016) Phan, Thi Thu Hue, 1972-; Wallada Chanruangvanich; Wimolrat Puwarawuttipanit
  • Item
    Nursing intervention for reducing postoperative pain in retinal detachment patients
    (Mahidol University. Mahidol University Library and Knowledge Center, 2001) Khonglao Sawatdesawanee; Suvimol Kimpee; Suporn Danaidutsadeekul
  • Item
    Guideline for self-care ability development in renal transplantation patients
    (Mahidol University. Mahidol University Library and Knowledge Center, 2005) Supanee Wilainumchokechai; Somporn Chinnoros
  • Item
    The relationship between perceived self-efficacy, perceived barriers to action and health-promoting behaviors of professional nurses in Nonthaburi province
    (Mahidol University. Mahidol University Library and Knowledge Center, 2004) Matanee Duangjinda; Nantawon Suwonnaroop