SH-Article

Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/106

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 133
  • PublicationOpen Access
    แนวคิดสุขภาพและการแพทย์ทางเลือก: มุมมองจากผู้ใช้การแพทย์ทางเลือก
    (2565) เพ็ญจันทร์ ประดับมุข เชอร์เรอร์; รัชดา เรืองสารกุล; Penchan Pradubmook Sherer; Ratchada Ruangsarakul
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องสุขภาพ และประสบการณ์การใช้การแพทย์ทางเลือก จากมุมมองของผู้เลือกใช้การแพทย์ทางเลือก วิธีการศึกษาใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลจำนวน 10 ราย ที่มีลักษณะทางสังคม ประชากร อาชีพที่หลากหลาย โดยเลือกแบบเจาะจงกับผู้ให้ข้อมูลที่มีประสบการณ์การใช้การแพทย์ทางเลือกหลายรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า ประชาชนมีมุมมองด้านสุขภาพในเชิงบูรณาการในทุกมิติ ทั้งการปราศจากโรค หรือความเจ็บป่วย การมีความแข็งแรง มีภูมิต้านทาน มีความสุข และการมีความสามารถในการดูแลตนเอง นิยามสุขภาพจึงไม่ได้มีความหมายที่คงที่ แต่ลื่นไหล เป็นพลวัตร ในขณะที่แนวคิดต่อการแพทย์ทางเลือก มีความหลากหลาย ทั้งการเป็นการแพทย์ที่ไม่ใช่การแพทย์กระแสหลัก การมีศักดิ์ศรีที่ด้อยกว่า การแพทย์แบบองค์รวม บูรณาการ เข้าถึงง่าย เป็นการแพทย์ที่ประชาชนตัดสินใจเลือก และผู้ใช้บริการต่อรองได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ สะท้อนแนวคิดเรื่องสุขภาพในยุคหลังสมัยใหม่ ที่มีชุดวาทกรรมที่หลากหลาย และอำนาจในตนในการมุ่งที่จะดูแลตนเอง งานวิจัยนี้มีข้อเสนอแนะในการนำชุดวาทกรรมการแพทย์ทางเลือกที่เกี่ยวข้องกับอุดมการณ์การดูแลตนเอง การรับผิดชอบสุขภาพด้วยตนเอง เพื่อการขับเคลื่อน ส่งเสริม และผลักดันนโยบายการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งในการดูแลตนเองด้านการแพทย์ทางเลือกอย่างเป็นรูปธรรม และเพิ่มช่องทางการให้ความรู้เกี่ยวกับการแพทย์ทางเลือกที่หลากหลาย และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเลือก สนับสนุนองค์กรประชาคมสุขภาพในระดับรากหญ้าในการจัดกระบวนการเรียนรู้ด้านการแพทย์ทางเลือก
  • PublicationOpen Access
    คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรงพยาบาลศิริราชที่ได้รับการผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลังระดับเอว ของโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนจากความเสื่อม: การศึกษาแบบย้อนหลังและติดตาม
    (2565) กมลชนก ศิริบัญชาชัย; สุกัญญา จงถาวรสถิตย์; อารีศักดิ์ โชติวิจิตร; Kamolchanok Siribanchachai; Sukanya Chongthawonsatid; Areesak Chotivichit
    การวิจัยนี้ใช้วิธีการศึกษาแบบย้อนหลังและติดตาม เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยโรงพยาบาลศิริราช ที่ได้รับการผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลังระดับเอวของโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนจากความเสื่อม ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลังระดับเอวของโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนจากความเสื่อม จำนวน 145 ราย จากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 และติดตามคุณภาพชีวิตหลังการผ่าตัดของผู้ป่วยเหล่านั้น จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ผ่านการสอบถามทางโทรศัพท์ ทั้งนี้ ระยะเวลาติดตามผู้ป่วยมีตั้งแต่ 10 เดือน ถึง 6.8 ปี เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วย และ แบบสอบถามคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ แบบสอบถามคุณภาพชีวิต 5 มิติ (EQ-5D-5L) และ แบบประเมินสภาวะสุขภาพ Visual Analog Scale (VAS) ผลการศึกษาพบว่า (1) ผู้ป่วยที่มีอาการปวดร้าวลงขาก่อนผ่าตัด จะมีปัญหาคุณภาพชีวิตในมิติการเคลื่อนไหว, กิจกรรมที่ทำเป็นประจำ, และมีความวิตกกังวลหรือความซึมเศร้า มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีอาการปวดร้าวลงขาก่อนได้รับการผ่าตัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (2) ผู้ป่วยที่มีระยะเวลาติดตามผลการรักษา 4 ปีขึ้นไป จะมีปัญหาคุณภาพชีวิตในมิติการเคลื่อนไหว, การดูแลตนเอง, และกิจกรรมที่ทำเป็นประจำ มากกว่าผู้ป่วยที่มีระยะเวลาติดตามผลการรักษาน้อยกว่า 2 ปี และ 2 ถึง 4 ปี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยหลังการผ่าตัดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ระยะเวลาติดตามผลการรักษา และ (4) ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสภาวะสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ระดับความรุนแรง grade II และการมีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัย ได้แก่ แพทย์ควรอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าหลังผ่าตัดอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ และภายหลังการรักษา 4 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยอาจมีคุณภาพชีวิตที่ลดลง ทั้งในมิติการเคลื่อนไหว การดูแลตนเอง และกิจกรรมที่ทำเป็นประจำ แนะนำให้ผู้ป่วยบริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรง ควบคุมน้ำหนักให้อยู่เกณฑ์มาตรฐาน และพบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
  • PublicationOpen Access
    นโยบายการคลังกับเงินบาทดิจิทัล: อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    (2566) รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ; สมบูรณ์ ศิริสรรหิรัญ; Rhatsarun Tanapaisankit; Somboon Sirisunhirun
    บทความวิชาการนี้ใช้วิธีการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (Systematic Literature Review) โดยมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเพื่อเตรียมพร้อมกับการใช้เงินบาทดิจิทัลที่อาจจะมาถึงในไม่ช้านี้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้เริ่มทดสอบนำร่องการใช้เงินบาทดิจิทัลกับภาคประชาชน (Retail Central Bank Digital Currency: Retail CBDC) ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 กับสถาบันการเงิน 3 แห่งและกลุ่มตัวอย่าง 10,000 ราย รวมถึงการทดสอบในระดับนวัตกรรมว่าเงินบาทดิจิทัลสามารถทำได้มากกว่าแค่การใช้จ่ายในระดับพื้นฐาน หรือการโอนชำระค่าสินค้าและบริการมากน้อยเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้น รัฐในการฐานะผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังก็ได้เตรียมความพร้อม สังเกตได้จากที่ได้มีพัฒนาการการปรับใช้สกุลเงินบาทผ่านระบบการชำระเงินของไทยที่ได้ปรับให้เข้ากับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ระบบพร้อมเพย์ที่เป็นการใช้สกุลเงินผ่านระบบภาคธนาคารของเอกชน หรือการใช้นโยบายการคลังผ่านแอพพลิเคชั่นเป๋าตังของธนาคารพาณิชย์ของรัฐ เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้ศึกษาถึงการใช้สกุลเงินดิจิทัลในประเทศจีนที่ใช้ชื่อว่า หยวนดิจิทัล เพื่อที่จะนำมาเป็นแนวทางในการปรับใช้กับการดำเนินนโยบายการคลังในบริบทของสังคมไทยหากจะมีการใช้เงินบาทดิจิทัลในอนาคตอันใกล้นี้ หรือแต่ละภาคส่วนควรจะมีการเตรียมพร้อมเพื่อรับมืออย่างไร ทั้งนี้ ภาครัฐควรที่จะเตรียมความพร้อมทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัล ธรรมาภิบาลข้อมูลโดยเฉพาะในด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การจัดตั้งหน่วยงานโดยเฉพาะเพื่อบริหารและยกระดับการจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และการสอดประสานนโยบายการเงินร่วมกับนโยบายการคลัง รวมถึงติดตามสถานการณ์การใช้สกุลเงินดิจิทัลในต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถเตรียมใช้ประโยชน์จากสกุลบาทดิจิทัลในการดำเนินนโยบายการคลังได้ตรงจุด ลดการรั่วไหล มีประสิทธิผลและวัดผลได้ชัดเจนขึ้น รวมถึงเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย
  • PublicationOpen Access
    การบริหารจัดการสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยเอกชนที่ดีในต่างประเทศ
    (2566) ลภัสรดา จิตวารินทร์; อุทัยทิพย์ เจี่ยวิวรรธน์กุล; อธิวัฒน์ เจี่ยวิวรรธน์กุล; สุวิมล อุไกรษา; สุวิมล แสนเวียงจันทร์; พรปวีณ์ อุไรสวัสดิ์; ประพิมพ์พรรณ สุวรรณกูฏ; สุปราณี มอญดะ; สายรุ้ง ใจอิ่ม; ยุรฉัตร ชื่นม่วง; สิทธิพร กล้าแข็ง; ชาตรี ลุนดำ; Lapasrada Jitwarin; Uthaithip Jiawiwatku; Athiwat Jiawiwatkul; Suwimol Ukraisa; Suvimon Sanviengchan; Ponpawee Uraisawat; Prapimparn Suvarnakuta; Supranee Monda; Sairung Jaiim; Yurachat Chuenmuang; Sittiporn Klakhang; Chatree Lundam
    บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์การบริหารจัดการที่ดีของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยภาคเอกชนต่างประเทศจาก 4 ทวีป ได้แก่ 1) ทวีปเอเชีย: ศึกษาจากประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ 2) เขตโอเชียเนีย: ศึกษาจากประเทศนิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย 3) ทวีปยุโรป: ศึกษาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และสหราชอาณาจักร 4) ทวีปอเมริกาเหนือ: ศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา โดยใช้แหล่งข้อมูลทุติยภูมิที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยจากหนังสือ วารสาร บทความวิจัย บทความวิชาการ นโยบาย ในรูปแบบสิ่งพิมพ์และสิ่งพิมพ์ออนไลน์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 - 2021 รวมทั้งสิ้น 72 เรื่อง เครื่องมือที่ใช้ในการสังเคราะห์ครั้งนี้ ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลที่ผ่านการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนการวิเคราะห์เนื้อหา การสังเคราะห์ข้อมูล และการสรุปผลการศึกษา พบว่า สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยเอกชนในต่างประเทศมีการบริหารจัดการที่ดีร่วมกันอยู่ 15 ประการ ได้แก่ 1) การบริหารจัดการองค์กรอย่างเป็นระบบ 2) การบริหารจัดการหลักสูตรอย่างเป็นระบบ 3) การบริหารจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ 4) การบริหารจัดการบุคลากรอย่างเป็นระบบ 5) การบริหารจัดการสภาพแวดล้อมเพื่อความปลอดภัย 6) การจัดการเพื่อส่งเสริมสุขภาพและการเรียนรู้ 7) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน 8) การดูแลและพัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน 9) การส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายและดูและสุขภาพ 10) การส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา ภาษาและการสื่อสาร 11) การส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ สังคม ปลูกฝังคุณธรรมและความเป็นพลเมืองดี 12) การส่งเสริมเด็กในระยะเปลี่ยนผ่านให้ปรับตัวสู่การเชื่อมต่อในขั้นถัดไป 13) การเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี 14) การเตรียมพร้อมรับภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉิน และ 15) การจัดการความรู้ภายในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
  • PublicationOpen Access
    การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยและคนลาวบริเวณจุดเชื่อมต่อชายแดนระหว่างประเทศไทยและลาว: กรณีศึกษาสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 5 จังหวัดบึงกาฬ–เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ
    (2566) สมศักดิ์ อมรสิริพงศ์; Keophouthone Hathalong; Somsak Amornsiriphong
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยและคนลาวบริเวณจุดเชื่อมต่อชายแดน จังหวัดบึงกาฬ–เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ และ ศึกษาแนวทางการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยและคนลาว การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 12 คน ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณจุดเชื่อมต่อชายแดนจังหวัดบึงกาฬ–เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ ฝั่งไทยจำนวน 6 คน และฝั่งลาวจำนวน คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ผู้ให้ข้อมูลชาวลาวต่างรายงานว่า ที่ผ่านมา หน่วยงานรัฐบาลลาวไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวลาว ทั้งในด้านชีวิตด้านร่างกาย คุณภาพชีวิตด้านจิตใจ คุณภาพชีวิตด้านสภาพแวดล้อม คุณภาพชีวิตด้านสังคม และคุณภาพชีวิตด้านเศรษฐกิจเท่าใดนัก ส่วนมากประชาชนชาวลาวในพื้นที่จะมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยตนเองเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ผู้ให้ข้อมูลชาวลาวต่างรายงานว่า ตนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข และมีความพึงพอใจกับคุณภาพชีวิตที่ผ่านมาอยู่แล้ว ส่วนผู้ให้ข้อมูลชาวไทยรายงานว่า ผู้นำชุมชนในพื้นที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตในแต่ละด้าน โดยเฉพาะการปฏิบัติตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไทย อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลาของการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 5 ประชาชนชาวไทยในพื้นที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะด้านมลภาวะทางอากาศจากฝุ่นละออง ซึ่งอาจกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว และในเรื่องความปลอดภัยตามท้องถนนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ การศึกษายังพบว่า ประชาชนของทั้งสองประเทศมองว่า ภายหลังการก่อสร้างสะพานฯ แล้วเสร็จ จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เกิดการลงทุน การขนส่งสินค้า และการท่องเที่ยวมากขึ้น ประชาชนจะเดินทางได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศดีขึ้น ในตอนท้ายผู้วิจัยได้เสนอแนวทางในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย-ลาวในพื้นที่ ได้แก่ การประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น การเพิ่มไฟส่องทางช่วงกลางคืน การเร่งชดเชยเงินเวนคืนให้แก่ประชาชนที่สูญเสียพื้นที่ทำกิน ตลอดจนการสร้างกิจกรรมร่วมกันของทั้งสองประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุน ซึ่งจะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศได้ในท้ายที่สุด
  • PublicationOpen Access
    กลไกการปฏิบัติงานวิเทศสัมพันธ์ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา: กรณีศึกษาคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    (2566) ณภาส์ณัฐ คงคารัตน์; Naphanat Kongkarat
    บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลไกการปฏิบัติงานวิเทศสัมพันธ์ของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ภายหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ภายใต้กรอบแนวคิด ทฤษฎี และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงานวิเทศสัมพันธ์และความเป็นนานาชาติของสถาบันอุดมศึกษา ผลการศึกษาพบว่า กลไกการปฏิบัติงานด้านวิเทศสัมพันธ์ของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา มีทั้งหมด 7 กลไกสำคัญ ดังต่อไปนี้ 1) การกำหนดยุทธศาสตร์ด้านวิเทศสัมพันธ์ของคณะฯ 2) การพัฒนาระบบสนับสนุนงานวิเทศสัมพันธ์ที่สำคัญ 3) การพัฒนาบุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านวิเทศสัมพันธ์ 4) การทำวิจัยและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างสถาบันอุดมศึกษาทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ 5) การเชื่อมต่อใหม่กับมหาวิทยาลัยพันธมิตรเดิมที่ขาดการติดต่อในช่วงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาระบาดอย่างหนัก และสร้างเครือข่ายใหม่กับมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่มีหลักสูตรสาขาวิชาใกล้เคียงกัน 6) ยกระดับงานบริการวิชาการและวิเทศสัมพันธ์ผ่านระบบออนไลน์ และ 7) การสร้างอัตลักษณ์ของคณะฯ ที่เหมาะสม ให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ทั้งนี้กลไกการปฏิบัติงานที่ดีนั้นควรมีระบบประเมินและตรวจสอบการดำเนินการของงานได้ด้วย องค์ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ คือ แนวทางการทำงานด้านวิเทศสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่ไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะแบบ Onsite เท่านั้น การทำงานภายใต้รูปแบบ Hybrid (Online และ Onsite) จะช่วยสร้างความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพ มีการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ร่วมกับการปฏิบัติงานด้านวิเทศสัมพันธ์ เช่น การนำเอาโปรแกรมการประชุมออนไลน์ระบบ Zoom Cloud Meetings หรือ Cisco WebEx Meetings มาใช้กับงานเจรจาความร่วมมือและการจัดกิจกรรมผ่านระบบออนไลน์ เป็นต้น นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลยังช่วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล อันจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านวิเทศสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น
  • PublicationOpen Access
    ความต้องการจำเป็นทางด้านสมรรถนะดิจิทัลในช่วงเวลาวิกฤติของผู้บริหารและครูพลศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพื้นที่ภาคตะวันตก
    (2566) ประเสริฐไชย สุขสอาด; ปานจิตร์ หลงประดิษฐ์; Prasertchai Suksa-ard; Panchit Longpradit
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความต้องการจำเป็นด้านสมรรถนะดิจิทัลของผู้บริหารและครูพลศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพื้นที่ภาคตะวันตก ทั้งสภาพทักษะปัจจุบัน และทักษะที่คาดหวัง โดยใช้แบบสอบถามที่มีจำนวนความต้องการจำเป็นด้านสมรรถนะดิจิทัล 25 ข้อ เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวบข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 165 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ผลรวม ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ “ที” (t-test) รวมถึงการคำนวณหาค่าดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง (Modified Priority Need Index: PNI modified) ผลการวิจัย พบว่า ความต้องการจำเป็นด้านสมรรถนะดิจิทัลผู้บริหารและครูพลศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพื้นที่ภาคตะวันตก สามารถจัดเรียงลำดับความต้องการจำเป็นจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการแก้ปัญหาด้วยเครื่องมือดิจิทัล ด้านการใช้ดิจิทัล ด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล และด้านการเข้าใจดิจิทัล และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบสภาพทักษะที่เป็นจริง ณ ปัจจุบัน และสภาพทักษะที่คาดหวัง ด้วยค่าสถิติ “ที” พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยที่ได้สามารถนำไปใช้ในการส่งเสริมการพัฒนาสมรรถนะด้านดิจิทัลเพื่อให้ผู้บริหารและครูพลศึกษาปฏิบัติหน้าที่ได้ดี สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเรียนรู้ในชีวิตวิถีถัดไป และเท่าทันต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา สู่การเปลี่ยนผ่านทางการศึกษาและการศึกษาบนโลกดิจิทัลอย่างยั่งยืน
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    Chinese Foreign Direct Investment and Uneven Development in Thailand: TheCase of the Thai-Chinese Rayong Industrial Zone
    (2022) Jitsuda Limkriengkrai; จิตรสุดา ลิมเกรียงไกร; Mahidol University. Faculty of Social Sciences and Humanities. Department of Social Sciences
    This study examines the role of Chinese foreign direct investment in economic and social development in Thailand, focusing on the Thai-Chinese Rayong Industrial Zone. A qualitative method was used to explore the situation and construct a better understanding of the related issues and broader context of the impact of Chinese foreign direct investment on Thai development. In-depth interviews were conducted with key informants involved in Chinese investment in Thailand. The findings revealed that as a proxy of Chinese foreign direct investment in the domestic economy, the Thai-Chinese Rayong Industrial Zone has helped stimulate development by expanding industrial production and export revenue and increasing employment for the domestic population. However, its impact at deeper levels of development remains mixed. In terms of employment opportunities, most of the low- to semi-skilled positions have gone to Thais, with foreign employees retaining the most senior positions, creating uneven in economic and social growth patterns.
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    วิเคราะห์การจัดสรรงบประมาณมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ เปรียบเทียบกับของมหาวิทยาลัยมหิดล
    (2564) สุนิดา เกียรติวัฒนวิศาล; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
    เจตนารมณ์หรือเป้าหมายสำคัญของการเป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐหรือที่เรียกว่า “มหาวิทยาลัยนอกระบบ” คือ การลดภาระงบประมาณแผ่นดินที่รัฐบาลให้การสนับสนุนในรูปงบประมาณแบบวงเงินรวมหรืองบประมาณในรูปเงินก้อน (Block Grant) โดยให้สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐสามารถพึ่งพาตนเองได้จากเงินนอกงบประมาณหรือแสวงหารายได้อื่นให้มากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์การวิเคราะห์ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบงบประมาณสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 - 2565 และทำการศึกษาวิเคราะห์การจัดสรรงบประมาณของมหาวิทยาลัยมหิดล จากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจะพบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ รวม 26 หน่วยงาน ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 71,001.2118 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50.57 ของงบประมาณทั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กระทรวง อว.) โดยกระทรวง อว. ได้รับงบประมาณลดลง จากปี 2564 จำนวน 1,226.0296 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.70 (ข้อมูลรายงานการวิเคราะห์งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สำนักงบประมาณของรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร) มหาวิทยาลัย ที่ได้รับงบประมาณสูงสุด คือ มหาวิทยาลัยมหิดล (13,171.4394 ล้านบาท) เนื่องจากมหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ มีบุคลากรจำนวนมาก แบ่งเป็นสายวิชาการ จำนวน 4,012 คน และสายสนับสนุนจำนวน 34.107 คน รวมทั้งสิ้น 38,119 คน และมีส่วนงานภายในมากมายรวมถึงมีโรงพยาบาลในสังกัด เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน โรงพยาบาลทันตกรรม และ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยมหิดลถึงแม้จะได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี (เงินอุดหนุนจากรัฐบาล) มากที่สุดในประเทศไทย แต่ทว่ามหาวิทยาลัยต้องหารายได้จาก การบริการวิชาการ และการวิจัยให้ได้มากกว่า 3 เท่าของเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาลเพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถเลี้ยงตนเองได้อย่างยั่งยืนต่อไป
  • Publication
    วิวัฒนาการแนวทางการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในประเทศไทย
    (2565) ตฤณห์ โพธิ์รักษา; อุนิษา เลิศโตมรสกุล; Trynh Phoraksa; Unisa Lerdtomornsakul; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. ภาควิชาสังคมศาสตร์; จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะรัฐศาสตร์. ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิวัฒนาการแนวทางการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในประเทศไทย การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) จากหนังสือ ตำรา เอกสาร ผลงานวิจัย บทความทางวิชาการ กฎหมาย ประกาศ และพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในประเทศไทยที่ผ่านมา จนถึงการบำบัดฟื้นฟูตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อให้เห็นช่องว่างและใช้เป็นหลักฐานทางวิชาการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาแนวทางการปรับปรุงการบำบัดฟื้นฟูในคดียาเสพติดในอนาคต ผลการวิจัยพบว่า ประเทศไทยได้นำแนวคิดที่มองว่าผู้เสพยาเสพติดเป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมมาใช้ในการแก้ไขปัญหาการติดยาเสพติด โดยเริ่มตราในพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2534 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2545 แต่เนื่องจาก สถิติผู้ต้องขังในคดียาเสพติดยังมีจำนวนสูงมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า กฎหมายเดิมไม่เอื้อต่อระบบสาธารณสุขหรือระบบบำบัดที่เป็นแบบสมัครใจ ระบบบำบัดฟื้นฟูและกลับคืนสู่สังคมยังประสบปัญหา และกระบวนการบำบัดที่ขาดความต่อเนื่องทำให้การบำบัดฟื้นฟูขาดประสิทธิภาพ ดังนั้น ภาครัฐจึงได้ตราพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ขึ้น โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาผู้เสพหรือผู้ติดในมิติทางสาธารณสุขและสุขภาพมากขึ้น มีการปรับระบบการบำบัดทั้งระบบสมัครใจ ระบบบังคับ และระบบต้องโทษมาเป็นระบบสมัครใจและระบบบำบัดตามคำสั่งศาลเท่านั้น ซึ่งมีศูนย์คัดกรองและศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมที่ติดตามดูแลให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เข้ารับการบำบัด โดยมุ่งหวังให้ผู้เข้ารับการบำบัดไม่กลับไปใช้ยาเสพติดอีก อันนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    ความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้ การบริหารจัดการทางการเงิน การบริหารจัดการองค์กร และประสิทธิผลการบริหารงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ของสถาบันอุดมศึกษา: กรณีศึกษา กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ
    (2564) จุฑามาศ พูลมี; ศิริพร แย้มนิล; กมลพร สอนศรี; กฤษณ์ รักชาติเจริญ; Juthamas Poonmee; Siriporn Yamnill; Gamolporn Sonsri; Krish Rugchatjaroen; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
    โครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้ การบริหารจัดการทางการเงิน การบริหารจัดการองค์กร และประสิทธิผลการบริหารงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัยนี้ คือ หน่วยงานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องในการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ สามารถนำข้อมูลวิจัยมาใช้ส่งเสริมให้เกิดการสร้างความรู้ความเข้าใจกับหน่วยงาน องค์กร และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนได้อย่างถูกต้อง ตระหนักถึงความสำคัญและพร้อมเข้าร่วมในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้สอดคล้องและเป็นไปในกรอบทิศทางเดียวกัน สถาบันอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง นำผลวิจัยมาปรับปรุงการปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด และผลสัมฤทธิ์ที่ได้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์และนโยบายสำคัญของรัฐบาลต่อไปให้เกิดเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น และหน่วยงานอื่นๆ สามารถนำผลวิจัยไปประยุกต์ใช้ในการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของประเทศ ในศตวรรษที่ 21 ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลแบบก้าวกระโดด ตลอดจนรองรับผลกระทบจากพลวัตของกระบวนการโลกาภิวัตน์ เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    แนวทางการสร้างความผูกพันของศิษย์เก่า คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    (2564) ชัยพร รองทอง; ตติยา พนมวัน ณ อยุธยา; Chaiyaporn Rongthong; Tatiya Panomwan Na Ayuttaya; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
    การ วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความผูกพัน ระดับค่านิยมองค์กร และระดับการมีส่วนร่วมของศิษย์เก่าคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันของศิษย์เก่าคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 3) นําเสนอแนวทางการสร้างความผูกพันของศิษย์เก่า คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นการวิจัยแบบผสมวิธี (Mix-Methods Research) ประชากร คือ ศิษย์เก่า และ รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาหรือผู้แทนจากคณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยการจัดการและวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดลกลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิจัยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ จํานวน 351คน อัตราตอบกลับ 324 คน (92.30%) และกลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ จํานวน 9 คน ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสําคัญ (Key Person) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับความผูกพันของศิษย์เก่าคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีความผูกพันมากที่สุดในด้านความเชื่อมั่นและยอมรับในเป้าหมายและค่านิยมขององค์การ 2) ระดับการมีส่วนร่วมของศิษย์เก่าคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย โดยมีส่วนร่วมมากที่สุดในด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ 3) ระดับพฤติกรรมและการปฏิบัติตามค่านิยมองค์กรของศิษย์เก่าคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีพฤติกรรมและการปฏิบัติตามค่านิยมองค์กรมากที่สุดในด้าน Harmony: กลมกลืนกับสรรพสิ่งแนวทางการพัฒนาและข้อเสนอแนะจากการวิจัย 1) จัดตั้งกลุ่ม Facebook ศิษย์เก่า เพื่อใช้ติดต่อสื่อสาร ระหว่างคณะฯและศิษย์เก่า รวมทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างศิษย์เก่าด้วยกัน 2) จัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ นักศึกษาปัจจุบัน และศิษย์เก่า หรือ เชิญศิษย์เก่าเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดโครงการหรือกิจกรรมของคณะฯ หรือการจัดกิจกรรมโดยการแบ่งกลุ่มตามความสนใจ 3) จัดตั้งสมาศิษย์เก่า เพื่อเข้ามาบริหารจัดการและดําเนินการขับเคลื่อนนโยบายเกี่ยวกับศิษย์เก่า ภายใต้การบริหารงานที่สอดคล้องกับแนวทางของคณะฯ
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    แนวทางการปฏิบัติในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ :กรณีศึกษา คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    (2564) รุ่งนภา จีนโสภา; Rungnapa Jensopa; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
    บทความวิชาการนี้ ผู้เขียนได้วิเคราะห์ขั้นตอนการดำเนินการจัดหาพัสดุที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน กรณีที่วงเงินงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างครั้งหนึ่งไม่เกิน 10,000 บาท ของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การขออนุมัติในหลักการเพื่อดำเนินการจัดหาพัสดุเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ขั้นตอนที่ 2 การดำเนินการจัดหาพัสดุเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ขั้นตอนที่ 3 การรายงานขอความเห็นชอบในการจัดหาพัสดุเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ขั้นตอนที่ 4 การดำเนินการเบิกจ่าย และจากการดำเนินงานตามขั้นตอนการจัดหาพัสดุที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ปัญหาที่เกิดขึ้นมีทั้งปัญหาที่สามารถควบคุมได้ และไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้สามารถวิเคราะห์และจำแนกสภาพปัญหาในการดำเนินการออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ (1) ปัญหาด้านการวางแผนการจัดหาพัสดุ (2) ปัญหาด้านการดำเนินการจัดหาพัสดุ และ (3) ปัญหาด้านกระบวนการเบิกจ่าย โดยบทความวิชาการนี้ผู้เขียนได้นำเสนอแนวทางปฏิบัติเพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงาน ของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ต่อไป
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    การสํารวจปัญหาการเข้ารับบริการทางสุขภาพในแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลรัฐ
    (2565) ธนารีย์ ศรีฤทธิ์; ปรียาภรณ์ ตัวสระเกษ; แสงเทียน อยู่เถา; Thanaree Sririt; Preeyaporn Tuasraket; Sangtien Youthao; โรงพยาบาลหัวเฉียว; ศูนย์วิจัยข้อมูลเพื่อการพัฒนาประเทศไทย; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. สาขาวิชาเวชระเบียน
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาในการเข้ารับบริการทางสุขภาพแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลรัฐ และศึกษาเปรียบเทียบระดับของปัญหาในการเข้ารับบริการทางสุขภาพแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลรัฐ ใน 5 ด้าน คือ ด้านความสะดวกได้รับจากการบริการ ด้านการประสานงาน ด้านอัธยาศัยและการให้เกียรติ ด้านข้อมูลของบริการ และด้านคุณภาพการบริการ การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามกับตัวอย่างผู้เคยเข้ารับบริการทางสุขภาพแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลรัฐ จำนวน 385 ราย ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาด้านความสะดวกที่ได้รับจากบริการอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัญหาด้านอื่น ๆ ทั้งหมด การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์ Scheffe’s Post Hoc Comparison พบว่า ค่าเฉลี่ยของปัญหาด้านความสะดวกที่ได้รับจากการบริการ มีความแตกต่างกับค่าเฉลี่ยของปัญหาด้านอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อศึกษาเฉพาะปัญหาด้านความสะดวกที่ได้รับจากการบริการจะพบว่า ประเด็นด้านระยะเวลาในการรอคอยในการเข้ารับบริการมีค่าคะแนนสูงที่สุด รองลงมาจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับความสะอาดของห้องน้ำ ความเพียงพอของเก้าอี้หน้าห้องตรวจ ความชัดเจนของเอกสาร คำแนะนำ และแผ่นป้ายตามจุดต่าง ๆ ในโรงพยาบาล ตามลำดับ
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    Book Review: An Introduction to the Policy Process (5th Edition, 2020) By Thomas A. Birkland
    (2022) Dhanakorn Mulaphong; Mahidol University. Faculty of Social Sciences and Humanities
    An Introduction to the Policy Process by Professor Thomas A.Birkland(Professor of Public Policy at North Carolina State University) hasbeen a public policy classroom staple for two decades. This fifth edition of the book includes 11 chapters and offers the reader thebreath of recent policy process scholarshipand the depth ofnew case studies of real-worldevidencethat will serve as an expeditiousand brief guide to understanding the policy process.
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    การพัฒนาเวชระเบียนผู้ป่วยนอกสำหรับผู้สูงอายุ: กรณีศึกษาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก
    (2564) มนัสวี ธนารักษ์พงศกร; อภิชญา ตั้งจุฑารัตน์; แสงเทียน อยู่เถา; Manatsawee Tanarakpongsakorn; Apichaya Thangchutarat; Sangtien Youthao; โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์; โรงพยาบาลราชพิพัฒน์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. สาขาวิชาเวชระเบียน
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานภาพปัญหา ความต้องการ และแนวทางในการพัฒนาการให้บริการเวชระเบียนผู้ป่วยนอกสำหรับผู้สูงอายุของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณโดยเก็บข้อมูลจากตัวอย่างบุคลากรสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการเวชระเบียนผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลทหารผ่านศึก จำนวน 118 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูลจากผู้บริหารและหัวหน้าแผนกจำนวน 7 คน ผลการศึกษา พบว่า ปัญหาการให้บริการผู้ป่วยนอกโดยเฉพาะผู้สูงอายุมาจากปัญหาด้านเวชระเบียนมากที่สุด รองลงมา คือ ปัญหาด้านสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนไข้ผู้สูงอายุ ปัญหาด้านการจัดระบบการให้บริการ และปัญหาเกี่ยวกับตัวบุคลากรทางการแพทย์ ตามลำดับ เมื่อเจาะลึกถึงปัญหาการให้บริการเวชระเบียนจะพบปัญหาเกี่ยวกับการจัดทำประวัติผู้ป่วยใหม่มากที่สุด รองลงมาจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับข้อมูลผู้ป่วยนัด และปัญหาเกี่ยวกับระบบการจัดเก็บประวัติผู้ป่วย ตามลำดับ ในด้านความต้องการของผู้ป่วยสูงอายุ ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุต้องการให้โรงพยาบาลลดขั้นตอนการให้บริการมากที่สุด รองลงมา คือ ต้องการให้เพิ่มช่องพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ เพิ่มจำนวนบุคลากรที่ให้บริการ และการให้การอบรมด้านการบริการและดูแลผู้สูงอายุ ตามลำดับ ผู้วิจัยได้เสนอแนะแนวทางในการพัฒนาประสิทธิภาพและประสิทธิผลการให้บริการผู้ป่วยสูงอายุของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ได้แก่ ควรปรับปรุงสถานที่ให้มีความปลอดภัยและมีพื้นที่สำหรับอำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุมากขึ้น มีเครื่องมือที่ช่วยสื่อสารกับผู้ป่วยที่มีความพิการทางการได้ยินหรือการสนทนาเพิ่มเติม การจัดช่องทางพิเศษของแผนกเวชระเบียนผู้ป่วยนอกหรือห้องตรวจเฉพาะผู้สูงอายุเพื่อลดปัญหาความล่าช้าในการให้บริการ ควรมีบุคลากรที่ช่วยดูแลและให้บริการผู้สูงอายุมากขึ้น และควรพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริการสำหรับผู้สูงอายุในโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    เป็นคนดีมีจริยธรรม จะมีผลการเรียนที่ดีขึ้นด้วยหรือไม่? การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสนใจในจริยธรรม พฤติกรรมการช่วยเหลือผู้อื่น และระดับผลการเรียน (G.P.A.) ของนักศึกษามหาวิทยาลัยไทย ด้วยตัวแบบสมการโครงสร้างเชิงเส้น และการวิเคราะห์ตัวแปรคั่นกลาง
    (2564) ธนากร มูลพงศ์; วิภาพรรณ ตระกูลสันติรัตน์; Dhanakorn Mulaphong; Wipapan Trakoonsantirat; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์; มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. คณะรัฐศาสตร์
    การศึกษานี้มุ่งตอบคำถามสองประการ คือ 1) นักศึกษาไทยให้ความสนใจในประเด็นทางจริยธรรม (moral attentiveness) ในชีวิตประจำวันในระดับใด และ 2) ระดับความสนใจในประเด็นทางจริยธรรมมีอิทธิพลต่อการเสริมสร้างพฤติกรรมเอื้อต่อสังคม (prosocial behavior) และการประสบผลสำเร็จในการเรียนของนักศึกษาไทยหรือไม่ ผู้วิจัยพัฒนาตัวแบบสมการโครงสร้างเชิงเส้นเพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างความสนใจในประเด็นทางจริยธรรม พฤติกรรมช่วยเหลือผู้อื่น และระดับผลการเรียน (G.P.A.) โดยใช้กลุ่มตัวอย่างนักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจำนวน 857 คน ผลการศึกษาพบว่า มิติย่อยของความสนใจในประเด็นทางจริยธรรม ได้แก่ การตระหนักรู้ในประเด็นทางจริยธรรม (β = .07, p < .05) และ การสะท้อนประเด็นทางจริยธรรมกับประสบการณ์ที่ผ่านมา (β = .44, p < .001) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมช่วยเหลือผู้อื่นของนักศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ พฤติกรรมการช่วยเหลือผู้อื่นของนักศึกษามีความสัมพันธ์เชิงบวกกับระดับผลการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (β = .10, p < .01) อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้พบว่า การตระหนักรู้ในประเด็นทางจริยธรรม มีความสัมพันธ์เชิงลบกับระดับผลการเรียนของนักศึกษา (β = -.09, p < .05) ส่วนการสะท้อนประเด็นทางจริยธรรมกับประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับระดับผลการเรียนของนักศึกษา ผู้วิจัยได้จัดทำข้อเสนอแนะที่ได้จากผลการศึกษานี้แก่นักนโยบายและนักปฏิบัติทางด้านการศึกษาโดยเฉพาะการมุ่งเสริมสร้างจริยธรรมไปพร้อม ๆ กับการมุ่งส่งเสริมความเป็นเลิศทางการศึกษาของนักศึกษา
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    Book Review: The Public Policy Theory Primer (3rd Edition, 2017) By Kevin B. Smith and Christopher Larimer
    (2021) Dhanakorn Mulaphong; Mahidol University. Faculty of Social Sciences and Humanities
    The Public Policy Theory Primer is one of the essential must-read books for public policy and public administration students. An interesting feature of the book is that it introduces the reader to the essential concepts of public policy and sets out an important agenda for the future of policy studies. In this book, Professors Kevin B. Smith (University of Nebraska-Lincoln) and Christopher Larimer (University of Northern Iowa) divide the area of public policy studies into 7 dimensions: (1) relationships between policy and politics; policy process, or how governments create policies? (3) policy analysis, or analyzing problems and offering options; (4) policy evaluation, or assessing programs; (5) policy design, or how do policies distribute power and why? (6) relationships between policymakers and policymaking institutions; and (7) policy implementation, or how was a policy decision translated into action?
  • Thumbnail Image
    PublicationOpen Access
    โรคติดการพนัน: สภาวการณ์และแนวทางในการป้องกัน
    (2565) สัญญพงศ์ ลิ่มประเสริฐ; วีนันท์กานต์ รุจิภักดิ์; แสงเทียน อยู่เถา; ประเสริฐ ลิ่มประเสริฐ; อนิสา มานะทน; Sanyapong Limprasert; Venunkarn Rujiprak; Sangtien Youthao; Prasert Limprasert; Anisa Manaton; มหาวิทยาลัยรังสิต. คณะนิติศาสตร์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์; มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. คณะสังคมศาสตร์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาวการณ์ของโรคติดการพนันของคนไทย (2) ศึกษาปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดการพนัน (3) ศึกษาผลกระทบของโรคติดการพนันที่มีต่อสังคมไทย และ (4) แสวงหาแนวทางในการป้องกันและฟื้นฟูบำบัดโรคติดการพนันในสังคมไทย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการพนัน ผลการศึกษาพบว่า สถานการณ์โรคติดการพนันในสังคมไทยนั้นมีแนวโน้มความรุนแรงเพิ่มขึ้น โรคติดการพนันเปรียบเสมือนการเสพติด คือ เกิดขึ้นจากการเล่นการพนันอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถที่จะหยุดได้ โดยกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดการพนัน ได้แก่ กลุ่มเด็กและเยาวชน โดยการเรียนรู้จากครอบครัว ความอยากรู้อยากลอง และกลุ่มเพื่อนจะมีอิทธิพลต่อการเสี่ยงติดการพนันได้เช่นกัน สำหรับกลุ่มผู้ใหญ่นั้น พบว่า เกิดจากการแสวงหารางวัลเพื่อเป็นรายได้ และบางกลุ่มเครียดจากการทำงาน ซึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงในวัยผู้ใหญ่ ได้แก่กลุ่มวัยเริ่มต้นทำงาน เนื่องจากมีความต้องการทางด้านเศรษฐกิจที่สูง สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคติดการพนันมี สองปัจจัยคือ ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น การชอบความเสี่ยง ความท้าทาย และปัจจัยทางสังคม เช่น สภาพแวดล้อม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งกระตุ้นทำให้อยากเล่นการพนันจากเกิดเป็นการติดพนัน และบางกรณีเข้าข่ายโรคติดการพนัน สำหรับแนวทางในการป้องกันและฟื้นฟูบำบัด ผู้วิจัยเสนอว่า ควรมีการประสานความร่วมมือกันหลายฝ่ายทั้งทางด้านกฎหมาย สังคม และการให้ความรู้แก่ประชาชน เช่น การมีศูนย์ป้องกันการพนันในชุมชน การให้ความรู้เกี่ยวกับการพนัน นอกจากนี้ควรเป็นการประสานความร่วมมือทั้งในส่วนของภาครัฐ เอกชน และประชาชนในการเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันการพนันเพื่อไม่ให้เกิดโรคติดการพนันในชุมชนนั้นเอง
  • Publication
    สถานะองค์ความรู้ นโยบาย กลไกการดำเนินงาน และระบบวิจัย เพื่อการแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น : ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์
    (2563) เพ็ญจันทร์ ประดับมุข-เชอร์เรอร์; วิพุธ พูลเจริญ; เพ็ญศรี สงวนสิงห์; พงษ์ศักดิ์ สกุลทักษิณ; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. ภาควิชาสังคมและสุขภาพ
    บทความ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาสถานะองค์ความรู้ ระบบข้อมูล มาตรการ กลวิธีด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น 2) ศึกษาปัญหาและข้อเสนอของระบบวิจัยเพื่อการแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ระเบียบวิธีการศึกษา เป็นทบทวนองค์ความรู้จากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นในประเทศไทย ระหว่างปี พศ. 2556-2562 และ การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ทรงวุฒิทางวิชาการ ผู้จัดการงานวิจัย ผู้ปฎิบัติงานในองค์กรพัฒนาเอกชน และรัฐ จำนวน 8 คน การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการวิเคราะห์ เชิงเนื้อหาจากเอกสารงานวิจัยและบทสัมภาษณ์ องค์ความรู้ที่ผ่านมาพบว่า การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเกี่ยวข้องกับเหตุปัจจัยที่มีมีความซับซ้อน(complexity) และเกี่ยวโยงกับตัวกำหนดทางสังคมด้านสุขภาพหลายมิติ และความเปราะบางทางสังคมของวัยรุ่น การศึกษาวิจัยส่วนใหญ่พบว่าอยู่ภายใต้กรอบแนวคิดเชิงพฤติกรรม และการพัฒนาโปรแกรมที่มุ่งการแก้ปัญหาเชิงพฤติกรรม สอดคล้องกับงานของต่างประเทศที่มีข้อวิพากษ์ในประเด็นที่ว่าองค์ความรู้เรื่องการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นที่เกี่ยวข้องกับความไม่เท่าเทียมทางสังคมยังมีน้อย องค์ความรู้ส่วนใหญ่มักเน้นไปในเรื่องการขาดข้อมูล หรือการเข้าถึงบริการการคุมกำเนิดเป็นปัจจัยกำหนดการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นยังน้อย ขณะที่องค์ความรู้ในต่างประเทศ ชี้นำกรอบการมองปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ไปในการมองปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นเรื่องความเปราะบางทางสังคม และ ความด้อยโอกาสหลายมิติ (intersectionality) ในปัญหาการตั้งครรรภ์ในวัยรุ่น ที่ซึ่งต้องใช้กรอบการมองจากหลายสาขาวิชา หลายมุมมอง การมีระเบียบวิธีการวิจัย และกลยุทธเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม ระบบการวิจัยมักเป็นไปเพื่อเป็นการสร้างความรู้ จึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบการวิจัยเพื่อเชื่อมโยงกับผู้ใช้ประโยชน์ และให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงระบบกลไกและโครงสร้างเพื่อแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น บทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านมีความรู้และเข้าใจ เงื่อนไขกำหนดการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นที่มีสำคัญ ตลอดจน การเสนอความท้าทายและยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาองค์ความรู้และระบบวิจัย เพื่อการแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างมีประสิทธิภาพ