SH-Article

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 10 of 126
  • Thumbnail Image
    Publication
    ความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้ การบริหารจัดการทางการเงิน การบริหารจัดการองค์กร และประสิทธิผลการบริหารงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ของสถาบันอุดมศึกษา: กรณีศึกษา กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ
    (2564) จุฑามาศ พูลมี; ศิริพร แย้มนิล; กมลพร สอนศรี; กฤษณ์ รักชาติเจริญ; Juthamas Poonmee; Siriporn Yamnill; Gamolporn Sonsri; Krish Rugchatjaroen; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
    โครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้ การบริหารจัดการทางการเงิน การบริหารจัดการองค์กร และประสิทธิผลการบริหารงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัยนี้ คือ หน่วยงานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องในการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ สามารถนำข้อมูลวิจัยมาใช้ส่งเสริมให้เกิดการสร้างความรู้ความเข้าใจกับหน่วยงาน องค์กร และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนได้อย่างถูกต้อง ตระหนักถึงความสำคัญและพร้อมเข้าร่วมในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้สอดคล้องและเป็นไปในกรอบทิศทางเดียวกัน สถาบันอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง นำผลวิจัยมาปรับปรุงการปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด และผลสัมฤทธิ์ที่ได้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์และนโยบายสำคัญของรัฐบาลต่อไปให้เกิดเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น และหน่วยงานอื่นๆ สามารถนำผลวิจัยไปประยุกต์ใช้ในการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของประเทศ ในศตวรรษที่ 21 ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลแบบก้าวกระโดด ตลอดจนรองรับผลกระทบจากพลวัตของกระบวนการโลกาภิวัตน์ เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
  • Thumbnail Image
    Publication
    Chinese Foreign Direct Investment and Uneven Development in Thailand: TheCase of the Thai-Chinese Rayong Industrial Zone
    (2022) Jitsuda Limkriengkrai; จิตรสุดา ลิมเกรียงไกร; Mahidol University. Faculty of Social Sciences and Humanities. Department of Social Sciences
    This study examines the role of Chinese foreign direct investment in economic and social development in Thailand, focusing on the Thai-Chinese Rayong Industrial Zone. A qualitative method was used to explore the situation and construct a better understanding of the related issues and broader context of the impact of Chinese foreign direct investment on Thai development. In-depth interviews were conducted with key informants involved in Chinese investment in Thailand. The findings revealed that as a proxy of Chinese foreign direct investment in the domestic economy, the Thai-Chinese Rayong Industrial Zone has helped stimulate development by expanding industrial production and export revenue and increasing employment for the domestic population. However, its impact at deeper levels of development remains mixed. In terms of employment opportunities, most of the low- to semi-skilled positions have gone to Thais, with foreign employees retaining the most senior positions, creating uneven in economic and social growth patterns.
  • Thumbnail Image
    Publication
    วิเคราะห์การจัดสรรงบประมาณมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ เปรียบเทียบกับของมหาวิทยาลัยมหิดล
    (2564) สุนิดา เกียรติวัฒนวิศาล; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
    เจตนารมณ์หรือเป้าหมายสำคัญของการเป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐหรือที่เรียกว่า “มหาวิทยาลัยนอกระบบ” คือ การลดภาระงบประมาณแผ่นดินที่รัฐบาลให้การสนับสนุนในรูปงบประมาณแบบวงเงินรวมหรืองบประมาณในรูปเงินก้อน (Block Grant) โดยให้สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐสามารถพึ่งพาตนเองได้จากเงินนอกงบประมาณหรือแสวงหารายได้อื่นให้มากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์การวิเคราะห์ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบงบประมาณสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 - 2565 และทำการศึกษาวิเคราะห์การจัดสรรงบประมาณของมหาวิทยาลัยมหิดล จากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจะพบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ รวม 26 หน่วยงาน ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 71,001.2118 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50.57 ของงบประมาณทั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กระทรวง อว.) โดยกระทรวง อว. ได้รับงบประมาณลดลง จากปี 2564 จำนวน 1,226.0296 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.70 (ข้อมูลรายงานการวิเคราะห์งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สำนักงบประมาณของรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร) มหาวิทยาลัย ที่ได้รับงบประมาณสูงสุด คือ มหาวิทยาลัยมหิดล (13,171.4394 ล้านบาท) เนื่องจากมหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ มีบุคลากรจำนวนมาก แบ่งเป็นสายวิชาการ จำนวน 4,012 คน และสายสนับสนุนจำนวน 34.107 คน รวมทั้งสิ้น 38,119 คน และมีส่วนงานภายในมากมายรวมถึงมีโรงพยาบาลในสังกัด เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน โรงพยาบาลทันตกรรม และ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยมหิดลถึงแม้จะได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี (เงินอุดหนุนจากรัฐบาล) มากที่สุดในประเทศไทย แต่ทว่ามหาวิทยาลัยต้องหารายได้จาก การบริการวิชาการ และการวิจัยให้ได้มากกว่า 3 เท่าของเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาลเพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถเลี้ยงตนเองได้อย่างยั่งยืนต่อไป
  • Thumbnail Image
    Publication
    แนวทางการสร้างความผูกพันของศิษย์เก่า คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    (2564) ชัยพร รองทอง; ตติยา พนมวัน ณ อยุธยา; Chaiyaporn Rongthong; Tatiya Panomwan Na Ayuttaya; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
    การ วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความผูกพัน ระดับค่านิยมองค์กร และระดับการมีส่วนร่วมของศิษย์เก่าคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันของศิษย์เก่าคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 3) นําเสนอแนวทางการสร้างความผูกพันของศิษย์เก่า คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นการวิจัยแบบผสมวิธี (Mix-Methods Research) ประชากร คือ ศิษย์เก่า และ รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาหรือผู้แทนจากคณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยการจัดการและวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดลกลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิจัยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ จํานวน 351คน อัตราตอบกลับ 324 คน (92.30%) และกลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ จํานวน 9 คน ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสําคัญ (Key Person) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับความผูกพันของศิษย์เก่าคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีความผูกพันมากที่สุดในด้านความเชื่อมั่นและยอมรับในเป้าหมายและค่านิยมขององค์การ 2) ระดับการมีส่วนร่วมของศิษย์เก่าคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย โดยมีส่วนร่วมมากที่สุดในด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ 3) ระดับพฤติกรรมและการปฏิบัติตามค่านิยมองค์กรของศิษย์เก่าคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีพฤติกรรมและการปฏิบัติตามค่านิยมองค์กรมากที่สุดในด้าน Harmony: กลมกลืนกับสรรพสิ่งแนวทางการพัฒนาและข้อเสนอแนะจากการวิจัย 1) จัดตั้งกลุ่ม Facebook ศิษย์เก่า เพื่อใช้ติดต่อสื่อสาร ระหว่างคณะฯและศิษย์เก่า รวมทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างศิษย์เก่าด้วยกัน 2) จัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ นักศึกษาปัจจุบัน และศิษย์เก่า หรือ เชิญศิษย์เก่าเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดโครงการหรือกิจกรรมของคณะฯ หรือการจัดกิจกรรมโดยการแบ่งกลุ่มตามความสนใจ 3) จัดตั้งสมาศิษย์เก่า เพื่อเข้ามาบริหารจัดการและดําเนินการขับเคลื่อนนโยบายเกี่ยวกับศิษย์เก่า ภายใต้การบริหารงานที่สอดคล้องกับแนวทางของคณะฯ
  • Publication
    วิวัฒนาการแนวทางการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในประเทศไทย
    (2565) ตฤณห์ โพธิ์รักษา; อุนิษา เลิศโตมรสกุล; Trynh Phoraksa; Unisa Lerdtomornsakul; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. ภาควิชาสังคมศาสตร์; จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะรัฐศาสตร์. ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิวัฒนาการแนวทางการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในประเทศไทย การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) จากหนังสือ ตำรา เอกสาร ผลงานวิจัย บทความทางวิชาการ กฎหมาย ประกาศ และพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในประเทศไทยที่ผ่านมา จนถึงการบำบัดฟื้นฟูตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อให้เห็นช่องว่างและใช้เป็นหลักฐานทางวิชาการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาแนวทางการปรับปรุงการบำบัดฟื้นฟูในคดียาเสพติดในอนาคต ผลการวิจัยพบว่า ประเทศไทยได้นำแนวคิดที่มองว่าผู้เสพยาเสพติดเป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมมาใช้ในการแก้ไขปัญหาการติดยาเสพติด โดยเริ่มตราในพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2534 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2545 แต่เนื่องจาก สถิติผู้ต้องขังในคดียาเสพติดยังมีจำนวนสูงมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า กฎหมายเดิมไม่เอื้อต่อระบบสาธารณสุขหรือระบบบำบัดที่เป็นแบบสมัครใจ ระบบบำบัดฟื้นฟูและกลับคืนสู่สังคมยังประสบปัญหา และกระบวนการบำบัดที่ขาดความต่อเนื่องทำให้การบำบัดฟื้นฟูขาดประสิทธิภาพ ดังนั้น ภาครัฐจึงได้ตราพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ขึ้น โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาผู้เสพหรือผู้ติดในมิติทางสาธารณสุขและสุขภาพมากขึ้น มีการปรับระบบการบำบัดทั้งระบบสมัครใจ ระบบบังคับ และระบบต้องโทษมาเป็นระบบสมัครใจและระบบบำบัดตามคำสั่งศาลเท่านั้น ซึ่งมีศูนย์คัดกรองและศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมที่ติดตามดูแลให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เข้ารับการบำบัด โดยมุ่งหวังให้ผู้เข้ารับการบำบัดไม่กลับไปใช้ยาเสพติดอีก อันนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
  • Thumbnail Image
    Publication
    แนวทางการปฏิบัติในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ :กรณีศึกษา คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    (2564) รุ่งนภา จีนโสภา; Rungnapa Jensopa; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
    บทความวิชาการนี้ ผู้เขียนได้วิเคราะห์ขั้นตอนการดำเนินการจัดหาพัสดุที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน กรณีที่วงเงินงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างครั้งหนึ่งไม่เกิน 10,000 บาท ของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การขออนุมัติในหลักการเพื่อดำเนินการจัดหาพัสดุเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ขั้นตอนที่ 2 การดำเนินการจัดหาพัสดุเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ขั้นตอนที่ 3 การรายงานขอความเห็นชอบในการจัดหาพัสดุเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ขั้นตอนที่ 4 การดำเนินการเบิกจ่าย และจากการดำเนินงานตามขั้นตอนการจัดหาพัสดุที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ปัญหาที่เกิดขึ้นมีทั้งปัญหาที่สามารถควบคุมได้ และไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้สามารถวิเคราะห์และจำแนกสภาพปัญหาในการดำเนินการออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ (1) ปัญหาด้านการวางแผนการจัดหาพัสดุ (2) ปัญหาด้านการดำเนินการจัดหาพัสดุ และ (3) ปัญหาด้านกระบวนการเบิกจ่าย โดยบทความวิชาการนี้ผู้เขียนได้นำเสนอแนวทางปฏิบัติเพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงาน ของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ต่อไป
  • Thumbnail Image
    Publication
    Book Review: An Introduction to the Policy Process (5th Edition, 2020) By Thomas A. Birkland
    (2022) Dhanakorn Mulaphong; Mahidol University. Faculty of Social Sciences and Humanities
    An Introduction to the Policy Process by Professor Thomas A.Birkland(Professor of Public Policy at North Carolina State University) hasbeen a public policy classroom staple for two decades. This fifth edition of the book includes 11 chapters and offers the reader thebreath of recent policy process scholarshipand the depth ofnew case studies of real-worldevidencethat will serve as an expeditiousand brief guide to understanding the policy process.
  • Thumbnail Image
    Publication
    เป็นคนดีมีจริยธรรม จะมีผลการเรียนที่ดีขึ้นด้วยหรือไม่? การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสนใจในจริยธรรม พฤติกรรมการช่วยเหลือผู้อื่น และระดับผลการเรียน (G.P.A.) ของนักศึกษามหาวิทยาลัยไทย ด้วยตัวแบบสมการโครงสร้างเชิงเส้น และการวิเคราะห์ตัวแปรคั่นกลาง
    (2564) ธนากร มูลพงศ์; วิภาพรรณ ตระกูลสันติรัตน์; Dhanakorn Mulaphong; Wipapan Trakoonsantirat; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์; มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. คณะรัฐศาสตร์
    การศึกษานี้มุ่งตอบคำถามสองประการ คือ 1) นักศึกษาไทยให้ความสนใจในประเด็นทางจริยธรรม (moral attentiveness) ในชีวิตประจำวันในระดับใด และ 2) ระดับความสนใจในประเด็นทางจริยธรรมมีอิทธิพลต่อการเสริมสร้างพฤติกรรมเอื้อต่อสังคม (prosocial behavior) และการประสบผลสำเร็จในการเรียนของนักศึกษาไทยหรือไม่ ผู้วิจัยพัฒนาตัวแบบสมการโครงสร้างเชิงเส้นเพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างความสนใจในประเด็นทางจริยธรรม พฤติกรรมช่วยเหลือผู้อื่น และระดับผลการเรียน (G.P.A.) โดยใช้กลุ่มตัวอย่างนักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจำนวน 857 คน ผลการศึกษาพบว่า มิติย่อยของความสนใจในประเด็นทางจริยธรรม ได้แก่ การตระหนักรู้ในประเด็นทางจริยธรรม (β = .07, p < .05) และ การสะท้อนประเด็นทางจริยธรรมกับประสบการณ์ที่ผ่านมา (β = .44, p < .001) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมช่วยเหลือผู้อื่นของนักศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ พฤติกรรมการช่วยเหลือผู้อื่นของนักศึกษามีความสัมพันธ์เชิงบวกกับระดับผลการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (β = .10, p < .01) อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้พบว่า การตระหนักรู้ในประเด็นทางจริยธรรม มีความสัมพันธ์เชิงลบกับระดับผลการเรียนของนักศึกษา (β = -.09, p < .05) ส่วนการสะท้อนประเด็นทางจริยธรรมกับประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับระดับผลการเรียนของนักศึกษา ผู้วิจัยได้จัดทำข้อเสนอแนะที่ได้จากผลการศึกษานี้แก่นักนโยบายและนักปฏิบัติทางด้านการศึกษาโดยเฉพาะการมุ่งเสริมสร้างจริยธรรมไปพร้อม ๆ กับการมุ่งส่งเสริมความเป็นเลิศทางการศึกษาของนักศึกษา
  • Thumbnail Image
    Publication
    โรคติดการพนัน: สภาวการณ์และแนวทางในการป้องกัน
    (2565) สัญญพงศ์ ลิ่มประเสริฐ; วีนันท์กานต์ รุจิภักดิ์; แสงเทียน อยู่เถา; ประเสริฐ ลิ่มประเสริฐ; อนิสา มานะทน; Sanyapong Limprasert; Venunkarn Rujiprak; Sangtien Youthao; Prasert Limprasert; Anisa Manaton; มหาวิทยาลัยรังสิต. คณะนิติศาสตร์; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์; มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. คณะสังคมศาสตร์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาวการณ์ของโรคติดการพนันของคนไทย (2) ศึกษาปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดการพนัน (3) ศึกษาผลกระทบของโรคติดการพนันที่มีต่อสังคมไทย และ (4) แสวงหาแนวทางในการป้องกันและฟื้นฟูบำบัดโรคติดการพนันในสังคมไทย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการพนัน ผลการศึกษาพบว่า สถานการณ์โรคติดการพนันในสังคมไทยนั้นมีแนวโน้มความรุนแรงเพิ่มขึ้น โรคติดการพนันเปรียบเสมือนการเสพติด คือ เกิดขึ้นจากการเล่นการพนันอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถที่จะหยุดได้ โดยกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดการพนัน ได้แก่ กลุ่มเด็กและเยาวชน โดยการเรียนรู้จากครอบครัว ความอยากรู้อยากลอง และกลุ่มเพื่อนจะมีอิทธิพลต่อการเสี่ยงติดการพนันได้เช่นกัน สำหรับกลุ่มผู้ใหญ่นั้น พบว่า เกิดจากการแสวงหารางวัลเพื่อเป็นรายได้ และบางกลุ่มเครียดจากการทำงาน ซึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงในวัยผู้ใหญ่ ได้แก่กลุ่มวัยเริ่มต้นทำงาน เนื่องจากมีความต้องการทางด้านเศรษฐกิจที่สูง สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคติดการพนันมี สองปัจจัยคือ ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น การชอบความเสี่ยง ความท้าทาย และปัจจัยทางสังคม เช่น สภาพแวดล้อม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งกระตุ้นทำให้อยากเล่นการพนันจากเกิดเป็นการติดพนัน และบางกรณีเข้าข่ายโรคติดการพนัน สำหรับแนวทางในการป้องกันและฟื้นฟูบำบัด ผู้วิจัยเสนอว่า ควรมีการประสานความร่วมมือกันหลายฝ่ายทั้งทางด้านกฎหมาย สังคม และการให้ความรู้แก่ประชาชน เช่น การมีศูนย์ป้องกันการพนันในชุมชน การให้ความรู้เกี่ยวกับการพนัน นอกจากนี้ควรเป็นการประสานความร่วมมือทั้งในส่วนของภาครัฐ เอกชน และประชาชนในการเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันการพนันเพื่อไม่ให้เกิดโรคติดการพนันในชุมชนนั้นเอง
  • Thumbnail Image
    Publication
    การสํารวจปัญหาการเข้ารับบริการทางสุขภาพในแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลรัฐ
    (2565) ธนารีย์ ศรีฤทธิ์; ปรียาภรณ์ ตัวสระเกษ; แสงเทียน อยู่เถา; Thanaree Sririt; Preeyaporn Tuasraket; Sangtien Youthao; โรงพยาบาลหัวเฉียว; ศูนย์วิจัยข้อมูลเพื่อการพัฒนาประเทศไทย; มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. สาขาวิชาเวชระเบียน
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาในการเข้ารับบริการทางสุขภาพแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลรัฐ และศึกษาเปรียบเทียบระดับของปัญหาในการเข้ารับบริการทางสุขภาพแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลรัฐ ใน 5 ด้าน คือ ด้านความสะดวกได้รับจากการบริการ ด้านการประสานงาน ด้านอัธยาศัยและการให้เกียรติ ด้านข้อมูลของบริการ และด้านคุณภาพการบริการ การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามกับตัวอย่างผู้เคยเข้ารับบริการทางสุขภาพแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลรัฐ จำนวน 385 ราย ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาด้านความสะดวกที่ได้รับจากบริการอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัญหาด้านอื่น ๆ ทั้งหมด การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์ Scheffe’s Post Hoc Comparison พบว่า ค่าเฉลี่ยของปัญหาด้านความสะดวกที่ได้รับจากการบริการ มีความแตกต่างกับค่าเฉลี่ยของปัญหาด้านอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อศึกษาเฉพาะปัญหาด้านความสะดวกที่ได้รับจากการบริการจะพบว่า ประเด็นด้านระยะเวลาในการรอคอยในการเข้ารับบริการมีค่าคะแนนสูงที่สุด รองลงมาจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับความสะอาดของห้องน้ำ ความเพียงพอของเก้าอี้หน้าห้องตรวจ ความชัดเจนของเอกสาร คำแนะนำ และแผ่นป้ายตามจุดต่าง ๆ ในโรงพยาบาล ตามลำดับ