SH-Article

Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/106

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 155
  • PublicationOpen Access
    Remote Learning as a Strategic Model in the Face of the COVID-19 Crisis: Documentary Research
    (2024) Wichai Siriteerawasu; วิชัย ศิริธีรวสุ
    The objective of this research is to analyze the strategic model of remote learning fostered by Thai universities representing how COVID-19 has transformed remote learning into the only approach to meet the national measuresof public health protection and to boost consecutively in education programs. Two scenarios are compared before and during the outbreak, in order to identify the best practicethat can be adopted by Thai universities to leverage their digital supply and rival in an international context. After a context was generally analyzed to highlight the advantages and challenges pertaining to remote learning, the case of the Thai university systems was analyzed. Documentary analysis was also used to analyze the data,focusing on what Thai universities revealed through their related documents, official websites, as well as all genres of communication on digital strategies. Then, they were qualitatively analyzed to identify what sorts of platforms have been combined to ensure educational quality. The research findings highlight the resilience of Thai universities, able to respond and to re-organize themselves in a short period of time. The results of the outbreak are likely to strengthen Thai universities, able to amalgamate educational quality with the potential of technological advancement and to strive for the high standards demonstrated at the international level.
  • PublicationOpen Access
    ประเมินผลนโยบายสาธารณะการรักษาวินัยการคลังของรัฐไทย
    (2567) สิทธิศักดิ์ ไชยสุข; กฤษณ์ รักชาติเจริญ; Sitthisak Chaiyasuk; Krish Rugchatjaroen
    บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษา วิเคราะห์ และวิพากษ์แนวคิดร่วมสมัยในวงจรนโยบายสำหรับการประเมินผลนโยบายสาธารณะเพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐไทย และ (2) เสนอแนะเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐไทย จากสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลต่อการรักษาวินัยการเงินการคลังเป็นอย่างมาก ดังนั้น การประเมินผลนโยบายดังกล่าวจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ผลการศึกษาพบว่า (1) ในวงจรการกำหนดนโยบาย ปัจจัยความต้องการของเครือข่ายนโยบายมีความเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (2) การนำนโยบายไปปฏิบัติ ปัจจัยนำเข้าด้านงบประมาณส่งผลต่อประสิทธิภาพของผลผลิตนโยบาย (3) การประเมินผลนโยบาย การกำกับดูแลที่มุ่งเน้นการให้คำปรึกษาแนะนำและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเครือข่ายส่งผลต่อความคุ้มค่าในการส่งมอบบริการสาธารณะ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลของนโยบาย (ภาพรวมของการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ) และเกิดคำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนทางการคลังโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านหนี้สาธารณะและการจัดหารายได้ และจากผลการศึกษาได้เสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับรัฐไทย ดังนี้ (1) กำหนดนโยบายการคลังให้สอดคล้องกับนโยบายทางการเงิน (2) ดำเนินการสร้างนวัตกรรมจัดเก็บรายได้และระดมทุนสาธารณะ และ (3) ประเมินผลนโยบายเพื่อคาดการณ์อนาคต
  • PublicationOpen Access
    การจำหน่ายกาแฟออร์แกนิคเพื่อการบริโภคอย่างยั่งยืน: กรณีศึกษากรุงเทพมหานครและปริมณฑล
    (2567) เปมนีย์ จันทร์สอกลิ่น; สุภาภรณ์ สงค์ประชา; วนิพพล มหาอาชา; คนางค์ คันธมธุรพจน์; Peamanee Chansorklin; Supaporn Songpracha; Wanippol Mahaarcha; Kanang Kantamaturapoj
    การบริโภคอาหารออร์แกนิคเป็นการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาที่มาและแรงจูงใจในการทำธุรกิจร้านกาแฟออร์แกนิค 2) ศึกษาข้อมูลที่ร้านกาแฟออร์แกนิคสื่อสารกับผู้บริโภคเพื่อสร้างความเชื่อมั่น 3) ศึกษากลยุทธ์ที่ร้านกาแฟออร์แกนิคใช้ในการขายกาแฟออร์แกนิคให้แก่ผู้บริโภคและ 4) ศึกษาการตอบสนองของผู้บริโภคต่อกลยุทธ์ดังกล่าว การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสังเกตและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ขาย และให้ผู้บริโภคที่เขียนบรรยายประสบการณ์จากการใช้บริการร้านกาแฟออร์แกนิค ผลการศึกษาพบว่าที่มาในการเริ่มต้นทำธุรกิจร้านกาแฟออร์แกนิค ได้แก่ ความชอบและความสนใจทั้งในแง่ของตัวผลิตภัณฑ์กาแฟและแนวคิดธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดี ความต้องการสนับสนุนเกษตรกรไทย และการต่อยอดจากธุรกิจเดิมที่ทำอยู่ สำหรับแรงจูงใจในการประกอบธุรกิจพบว่าผู้ประกอบการมีแรงจูงใจ 3 เป้าหมาย ได้แก่ การขยายธุรกิจออร์แกนิคให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น การได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า และการเห็นความเป็นไปได้ของธุรกิจจากผลกำไรของการประกอบการ ร้านกาแฟออร์แกนิคมีการสื่อสารเรื่องการบริโภคที่ยั่งยืนในประเด็นสุขภาพและความปลอดภัยของอาหาร ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม และผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่น นอกจากนี้ร้านกาแฟออร์แกนิคใช้ 3 กลยุทธ์หลักในการดึงดูดให้ผู้บริโภคซื้อกาแฟออร์แกนิค ได้แก่ การแสดงมาตรฐานอาหารอินทรีย์ การอำนวยความสะดวก และการให้ข้อมูลสินค้าและแนวคิดของร้านผ่านการโฆษณาและพนักงานขาย สำหรับผลการศึกษาการตอบสนองของผู้บริโภคพบว่าผู้บริโภคประทับใจกับบรรยากาศร้านที่มีการตกแต่งแนวธรรมชาติ ราคาที่สมเหตุสมผล รสชาติดี และการให้ข้อมูลเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภค ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ได้แก่ ร้านกาแฟออร์แกนิคควรทำการฝึกอบรมทักษะการสื่อสารและการบริการให้แก่พนักงานเพิ่มเติมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นความต้องการซื้อของผู้บริโภค หน่วยงานภาครัฐควรใช้กลไกการลดภาษีแก่ผู้ประกอบการร้านกาแฟออร์แกนิค
  • PublicationOpen Access
    พฤติกรรมการอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการังของนักท่องเที่ยวดำน้ำตื้น ในพื้นที่จังหวัดตรัง
    (2567) รัศมี์รวี หล่อเพชร; สุภาภรณ์ สงค์ประชา; คนางค์ คันธมธุรพจน์; ธเนศ เกษศิลป์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการัง ของนักท่องเที่ยวดำน้ำตื้น และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการัง ของนักท่องเที่ยวดำน้ำตื้น ในพื้นที่จังหวัดตรัง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับนักท่องเที่ยว ชาวไทยที่เดินทางมาดำน้ำตื้น ในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ เชิงพรรณนา ได้แก่ การหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติเชิงอนุมานแปรปรวนทางเดียว One-Way ANOVA และ เปรียบเทียบรายคู่ตามวิธีของ Scheffé ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการังในระดับสูง ร้อยละ 89.3 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการัง พบว่า อาชีพแตกต่างกัน การให้คุณค่า ความรู้ และทัศนคติในการอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการัง มีพฤติกรรม การอนุรักษ์ระบบนิเวศแนวปะการังแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยคือ ภาครัฐควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศแนวปะการัง เน้นผ่านทางช่องทางออนไลน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยว และมัคคุเทศก์ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังขาดความรู้เรื่องการอนุรักษ์ และผลกระทบต่อระบบนิเวศแนวปะการัง จากการใช้ประโยชน์การท่องเที่ยวทางทะเล การบังคับใช้กฎหมายยังไม่รัดกุม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ควรกำหนดมาตรการที่ชัดเจน เกี่ยวกับการละเมิด และทำลายระบบนิเวศแนวปะการัง
  • PublicationOpen Access
    INTEGRATED LEARNING MODEL FOR ENVIRONMENTAL EDUCATION AMONG STUDENTSINAHIGHER EDUCATION LEVEL
    (2024) Seree Woraphong; Attapol Kanjanapongporn
    This study’s objectives are: (1) to study general information about learning activity in environmental education in a higher educational level; (2) to study integrated learning model for environmental education in a higher educational level; (3) to study problems and limitations of integrated learning model for environmental education in a higher educational level. The present study employed questionnaires to collect the data from 400 students and in-depth interview for 10 instructors and experts. The present study found that there are 126 male students (31.5%) and 274 female students (68.5%). About 54.5% are aged at 18-19 years. Most of the samples face the problem of wastewater disposal (41.75%), air pollution (64.5%) which is coming from dust (45.5%), car emission (61.25%), power plant (70.5%). Most of the sample reported that the expected integrated learning model for environmental education is the integration with other courses in which provides the benefit for daily life, the exchange of opinion about environmental problems and management in the classroom. The educational media should be clear and more interesting contents. Teaching and learning activities should be made outside the classroom in order to generate the direct experience for students, promote the life skill in environment, and create environmental awareness among students. For limitations and recommendations, the teaching should have more interesting courses, better educational media, and improved contexts. The limitation was found that the students have no interest in contents due to the out of date information. Contents of the course in environmental education should be improved and updated.
  • PublicationOpen Access
    การบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    (2567) งามญา ศรีพอ; ภัทร์ พลอยแหวน; Ngamya Sripor; Phut Ploywan
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ตามมาตรฐานการเงิน 7 ด้าน (7 Hurdle) 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ในบุคลากรที่มีปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างตามมาตรฐานการเงิน 7 ด้าน (7 Hurdle) และ 3) เพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ตามมาตรฐานการเงิน 7 ด้าน (7 Hurdle) ของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ศึกษาข้อมูลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยใช้แบบสอบถามจากประชากรที่ศึกษาวิจัย 147 คน มีผู้ตอบแบบสอบถามกลับ 125 คน แบ่งเป็นสายวิชาการ 62 คน สายสนับสนุน 63 คน และการสัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key Information In-Depth Interview) ผลการวิจัย พบว่าระดับการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ตามมาตรฐานการเงิน 7 ด้าน (7 Hurdle) ของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดลอยู่ในระดับมาก (𝒙̅= 3.75, S.D. = 0.81) เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด 3 อันดับ ดังนี้ ด้านการวางแผนงบประมาณ (𝒙̅= 3.96, S.D. = 0.85) ด้านการตรวจสอบภายใน (𝒙̅= 3.81, S.D. = 0.66) และด้านการคำนวณต้นทุน (𝒙̅= 3.79, S.D. = 0.81) ปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา ประเภทบุคลากร อายุการปฏิบัติงานมีความคิดเห็นต่อการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ตามมาตรฐานการเงิน 7 ด้าน (7 Hurdle)ไม่แตกต่างกัน ซึ่งเสนอเป็นแนวทางการพัฒนาการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ตามมาตรฐานการเงิน 7 ด้าน (7 Hurdle) ดังนี้เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากน้อยที่สุด 3 อันดับ ดังนี้ 1) ด้านระบบการจัดซื้อจัดจ้างควรพัฒนาการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้าง (𝒙̅= 3.30, S.D. = 1.02) 2) ด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินการควรเผยแพร่การรายงานข้อมูลทางการเงินให้บุคลากรทราบ (𝒙̅= 3.38, S.D. = 1.17) 3) ด้านการบริหารทางการเงินและการควบคุมงบประมาณควรพัฒนาการหางบประมาณจากแหล่งอื่นเพิ่มเติม (𝒙̅= 3.55, S.D. = 0.79)
  • PublicationOpen Access
    การมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์ผ้าจกไท-ยวน ตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี
    (2566) นภาเพ็ญ นิลกําแหง; เสรี วรพงษ์; สุภาภรณ์ สงค์ประชา; ชนันนา รอดสุทธิ; NAPAPEN NINKUMHANGE; SEREE WORAPHONG; SUPAPORN SONGPRACHA; SHANANA RODSOODTHI
    งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์ผ้าจกไท-ยวน 2) เปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ผ้าจกไท-ยวน โดยจำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ ระยะเวลาของการอาศัยอยู่ในพื้นที่ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ทั้งนี้ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ 1 – 8 ตำบลคูบัว จำนวน 390 คน ได้วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยค่า t-test ทดสอบเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของตัวแปรอิสระและการทดสอบความแปรปรวนทางเดียวใช้ One - way ANOVA หรือ F-test และหากพบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยรายคู่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จะใช้การเปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ (Scheff’s Test) ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์ผ้าจกไท-ยวน ตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ในภาพรวมอยู่ที่ระดับปานกลาง เมื่อจำแนกรายด้าน พบว่า ด้านที่มีส่วนร่วมมากที่สุดเรียงตามลำดับได้แก่ ด้านการวางแผน ด้านการรักษาธำรงไว้ และด้านการเผยแพร่ 2) ผลการทดสอบสมมติฐานความแตกต่างระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ผ้าจกไท-ยวนของประชาชนที่มี เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ และรายได้ที่แตกต่างกัน ทำให้การมีส่วนร่วมด้านการวางแผนแตกต่างกัน พบว่า อายุ ระดับการศึกษา และรายได้ที่แตกต่างกันทำให้มีส่วนร่วมด้านการรักษาธำรงไว้แตกต่างกัน สุดท้ายพบว่าระยะเวลาที่อาศัยอยู่ ที่แตกต่างกันทำให้มีส่วนร่วมด้านการเผยแพร่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะที่พบจากการวิจัย เสนอว่า เพื่อให้เกิดการดำรงคงอยู่ที่ยั่งยืน ควรหากลยุทธ์หรือแนวทางในการอนุรักษ์ และควรมีการจัดเก็บองค์ความรู้การทอผ้าจกไท-ยวน ผ่านระบบการศึกษา ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรให้การสนับสนุน เช่น การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชน แหล่งเรียนรู้เชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น หรือพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เพื่อรวบรวมองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านต่างๆ ให้มีการถ่ายทอด สืบสานส่งต่อสู่เยาวชนรุ่นต่อไป
  • PublicationOpen Access
    ทัศนคติของประชาชนที่มีต่อคุณลักษณะของเมืองแห่งการเรียนรู้ ในบริบทกรุงเทพมหานคร
    (2566) สรประเวศ กระจ่างคันถมาตร์; Sornpravate Krajangkantamatr
    การวิจัยเชิงปริมาณครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทัศนคติที่มีต่อคุณลักษณะของเมืองแห่งการเรียนรู้ ในบริบทของกรุงเทพมหานคร และ 2) เสนอแนะแนวทางการพัฒนากรุงเทพมหานครสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ทัศนคติที่มีต่อคุณลักษณะของเมืองแห่งการเรียนรู้ในบริบทของกรุงเทพมหานคร ทั้งรายด้านและในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง แปลความหมายได้ว่า กลุ่มตัวอย่างในกรุงเทพมหานครเห็นด้วยว่าคุณลักษณะของเมืองแห่งการเรียนรู้ในบริทบของกรุงเทพมหานครสอดคล้องกับสภาพปัจจุบันของกรุงเทพมหานครปานกลาง ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนากรุงเทพมหานครสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ คือ 1) มีมาตรการส่งเสริมเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครที่สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว 2) ส่งเสริมการเรียนรู้ในครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ของประชาชนในกรุงเทพมหานคร และสร้างความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัว และ 3) อำนวยความสะดวกให้ประชาชนในกรุงเทพมหานครเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ง่าย เช่น จัดเตรียมรถโดยสารให้ประชาชน ใช้สื่อการเรียนรู้ที่ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้มากขึ้น เช่น สื่อเชิงโต้ตอบ และติดตั้งอุปกรณ์และเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการสืบค้นข้อมูลที่ต้องการ
  • PublicationOpen Access
    ประสบการณ์ความทุกข์ของกลุ่มแรงงานข้ามชาติกับความไม่เป็นธรรมด้านสุขภาพ
    (2566) เพ็ญจันทร์ ประดับมุข เชอร์เรอร์; นิกร ฮะเจริญ; รัชดา เรืองสาร; Penchan Pradubmook Sherer; Nikorn Hajarean; Ratchada Ruangsarakul
    การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความทุกข์และประสบการณ์ความเจ็บป่วยและการเข้าถึงบริการสุขภาพของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดสมุทรสาคร โดยวิเคราะห์บนฐานคิดของปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพที่เชื่อมโยงกับแนวคิดความไม่เป็นธรรมด้านสุขภาพ ธีการศึกษา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกต ผู้ให้ข้อมูลเป็นแรงงานข้ามชาติหลากหลายชาติพันธ์ และมีความเจ็บป่วย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและกำหนดเป็นประเด็นข้อค้นพบ การศึกษาพบความทุกข์ด้านสุขภาพในหลายมิติ ได้แก่ ความทุกข์จากความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการทำงาน ความทุกข์ต่อการถูกคาดหวังให้ป้องกันการแพร่เชื้อในสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยที่จำกัด ความทุกข์ที่กลัวว่าจะเป็นที่รังเกียจ การถูกตีตราจากสังคมเมื่อเจ็บป่วย ความทุกข์กับรายได้ที่หายไปหรือกลัวถูกเลิกจ้างเมื่อเจ็บป่วย ความทุกข์จากการไม่ได้รับบริการด้านสุขภาพ การเข้าถึงระบบบริการสุขภาพและข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสุขภาพ และความทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาในความเจ็บป่วยระยะยาวและการฟื้นฟูสภาพ ผลการศึกษาวิเคราะห์ได้ว่าการเจ็บป่วยและความทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บและการเข้าถึงระบบสุขภาพของแรงงานข้ามชาติ เกิดจากปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ ซึ่งก็คือ โครงสร้างหรือเงื่อนไขทางสังคมที่ไม่เป็นธรรมที่แบ่งแยก กีดกัน ให้คนกลุ่มหนึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองและเข้าไม่ถึงทรัพยากรที่จำเป็นในชีวิต
  • PublicationOpen Access
    การละเมิดเครื่องหมายการค้า การศึกษาปัจจัยเชิงคุณธรรมจริยธรรมของ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกีฬาในประเทศไทย
    (2566) ประเสริฐไชย สุขสอาด; Prasertchai Suksa-ard
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเชิงคุณธรรมจริยธรรมของละเมิดเครื่องหมายการค้ากีฬาของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกีฬา โดยใช้ข้อมูลมาจากโครงการวิจัย MUSSIRB No: 2021/109(B1) ทั้งหมด 407 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลใช้จำนวน ร้อยละ และสถิติ ค่าไคสแควร์ (χ2- test) ผลการวิจัย พบว่า เพศ การศึกษา และรายได้มีความสัมพันธ์กับความตระหนักในคุณธรรมจริยธรรมกับการละเมิดเครื่องหมายการค้าของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกีฬา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยสามารถนำผลที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้เป็นแนวทางการพัฒนาการใช้คุณธรรมจริยธรรมเพื่อลดปัญหาการละเมิดเครื่องหมายการค้ากีฬาของผู้ประกอบการ เช่น ให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกีฬา ได้มีโอกาสเข้าร่วมการอบรมการใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดเป็นประจำเพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ การปฏิบัติ และความตระหนักถึงผลเสียที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดเครื่องหมายการค้า เปิดช่องทางการแจ้งเบาะแสที่เป็นความลับเฉพาะและหลากหลายช่องทาง ในการแจ้งแหล่งจำหน่ายสินค้าที่มีการละเมิดเครื่องหมายการค้าให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งมีประกาศ ชมเชย ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าที่ไม่ละเมิดเครื่องหมายการค้า และจำเป็นต้องมีการสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว โรงเรียน สถานประกอบการ ผู้ขาย และผู้ซื้อสินค้าให้ตระหนักในเรื่องคุณธรรม จริยธรรมกับการละเมิดเครื่องหมายการค้าในอุตสาหกรรมกีฬา
  • PublicationOpen Access
    รูปแบบอาชญากรรม และปัจจัยที่มีผลต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม
    (2566) ตฤณห์ โพธิ์รักษา; Trynh Phoraksa
    การวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับนักศึกษา และบุคลากรมหาวิทยาลัยมหิดล โดยโครงการวิจัยนี้ได้รับการรับรองจริยธรรมการวิจัยในคนจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน สาขาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลแล้ว เลขที่ 2022/194 (B2) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบอาชญากรรม และปัจจัยที่มีผลต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) จากหนังสือ ตำรา เอกสาร ผลงานวิจัย และบทความทางวิชาการที่เกี่ยวกับรูปแบบอาชญากรรม และปัจจัยที่เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อให้เห็นช่องว่างและใช้เป็นหลักฐานทางวิชาการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาแนวทางมาตรการ หรือนโยบายที่จะช่วยควบคุม หรือลดโอกาสการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมให้ลดน้อยลง และยังเป็นการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในสังคม รวมถึงอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา ประกอบด้วย อาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์ อาชญากรรมเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย อาชญากรรมเกี่ยวกับเพศ รวมถึงอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ โดยปัจจัยที่มีผลต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม ประกอบด้วย ปัจจัยด้านพฤติกรรมของตัวเหยื่อ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ และปัจจัยด้านแรงจูงใจของอาชญากรหรือการถูกบีบบังคับจากสภาพแวดล้อม
  • PublicationOpen Access
    The Challenge of Cross-Cultural Healthcare Communication on Medical Tourism: Case Study of International Private Hospital in Bangkok, Thailand
    (2023) Promsiri Nonglek; Patreeya Kitcharoen; Natthani Meemon; พรหมศิริ หนองเหล็ก; ภัทรียา กิจเจริญ; ณัฐณีย์ มีมนต์
    The purposes of this study were to explore the challenges to cross-cultural healthcare communication experienced by medical interpreters in proposed four roles relation of conduit, professional, manager, and advocate maximal utility achievement communication strategies in language, culture, and healthcare education in cross-cultural healthcare communication and to explore the barriers to cross-cultural healthcare communication as experienced by medical interpreters working in health facilities that serve international patients and explain the experiences of medical interpreters, patients, and physicians in terms of cross-cultural healthcare communication: conduit, professional, manager, and advocate. This study adopted a qualitative descriptive. The key informants were medical interpreter, international patient, medical providers who work at International Private Hospital, Bangkok, Thailand, and the Medical Center. The sample was selected using purposive sampling. In-depth interviews were used to collect data. Data were analyzed using content analysis to interpret qualitative data. It was found that barriers cross-cultural healthcare experiences challenged medical interpreter in task relation and complex triangle power relationships. The results suggested that hospital administrative teams and healthcare professionals. Based on the major findings, it was recommended that cultural competence education and training provide insight for career progression and promote professionalization through license issuance and providing quality emotional support need to empathizing proactively develop the skills to de-escalate emotionally charged.
  • PublicationOpen Access
    THE STUDY OF BEHAVIOR TO CLASSIFY FOR ELECTRONIC WASTE IN MUANG NAKHON PATHOM DISTRICT, NAKHON PATHOM PROVINCE
    (2022) TANAPONE MANEE-IN; Wilasinee Anomasiri
    This quantitative research was conducted to observe the people’s practicing household electronic waste separation and factors affecting such behavior at MuangNakhon Pathom District, Nakhon Pathom Province,Data were collected from 388 household representatives 18 years and older to analyze with Statistical Package for Social SciencesProgram, engaging statistical Percentage, MeanFrequency, and Standard Deviation, including a Comparative Analysisof Independent Sample T-Test, Pair T-Test and (One -way ANOVA).The researchoutcomes suggest that the selected representatives’ overall practical level in household waste separation was high, having factors affecting theirwaste separation practice differently, with astatistical significance of 0.001, namely gender, number of electrical appliances and electronic equipment available,and use, knowledge on waste disposal and perceived data-news on electronic waste disposal.Meantime, influential factors on household electronic waste separation created the differences with a statistical significance of 0.05, focusing on primary incomes, the need for electrical and electronic gadgets, and electric appliances and electronic equipment.Regarding problems and obstacles, the representatives listed a lack of understanding in waste management, difficultyseparatingwaste as well as no equipment for waste separation. The communitylacksunderstanding ofstoring waste, is time-consuming, is without a proper site to store waste,and higher repair cost than purchasingnew equipment, difficult to destroy,and causespollution. This research suggests thatpeople help separatehousehold electronic waste. There should be awaste receptacle for every type of waste placed at each site regularly, with active training and practice that focuseson participation, public relations,and operations on regular basis. Moreover, the concerned parties should provide accurate data or processesto eliminate waste.
  • PublicationOpen Access
    Factors Associated with Mammograms and Pap Smears Screening: A National Survey in Thailand
    (2023) Sukanya Chongthawonsatid
    During the COVID-19 epidemic, the accessibility of healthcare facility services was disrupted. This study examined factors associated with having mammograms and Pap smear screenings during the COVID-19 epidemic in Thailand. The study was based on the 2021 Health and Welfare Survey of the Thai National Statistical Office. Skilled interviewers systematically conducted population-based surveys. They polled 11,078,970 women aged 40 or older regarding mammographic screening for breast cancer and 13,460,390 women aged 30 or older about Pap screening for cervical cancer. The independent variables were age, religion, education, occupation, income, healthcare-cost coverage, geographic region, and domicile location. The two dependent variables were mammograms and Pap smears. Univariate and multiple binary logistic regression analyses were performed to identify the factors associated with mammograms for breast cancer and Pap smears for cervical cancer. Results found that cancer screening rates via mammograms and Pap smears decreased during COVID-19 in Thailand. The women who had mammograms and Pap smear screenings were 13.8% and 54.0%, respectively. The primary reason for not undergoing screening was the women’s belief that they did not have any abnormalities in their breasts (64.5%) or cervix (53.1%). Some women were unaware that breast cancer could be screened via mammography (19.2%), while 22.7% believed that Pap smear screening for cervical cancer was unnecessary. Binary logistic regression analyses found that the factors associated with having mammograms and Pap smears were demographic, socioeconomic, geographic, healthcare-cost coverage, and economic status. The Thai government could conduct information campaigns to educate women about the need for breast and cervical cancer screening via mammograms and Pap smears, especially among at-risk populations.
  • PublicationOpen Access
    Challenges and Future Tendencies in Thailand’s National Education System
    (2024) Wichai Siriteerawasu
    Innovation and technological advancements (e.g., Industry Revolution 5.0, Society 5.0, and Education 5.0) are currently progressing at an extreme rate and scale. These lead to a huge transformation in the educational system worldwide. The educational system of Thailand has been impacted by these advancements as well. However, research investigating the impacts of these advancements on Thailand’s educational system is still scarce. Because of this rationale, this research study was conducted and utilized a qualitative documentary research method to examine the notions of the Industry Revolution 5.0, Society 5.0, and Education 5.0 and their impacts on Thailand’s educational system. The data used in this research were collected from several sources and analyzed using a content analysis. The research findings indicated that it is important for educational institutions in Thailand to grasp the opportunities of these advancements by educating and training current and new generations of educators and students to be competent and cultivating them to be true global citizens. The finding of this research will help educational institutions and stakeholders in formulating policies and plans regarding the development of educational system at the institutional and national levels.
  • PublicationOpen Access
    แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการใช้งานระบบบริหารลูกหนี้เงินยืม โครงการให้บริการรับทำวิจัยและให้บริการทางวิชาการ: กรณีศึกษาคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    (2566) วาสินี มีวัฒนะ; วราภรณ์ รุจิระวาณิชย์; Wasinee Meewattana; Wraphorn Rujiravanich
    บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหาของระบบบริหารลูกหนี้เงินยืม โครงการให้บริการรับทำวิจัยและให้บริการทางวิชาการ และเพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาระบบบริหารลูกหนี้เงินยืมโครงการให้บริการรับทำวิจัย และให้บริการทางวิชาการให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น โดยได้นำรายการลูกหนี้เงินยืมคงค้าง-การให้บริการวิชาการของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในปีงบประมาณ 2563-2565 มาเป็นกรณีศึกษา และได้นำแผนผังก้างปลามาใช้วิเคราะห์ข้อมูล บทความนี้พบว่า สภาพปัญหาของระบบบริหารลูกหนี้เงินยืมฯ ประกอบไปด้วย 4 สาเหตุหลัก คือ บุคลากร วิธีการทำงาน ข้อบังคับฯ/หลักเกณฑ์ และเทคโนโลยีที่ใช้งาน จากนั้นได้นำแนวคิด PDCA มาเสนอแนวทางในการพัฒนาระบบบริหารลูกหนี้เงินยืมโครงการให้บริการรับทำวิจัย และให้บริการทางวิชาการ ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น อาทิ การติดตามลูกหนี้เงินยืม จะทำการแจ้งเตือนผ่านอีเมล์ SMS หรือ แอปพลิเคชัน Line เมื่อครบกำหนดระยะเวลา การจัดทำระบบติดตามและชำระทวงหนี้ที่เป็นระบบ รวมถึงแจ้งขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการส่งใช้ลูกหนี้เงินยืมให้ผู้ปฏิบัติงานทราบอย่างชัดเจนและเป็นระบบ เป็นต้น
  • PublicationOpen Access
    แนวทางการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสถาบันอุดมศึกษา
    (2566) สราวุธ แพพวก; สมบูรณ์ ศิริสรรหิรัญ; Sarawut Paepuak; Somboon Sirisunhirun
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การดำเนินการในการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว ของมหาวิทยาลัยมหิดล ตามเกณฑ์การประเมิน UI GreenMetric 2) ปัญหาและอุปสรรค ในการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว ของมหาวิทยาลัยมหิดล 3) ปัจจัยความสำเร็จ ในการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว ของมหาวิทยาลัยมหิดล และ 4) เพื่อเสนอแนวทางการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสถาบันอุดมศึกษา ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพด้วยสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม กับผู้ให้ข้อมูลหลัก 11 ราย ผลการวิจัยพบว่า การดำเนินการในการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว ของมหาวิทยาลัยมหิดล มีการดำเนินงานที่สอดคล้องตามเกณฑ์การประเมิน UI GreenMetric ครบทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ 1) การดำเนินการด้านสถานที่และโครงสร้างพื้นฐาน 2) การดำเนินการด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3) การดำเนินการด้านการจัดการของเสีย 4) การดำเนินการด้านการจัดการน้ำ 5) การดำเนินการด้านการขนส่ง และ 6) การดำเนินการด้านการศึกษาและวิจัย สำหรับปัญหาและอุปสรรคที่พบ ได้แก่ 1) การสร้างจิตสำนึกและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 2) การจัดสรรงบประมาณไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ 3) การจัดเก็บข้อมูลที่มีความหลากหลาย 4) ขาดการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการดำเนินการ และ 5) การสร้างความผูกพันกับชุมชน ด้านปัจจัยความสำเร็จ ได้แก่ 1) ผู้บริหารมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน 2) การมีส่วนร่วมของทุกคน 3) การสื่อสารและถ่ายทอดข้อมูลอย่างมีประสิทธิผล 4) การรณรงค์และประชาสัมพันธ์ และ 5) การสร้างเครือข่ายกับมหาวิทยาลัยอื่น ในตอนท้ายผู้วิจัยยังได้สังเคราะห์และพัฒนาตัวแบบ U-GREEN เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนามหาวิทยาลัยสีเขียวที่ยั่งยืน ให้แก่สถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ
  • PublicationOpen Access
    การรับรู้และความคาดหวังต่อการจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่นด้านสุขภาพของบุคลากรคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    (2567) จุฑาทิพย์ ศิรินพวงศ์; ภัทร์ พลอยแหวน; Juthathip Sirinopphawong; Phut Ploywan
    การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการรับรู้และระดับความคาดหวังต่อการจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่นด้านสุขภาพของบุคลากรคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 2) เปรียบเทียบความแตกต่างของระดับการรับรู้และระดับความคาดหวังของบุคลากรคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีต่อการจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่นด้านสุขภาพ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) นำเสนอแนวทางการพัฒนาการจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่นด้านสุขภาพของมหาวิทยาลัยมหิดล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรของคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 116 คน ในการวิจัยผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือแบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และใช้ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา สำหรับวิเคราะห์และอธิบายข้อมูลระดับการรับรู้และความคาดหวังต่อการจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่นด้านสุขภาพของบุคลากรคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และทดสอบสมมติฐานโดยใช้วิธีการหาค่าสถิติแบบ Independent-samples t-test และ One-Way ANOVA ผลการศึกษาที่สำคัญพบว่า บุคลากรที่มีเพศ อายุงาน สายงาน รายได้ต่อเดือน สถานภาพครอบครัว และสิทธิการเข้าถึงสวัสดิการการรักษาพยาบาล ที่แตกต่างกัน จะมีระดับการรับรู้เกี่ยวกับการจัดสวัสดิการสุขภาพแบบยืดหยุ่นที่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยกเว้นบุคลากรที่มีช่วงอายุที่แตกต่างกัน นอกจากนั้นยังพบว่า บุคลากรที่มีเพศ อายุ อายุงาน รายได้ต่อเดือน สถานภาพครอบครัว และสิทธิการเข้าถึงสวัสดิการการรักษาพยาบาล ที่แตกต่างกัน จะมีระดับความคาดหวังต่อรูปแบบของสวัสดิการสุขภาพแบบยืดหยุ่นที่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยกเว้นบุคลากรที่มีสายงานที่แตกต่างกัน
  • PublicationOpen Access
    ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อแก้ปัญหาผลกระทบจากฝุ่นควัน PM2.5 ในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย และนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
    (2567) สมศักดิ์ อมรสิริพงศ์; Keophouthone Hathalong; Somsak Amornsiriphong
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สถานการณ์ฝุ่นควัน PM2.5 ในกรุงเทพมหานครและนครหลวงเวียงจันทน์ก่อนและหลังปี พ.ศ. 2561 2) เปรียบเทียบนโยบายแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 และ 3) เสนอแนวทางเชิงนโยบายในการแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพและสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า ฝุ่นควัน PM2.5 ในกรุงเทพมหานครและนครหลวงเวียงจันทน์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังปี พ.ศ. 2561 และมีปัญหาหนักในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม ประชาชนยังขาดความรู้ในการป้องกันตนเองจากฝุ่น PM2.5 สำหรับนครหลวงเวียงจันทน์ หลังปี พ.ศ. 2563 ปัญหาฝุ่น PM2.5 เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเผาป่าเพื่อการเกษตร ไฟป่า การก่อสร้าง และการเพิ่มขึ้นของรถยนต์ ส่วนกรุงเทพมหานคร ปัญหาฝุ่น PM2.5 รุนแรงขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากการปล่อยควันจากรถยนต์ การเผาขยะและการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เกษตรกรรม การเปรียบเทียบนโยบายพบว่า กรุงเทพมหานครมีแผนแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นระบบ โดยมีแผนปฏิบัติการปี 2567 และแผนแม่บทระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) รวมถึงมาตรฐาน Zero Emission และมาตรการทั้งระยะสั้นและยาว ขณะที่นครหลวงเวียงจันทน์ยังไม่มีแผนชัดเจน มีเพียงหน่วยเฉพาะกิจและคำสั่งรัฐบาลในการป้องกันไฟป่าและการเผาจากการเกษตร ข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับกรุงเทพมหานคร คือ การบังคับใช้กฎหมายห้ามเผา ศึกษาและเปิดเผยข้อมูลแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 และกำหนดยุทธศาสตร์ระยะสั้น กลาง และยาว ส่วนข้อเสนอสำหรับนครหลวงเวียงจันทน์คือการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ภาคเอกชน และประชาสังคมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และตั้งหน่วยงานเฉพาะด้านการบริหารจัดการฝุ่น PM2.5 อย่างมืออาชีพ
  • PublicationOpen Access
    An Examining Progress in Research: Cost-effectiveness of Cardiovascular Disease Prevention Using the Markov Model
    (2024) Mayuree Yotawut
    This article reviews three-volume collection of previously published articles on cost-effectiveness in cardiovascular disease prevention. Firstly, cost–effectiveness analysis of genetic screening for the Taq1B polymorphism in the secondary prevention of coronary heart disease is conducted. Secondly, a “polypill” aimed at preventing cardiovascular disease could prove highly cost-effective for use in Latin America, and lastly, the cost-effectiveness of intensive atorvastatin therapy in secondary cardiovascular prevention in the United Kingdom, Spain, and Germany is assessed, based on the Treating to New Targets study. All three articles in this paper demonstrate how the Markov model can control strategy in terms of cost savings and increase the mean of quality-adjusted life-years (QALYs). Moreover, the Markov model can be used to demonstrate how healthcare systems can control the cost-effectiveness of drug use in terms of cardiovascular disease related to health benefits, costs, and quality-adjusted life-years (QALYs). In conclusion, employing the Markov model through other interventions, especially in the case of health benefits, cost savings, and quality-adjusted life-years (QALYs) is the main recommendation of this article.