RA-Article

Permanent URI for this collectionhttps://repository.li.mahidol.ac.th/handle/20.500.14594/68

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 1085
  • PublicationOpen Access
    เรื่องเล่าจากยอดภูเขาน้ำแข็ง
    (2566) ชมภูนุช ฉัตรนภารัตน์; Chompunut Chatnaparat
  • PublicationOpen Access
    พัฒนาการด้านการรับรู้เข้าใจภาษาในเด็กปฐมวัย: การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างเด็กเกิดก่อนกำหนดและเด็กเกิดครบกำหนด
    (2567) กนกวรรณ ศรีจินดา; ทิพวัลย์ ดารามาศ; จิริยา วิทยะศุุภร; Kanokwan Srijinda; Tipawan Daramas; Jariya Wittayasooporn
    การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบพัฒนาการด้านการรับรู้เข้าใจภาษาในเด็กปฐมวัย ระหว่างเด็กเกิดก่อนกำหนดและเด็กเกิดครบกำหนด กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กเกิดก่อนกำหนดและเด็กเกิดครบกำหนด อายุตั้งแต่ 1 ปี 6 เดือน ถึง 3 ปี 11 เดือน ที่มาตรวจตามนัดที่แผนกผู้ป่วยนอกกุมารเวชศาสตร์ ระหว่างเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2563 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ.2564 จำนวน 96 ราย คัดเลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงตามเกณฑ์คัดเข้า เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล และแบบประเมินพัฒนาการด้านการรับรู้เข้าใจภาษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย Independent t-test และ Mann-Whitney U test ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มเด็กอายุระหว่าง 1 ปี 6 เดือน ถึง 2 ปี 5 เดือน ส่วนใหญ่มีคะแนนมาตรฐานด้านการรับรู้เข้าใจภาษาอยู่ในระดับต่ำ ทั้งกลุ่มเด็กเกิดก่อนกำหนดและกลุ่มเด็กเกิดครบกำหนด คิดเป็นร้อยละ 91.70 และ 54.20 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่า ค่าเฉลี่ยอันดับของคะแนนมาตรฐานด้านการรับรู้เข้าใจภาษาของกลุ่มเด็กเกิดครบกำหนดสูงกว่ากลุ่มเด็กเกิดก่อนกำหนดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 2 ปี 6 เดือน ถึง 3 ปี 11 เดือน ส่วนใหญ่มีคะแนนมาตรฐานด้านการรับรู้เข้าใจภาษาอยู่ในระดับสูงทั้งกลุ่มเด็กเกิดก่อนกำหนดและกลุ่มเด็กเกิดครบกำหนด คิดเป็นร้อยละ 54.20 และ 58.30 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนมาตรฐานด้านการรับรู้เข้าใจภาษาไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากผลการศึกษาครั้งนี้ เสนอแนะให้มีการเฝ้าระวังติดตาม และประเมินพัฒนาการทางภาษาในเด็กที่เกิดก่อนกำหนด รวมไปถึงการส่งเสริมให้ความรู้แก่ผู้ดูแลเด็กโดยเน้นพัฒนาการทางภาษาในช่วงอายุ 1 ปี 6 เดือน ถึง 2 ปี 5 เดือน เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการสมวัยในด้านภาษา
  • PublicationOpen Access
    การพัฒนาแบบวัดการควบคุมตนเองของมารดาในระยะคลอด
    (2567) ศรีสมร ภูมนสกุล; ภาวนา พรหมเนรมิต; วาธิณี วงศาโรจน์; สายลม เกิดประเสริฐ; Srisamorn Phumonsakul; Pawana Promneramit; Watinee Wongsaros; Sailom Gerdprasert
    การควบคุมตนเองในระยะคลอดเป็นส่วนหนึ่งของการรับรู้ประสบการณ์การคลอดและส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ดีของการตั้งครรภ์ แต่ในประเทศไทยยังขาดเครื่องมือที่จะสามารถประเมินการควบคุมตนเองของมารดาในระยะคลอดได้โดยตรง การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบวัดการควบคุมตนเองของมารดาในระยะคลอดและตรวจสอบคุณสมบัติทางด้านจิตมิติของแบบวัด พัฒนาข้อคำถามจากการทบทวนวรรณกรรม โดยสร้างข้อคำถามที่สะท้อนควาหมายขององค์ประกอบที่สกัดจากงานวิจัยที่เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ ข้อคำถามเบื้องต้นจำนวน 40 ข้อ ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาหลังคลอดปกติครบกำหนดในระยะ 24 ชั่วโมงหลังคลอดที่อายุมากกว่า 18 ปี สามารถอ่าน เขียน และเข้าใจภาษาไทย จำนวน 364 ราย เก็บข้อมูลโดยให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบสอบถามด้วยตนเอง วิเคราะห์ความตรงและความเที่ยงเชิงโครงเสร้างเพื่อยืนยันองค์ประกอบ (second-order confirmatory factor analysis) ด้วยโปรแกรมลิสเรลผลการศึกษาพบว่า จากการสกัดองค์ประกอบทำให้ได้ข้อคำถามจำนวน 21 ข้อ ที่สะท้อน 5 องค์ประกอบคือ 1) การตัดสินใจด้วยตนเอง 2)การเคารพตนเองและการเคารพผู้อื่น 3) สัมพันธภาพกับผู้อื่นในระหว่างการคลอด 4) ความรู้เกี่ยวกับการคลอด และ 5) การขาดการควบคุมตนเอง มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์การตรวจสอบทั้งด้านความตรงทางด้านเนื้อหา ความตรงเชิงสภาวะสันนิษฐานหรือความตรงเชิงโครงสร้าง ความตรงสู่สมบูรณ์ และความตรงเชิงจำแนกในระดับที่ดีและยอมรับได้ มีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ค่าน้ำหนักองค์ประกอบของการควบคุมตนเองในระยะคลอดมีนัยสำคัญทางสถิติโดยแต่ละองค์ประกอบมีค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคที่สะท้อนความสอดคล้องภายในได้ดี และแบบวัดทั้งฉบับมีค่าสัมประสิทธ์อัลฟาของครอนบาคค่อนข้างสูง อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้สำหรับแบบวัดที่สร้างขึ้นใหม่ และมีความเที่ยงเชิงโครงสร้างทั้งในรายองค์ประกอบและแบบวัดทั้งฉบับอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ซึ่งแบบวัดการควบคุมตนเองในระยะคลอดนี้สามารถนำไปใช้ในการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพของการพยาบาลมารดาในระยะคลอดได้ต่อไป
  • PublicationOpen Access
    การเตรียมผู้ป่วยและการดูแลผู้ป่วยโรคลมชักสำหรับการตรวจการนอนหลับ
    (2567) พิราวรรณ เบ็ญจชาติ; วรสิทธิ์ ศิริพรพาณิชย์; Phirawan Benchachart; Vorasith Siripornpanich
    Nursing care for patients with epilepsy is important because seizure symptoms can spontaneously develop anytime. Some cases with epilepsy may also have neurological dysfunctions, which are significant risks for falls, and affect patients’ cooperation during the procedure. Thus, patient preparation before performing a sleep study with polysomnography is necessary, including medical reviewing for both sleep problems and epilepsy, planning to install sleep testing equipment that is appropriate for the patient’s condition, and assessing the risk of severe seizures during the examination.When the patient is examined, the sleep testing nurse should assess the patient’s cooperation and risks for seizure and falls and then use preventive plans to reduce such risks. During the sleep study, if abnormalities in the patient’s electroencephalography or behavior are presented during sleep, the data should be recorded for review and analysis with the sleep specialist who interprets the results later. If the patient has a generalized tonic-clonic seizure, the sleep nurse should turn a patient gently onto one side, loosen any tight clothing, check the vital signs, and urgently call an emergency medical service team to manage care. When the sleep test is complete, the nurse should advise about self-care and make the next appointment date for a patient and coordinate with the sleep physician for the analysis of the sleep test.
  • PublicationOpen Access
    ความรู้และความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน
    (2567) จงใจ จงอร่ามเรือง; ปริญญา สารธิมา; จิราภรณ์ ปั้นอยู่; จิราภรณ์ ตั้งสกุล; สุธาสินี แซ่หุง; ศิริพร นิราพันธ์; Jongjai Jongaramraung; Parinya Santima; Jiraporn Punyoo; Jirarporn Tunksakool; Sutasinee Saehoong; Siriporn Nirapun
    การวิจัยแบบผสมผสานนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้และความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน เรื่องการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคไข้เลือดออกในส่วนการวิจัยเชิงปริมาณเลือกกลุ่่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 98 ราย เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบทดสอบความรู้ก่อนเรียน แบบทดสอบความรู้หลังเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนาและสถิติความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน จำนวน 17 ราย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุรภาพด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า คะแนนความรู้หลังสิ้นสุดการเรียนทันทีมากกว่าก่อนจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน เมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือน พบว่าคะแนนความรู้ลดลงจากหลังสิ้นสุดการเรียนทันที แต่ยังมากกว่าก่อนจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานและนักศึกษามีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก พบว่าเกม "ดีเก่ง" ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ สร้างแรงจูงใจในการเรียนและส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียน จากผลของการวิจัยครั้งนี้ควรส่งเสริมการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานในการเรียนการสอนนักศึกษาพยาบาลต่อไป
  • PublicationOpen Access
    ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และการรับรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติเรื่องการทำความสะอาดมือของบุคลากรทางการพยาบาลในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย
    (2567) สุุมาวดี สกุุนตนิยม; ถนอมวงศ์ มัณฑจิตร; กำธร มาลาธรรม; อรวรรณ วราภาพงษ์; Sumawadee Skuntaniyom; Thanomvong Muntajit; Kumthorn Malathum; Orawan Warapapong
    การวิจัยเชิงบรรยายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธฺระหว่างความรู้ ทัศนคติและการรับรู้ในการปฏิบัติตามเรื่องการทำความสะอาดมือของบุคลากรทางการพยาบาลในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล กรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งหมด 2,687 ราย โดยทำการสุ่มรหัสบุคลากรแบบไม่เฉพาะเจาะจงด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล แบบทดสอบความรู้เรื่องการทำความสะอาดมือ แบบวัดทัศนคติและแบบวัดการรับรู้การปฏิบัติเรื่องการทำความสะอาดมือของบุคลากรที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิและทดสอบค่าความเชื่อมั่นตามเกณฑ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยายและสหสัมพันธ์ของสเปรียร์แมน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 59 มีคะแนนเฉลี่ยความรู้อยู่ในระดับต่ำ ร้อยละ 57.5 มีคะแนนเฉลี่ยเรื่องทัศนคติเชิงลบ และร้อยละ 72.8 มีการรับรู้เชิงลบในการปฏิบัติเรื่องการทำความสะอาดมือ นอกจากนี้ พบว่าระดับความรู้และทัศนคติเรื่องการทำความสะอาดมือมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการรับรู้ในการปฏิบัติเรื่องการทำความสะอาดมืออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้น การส่งเสริมความรู้และทัศนคติเชิงบวกจะทำให้บุคลากรมีการรับรู้ที่ดีขึ้นในการปฏิบัติเรื่องการทำความสะอาดมือในโรงพยาบาล ซึ่งจะเป็นแรงเสริมในการปรับปรุงและพัฒนาพฤติกรรมการทำความสะอาดมือในโรงพยาบาลได้
  • PublicationOpen Access
    ประสบการณ์การได้รับผลกระทบด้านอาหารและการปรับตัวของชุมชนในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19
    (2567) นฤมล เปียซื่อ; พัชราภรณ์ ไหวคิด; นพวรรณ์ เปียซื่อ; Narumon Piaseu; Phatcharaphon Whaikid; Noppawan Piaseu
    การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์การได้รับผลกระทบด้านอาหารและการปรับตัวของชุมชนในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล เป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในกรุงเทพมหานคร คัดเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 100 ราย ระหว่างเดือน สิงหาคม 2564 ถึง กุมภาพันธ์ 2565 โดยใช้ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลแบบสอบถามการเข้าถึงอาหารและความมั่นคงทางอาหาร และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย และ การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออาหาร ได้แก่ 1) การได้มาซึ่งอาหาร/การเข้าถึงอาหาร 2) ปริมาณและคุณภาพอาหาร 3) การรับประทานอาหาร และ 4) ระบบทางเดินอาหาร และการแพร่ระบาดนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ได้แก่ จิตใจและร่างกาย ซึ่งนำไปสู่การปรับตัวของชุมชนดังนี้ 1) สู้เพื่อความอยู่รอด 2) ช่วยเหลือกันไม่ทอดทิ้งกัน 3) หาแนวทางการดูแลเรื่องอาหารในชุมชน และ 4) เดินหน้าผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน ผลการศึกษามีข้อเสนอแนะในการสร้างหรือพัฒนาระบบอาหารการวางแผนกำหนดแนวทางในการช่วยเหลือ การดูแลเรื่องอาหารในชุมชนในสถานการณ์วิกฤตอย่างเป็นระบบโดยคำนึงถึงจริยธรรม ประกอบด้วย การมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการผลิตและแปรรูปอาหาร การกระจายอาหาร และการบริโภคอย่างยั่งยืนเพื่อเสริมสร้างโภชนาการ สุขภาพและสุขภาวะของชุมชน
  • PublicationOpen Access
    ผลของโปรแกรมการช่วยเลิกบุหรี่โดยใช้หลัก 5 A's ร่วมกับเสริมสร้างแรงจูงใจในการเลิกบุหรี่ต่อพฤติกรรมการเลิกบุหรี่และโคตินินในปัสสาวะของผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
    (2567) ฉันทนา ฉุยเมี่ยง; อภิญญา ศิริพิทยาคุุณกิจ; สุนทรี เจียรวิทยกิจ; Chantana Chuimiang; Apinya Siripitayakunkit; Soontaree Jianvitayakij
    การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและอาจทำให้ผู้เป็นโรคกลุ่มนี้เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดซ้ำ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการช่วยเลิกบุหรี่โดยใช้หลัก 5 A's ร่วมกับเสริมสร้างแรงจูงใจในการเลิกบุหรี่ต่อพฤติกรรมการเลิกบุหรี่ของผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ใช้ทฤษฎีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นกรอบแนวคิดการวิจัย นำหลัก 5 A's ร่วมกับการสัมภาษณ์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจมาใช้ในโปรแกรม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สูบบุหรี่จำนวน 30 ราย ที่มารับบริการโรงพยาบาลระดับอำเภอแป่งหนึ่ง คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง โปรแกรมประกอบด้วย การให้คำปรึกษาเพื่อช่วยเลิกบุหรี่ และติดตามต่อเนื่องทางโทรศัพท์ ระยะเวลาดำเนินโปรแกรม 1 เดือน ประเมินพฤติกรรมการเลิกบุหรี่ซึ่งยืนยันผลโดยวัดระดับโคตินินในปัสสาวะ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา Fisher’s exact และ Chi-square test ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการเลิกบุหรี่ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมทันทีมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสัดส่วนการเลิกบุหรี่ลดลงจากก่อนเข้าร่วมโปรแกรมร้อยละ 50 โดยตรวจไม่พบโคตินินในปัสสาวะ เมื่อติดตามกลุ่มตัวอย่างต่อไปอีก 30 วัน หลังสิ้นสุดโปรแกรม พบว่า มีผู้ที่เลิกบุหรี่ได้สำเร็จจำนวน 13 ราย (ร้อยละ 43.33) และกลับไปสูบบุหรี่ซ้ำ จำนวน 2 ราย จากผลการวิจัยพยาบาลในคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรังสามารถนำโปรแกรมช่วยเลิกบุหรี่นี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ที่มีกลุ่มโรคเรื้อรังที่ติดบุหรี่ให้สามารถเลิกบุหรี่ได้พยาบาลควรได้รับการอบรมเทคนิคการสัมภาษณ์เสริมสร้างแรงจูงใจก่อนนำโปรแกรมไปใช้ และควรมีการศึกษาในระยะยาว
  • PublicationOpen Access
    ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความทุกข์ทางจิตใจในผู้บาดเจ็บกระดูกรยางค์ส่วนล่างหักจากอุบัติเหตุ
    (2567) อุดมลักษณ์ ตระกูลมีนัก; พิชญ์ประอร ยังเจริญ; สุชิรา ชัยวิบูลย์ธรรม; Udomluk Trakulmeenak; Phichpraorn Youngcharoen; Suchira Chaiviboontham
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง อายุ เพศ รายได้ ความปวด ในปัจจุบัน แรงสนับสนุนทางสังคม และความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน กับความทุกข์ทางจิตใจในผู้บาดเจ็บที่มีภาวะกระดูกรยางค์ส่วนล่างหักจากอุบัติเหตุ โดยใช้กรอบแนวคิดจากการทบทวนวรรณกรรม กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกรยางค์ส่วนล่างหักจากอุบัติเหตุอายุ 18 ปี ถึง 55 ปี มาตรวจตามนัดที่คลินิกศัลยกรรมกระดูก โรงพยาบาลบางละมุง จัวหวัดชลบุรี จำนวน 113 ราย เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความปวดแบบตัวเลขแบบสัมภาษณ์การสนับสนุนทางสังคม แบบประเมินกิจวัตรประจำวันดัชนี บาร์เธลเอดีแอล และแบบประเมินผลกระทบทางจิตใจหลังเกิดเหตุการณ์วิกฤต ฉบับ-10 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบรรยายและหาความสัมพันธ์ โดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน สเปียร์แมน และ พอยท์ไบซีเรียล ผลการศึกษานี้พบว่า ผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกรยางค์ส่วนล่างหักจากอุบัติเหตุส่วนใหญ่มีความทุกข์ทางจิตใจในระดับเล็กน้อย ผู้ป่วยเพศหญิงมีระดับความทุกข์ทางจิตใจมากกว่าผู้ป่วยเพศชาย รายได้ การสนับสนุนทางสังคม และความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันมีความสัมพันธ์ทางลยกับความทุกข์ทางจิตใจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่ความปวดในปัจจุบันมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความทุกข์ทางจิตใจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนอายุไม่พบความสัมพันธ์กับความทุกข์ทางจิตใจ ผลการศึกษานำไปใช้เพื่อวางแผนการจัดการความปวด ให้คำแนะนำเพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน และส่งเสริมการได้รับการดูแลจากบุคคลในครอบครัว เพื่อลดความทุกข์ทางจิตใจให้ผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกรยางค์ส่วนล่างหักในระยะแรกหลังประสบอุบัติเหตุ
  • PublicationOpen Access
    ขนาดของ LVOT ในเด็กทารกแรกเกิดที่คลอดก่อนกำหนด
    (2564) อุเทน บุญมี; Uthen Bunmee
    เด็กทารกแรกเกิดที่คลอดก่อนกำหนดเป็นภาวะที่กายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบหัวใจและหลอดเลือดในร่างกายยังไม่สมบูรณ์การเทียบขนาดอวัยวะของเด็กคลอดก่อนกำหนดด้วยเกณฑ์ของเด็กที่คลอดครบกำหนดเพื่อวินิจฉัยความผิดปกติจึงอาจมีข้อจำกัดแม้แต่ขนาด Left ventricular out flow tract; LVOT ที่เป็น Echocardiographic parameter สำคัญก็เช่นกัน เพราะการอธิบายความผิดปกติของขนาดของหลอดเลือด และระดับความรุนแรงของรอยโรคบางชนิดจำเป็นต้องใช้ขนาดของ LVOT มาคำนวณ แต่เนื่องจากผลการศึกษาเกี่ยวกับขนาด LVOT ในเด็กคลอดก่อนกำหนดชาวไทยและชาวเอเชียนั้นยังมีไม่หลากหลาย ส่วนใหญ่ใช้ค่า Z score ของประชากรตะวันตกมาใช้อ้างอิงเป็นหลัก จึงเกิดการศึกษาวิจัยนี้ขึ้น โดยอาศัยการทบทวนผลตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจของทารกคลอดก่อนกำหนดชาวไทยทั้งสิ้น 102 ราย อายุไม่เกิน 4 สัปดาห์ เพศชาย ร้อยละ 53.9 เพศหญิงร้อยละ 46.1 ไม่มีพยาธิสภาพชนิดที่ส่งผลต่อโครงสร้างของหัวใจและหลอดเลือด พบว่าเด็กแรกเกิดชาวไทยเพศชายกับเพศหญิงมีขนาด LVOT ไม่แตกต่างกัน แต่ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเฉลี่ยมากกว่า 1,400 กรัม จะมีขนาด LVOT ที่ใหญ่กว่ากลุ่มที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 1,400 กรัม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P value < 0.05) โดยที่ระดับ Z score 0-0.5 กลุ่มที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 1,400 กรัมจะมีขนาด LVOT 5.10 – 5.50 มิลลิเมตร ส่วนกลุ่มน้ำหนัก 1,400 กรัมขึ้นไป จะมีขนาด LVOT 5.50 – 5.70 มิลลิเมตร ในจำนวนนี้มี 60 ราย ที่ถูกติดตามเพื่อเปรียบเทียบขนาด LVOT ในระยะ Patent ductus arteriosus กับระยะ Ductus arteriosus closed แต่ไม่พบความแตกต่างกันของขนาด LVOT ในทั้งสองระยะ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นองค์ความรู้สำคัญที่สนับสนุนและเป็นตัวเลือกให้ผู้ตรวจวัดสามารถเลือกนำค่าปกติไปใช้เทียบแปลผลในเด็กไทยได้สะดวกเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อีกทาง
  • PublicationOpen Access
    แนวทางการเขียนบทความสุขภาพเพื่อประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์
    (2567) ชมภูนุช ฉัตรนภารัตน์; Chompunuch Chatnaparat
    การจัดทำบทความเรื่อง "แนวทางการเขียนบทความสุขภาพเพื่อประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์" มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายแนวทางและวิธีการเขียนบทความสุขภาพเพื่อประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ ในบทความนี้ ผู้นิพนธ์จะกล่าวถึงความหมายของบทความ ประเภทของบทความ ลักษณะเฉพาะของบทความเพื่อการประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ ขั้นตอนการเขียนบทความ ซึ่งประกอบด้วย การเตรียมเนื้อหาบทความสุขภาพ และกระบวนการประชาสัมพันธ์บทความสุขภาพ พร้อมตัวอย่างการเขียนและบทสรุป เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำบทความสุขภาพที่มีคุณภาพเพื่อเผยแพร่ต่อไป
  • PublicationOpen Access
    การศึกษาเปรียบเทียบค่าระดับเริ่มได้ยินในคนที่มีการได้ยินปกติ โดยใช้สัญญาณเสียง Pure Tone กับเสียง Warble Tone
    (2567) โสภณวิชญ์ คงศิริสวัสดิ์; รัตตินันท์ ฏิระวณิชย์กุล; อนันต์ ศักดิ์ศรีสุวรรณ; สุนิสา พัฒนวณิชย์กุล; สิริวิมล สุนทรวิภาต; Sophonwit Kongsirisawad; Rattinan Tiravanitchakul; Anan Saksrisuwan; Sunisa Patanawanitkul; Siriwimon Sunthonwiphat
    เสียงบริสุทธิ์ (Pure Tone) เป็นเสียงมาตรฐานที่ใช้ในการตรวจการได้ยินเพื่อวินิจฉัยชนิดและระดับของการสูญเสียการได้ยิน ปัจจุบันเครื่องตรวจการได้ยินมีเสียงต่าง ๆ ให้เลือกเพื่อใช้ในการตรวจ เช่น เสียงที่มีการเปลี่ยนแปลงความถี่ตามเวลา (Warble Tone) เสียงที่มีการเปลี่ยนแปลงความดังเป็นจังหวะ (Pulsed Tone) สัญญาณเสียงดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ป่วยฟังเสียงตรวจได้ง่ายมากขึ้นโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีเสียงดังในหู ถึงแม้ว่ามีหลายการศึกษาที่ผ่านมาเปรียบเทียบค่าระดับเริ่มได้ยินโดยใช้เสียง Pure Tone กับ Warble Tone ผลที่ได้ก็ยังไม่สอดคล้องกัน การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าระดับเริ่มได้ยินเมื่อตรวจโดยใช้เสียงทั้งสอง และกำหนดว่าสามารถใช้ทดแทนกันได้หรือไม่ในคนไทย โดยทำการศึกษาในคนที่มีการได้ยินปกติจำนวน 31 หู อายุ 18-28 ปี ตรวจการได้ยินผ่านการนำเสียงทางอากาศที่ความถี่ 250-8000 Hz วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Bland-Altman plot พบว่าที่ความถี่ 250, 500, 2000, 4000 และ 8000 Hz มีค่าความแตกต่างของระดับเริ่มได้ยินจากเสียงทั้งสองชนิดทั้งหมดอยู่ในช่วง limits of agreement ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 เมื่อทดสอบด้วยสถิติ Wilcoxon signed rank test มีเพียงความถี่ 3000 Hz มีค่าความต่างของระดับเริ่มได้ยิน 1.29 dB อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตามค่าความต่างของระดับเริ่มได้ยินที่ได้ มีค่าไม่เกิน 5 dB สามารถนำไปใช้ทางคลินิกได้ ภายใต้เงื่อนไขการปรับความดังเพิ่มครั้งละ 5 dB และเสียง Warble Tone มีค่า Frequency-Modulated ที่อัตราความถี่ 5 Hz และมีค่าเบี่ยงเบนอยู่ที่ +5% จากความถี่กลาง สรุปผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า สามารถใช้เสียง Warble Tone แทนเสียง Pure Tone ในการปฏิบัติงานในคลินิกได้.
  • PublicationOpen Access
    ผลของโปรแกรมวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยหลังผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจต่อความรู้ในการดูแลตนเองหลังผ่าตัด พฤติกรรมการดูแลตนเอง และความพึงพอใจต่อโปรแกรม
    (2567) อัจฉรา พลไชย; สุมลชาติ ดวงบุบผา; กุสุมา คุววัฒนสัมฤทธิ์; Atchara Ponchai; Sumolchat Duangbubpha; Kusuma Khuwatsamrit
    การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง วัตุประสงค์เพื่อ 1)เปรียบเทียบคะแนนความรู้ในการดูแลตนเองหลังผ่าตัดของผู้ป่วยหลังผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (coronaryarterybypassgraft: CABG)ระหว่างระยะก่อน และหลีงเข้าร่วมโปรแกรมวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยหลังผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ 2) เปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยหลังผ่าตัด CABG หลังเข้าร่วมโปรแกรมวางแผนจำหน่ายฯ ระหว่างระยะการตรวจตามนัดครั้งที่ 1 และการตรวจตามนัดครั้งที่ 2 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ป่วยหลังผ่าตัด CABG ต่อโปรแกรมวางแผนจำหน่ายฯเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด CABG ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จำนวน 26 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมวางแผนจำหน่ายฯ ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ 1) ระยะก่อนผ่าตัด เป็นการเตรียมความพร้อมของผู้ป่วยก่อนผ่าตัด 2) ระยะหลังผ่าตัด เป็นการติดตามเยี่ยมผู้ป่วยหลังผ่าตัด CABG ที่หอผู้ป่วย และเตรียมความพร้อมก่อนจำหน่าย และ 3) ระยะหลังจำหน่าย เป็นการติดตามเยี่ยมอาการและให้คำปรึกษาผู้ป่วยผ่านทางโทรศัพท์และที่แผนกผู้ป่วยนอก เก็บรวบรวมข้อมูลด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความรู้ในการดูแลตนเองหลังผ่าตัด CABG แบบสอบถามพฤติกรรมการดุแลตนเองหลังผ่าตัด CABG และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อโปรแกรมวางแผนจำหน่ายฯ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติทีคู่ และสถิติทดสอบวิลคอกซัน ผลการศึกษาพบว่า 1) ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ในการดูแลตนเองหลังเข้าร่วมโปรแกรมวางแผนจำหน่ายฯสูงกว่าระยะก่อนเข้าร่วมโปรแกรมวางแผนจำหน่ายฯอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 2) ค่าเฉลี่ยอันดับคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองในระยะตรวจตามนัดครั้งที่ 2 สูงกว่าตรวจตามนัดครั้งที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและ 3) ผู้ป่วยมีค่าเฉลี่ยคะแนนความพึงพอใจต่อโปรแกรมวางแผนจำหน่ายฯในระดับมาก ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าโปรแกรมวางแผนจำหน่ายฯ สามารถส่งเสริมความรู้ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยหลังผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจอย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้ไม่มีกลุ่มควบคุมอาจมีข้อจำกัดในการสรุปประสิทธิผลของโปรแกรมวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยหลังผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจอย่างชัดเจน ดังนั้น จึงควรมีการทดสอบเพิ่มเติมก่อนนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป
  • PublicationOpen Access
    การพัฒนาและประเมินผลแนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิกสำหรับผู้ป่วยเด็กวิกฤตที่ใช้เครื่องพยุงการทำงานของปอดและหัวใจ
    (2566) สิวนุุช บุุญยัง; เรณู พุุกบุุญมี; ณัฐชัย อนันตสิทธิ์; จิราภรณ์ ปั้้นอยู่; Sivanut Boonyoung; Renu Pookboonmee; Nattachai Anantasit; Jiraporn Punyoo
    การศึกษานี้เป็นการพัฒนาและประเมินผลแนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิกสำหรับผู้ป่วยเด็กวิกฤตที่ใช้เครื่องพยุงการทำงานของปอดและหัวใจ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนตลอดจนสามารถประเมินภาวะการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ อาจเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที การศึกษานี้ใช้กรอบแนวคิดการพัฒนาคุุณภาพการบริการของโดนาบีเดียนร่วมกับแนวคิดด้านพยาธิสรีรวิทยา ในการพัฒนาแนวปฏิบัติโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ซึ่งมีงานวิจัยและบทความวิชาการทั้งหมด 31 เรื่อง แนวปฏิบัติมี 3 ระยะ คือ 1) การดูแลระยะก่อนการใส่เครื่องพยุงการทำงานของปอดและหัวใจ 2) การดูแลขณะใช้เครื่องพยุงการทำงานของปอดและหัวใจ และ 3) การดูแลระยะหลังการถอดเครื่องพยุงการทำงานของปอดและหัวใจ แนวปฏิบัตินี้ได้รับการตรวจสอบความตรงและความถููกต้องเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุุณวุุฒิ การนำแนวปฏิบัติไปใช้กับผู้ป่วยเด็กวิกฤตที่ ใช้เครื่องพยุงการทำงานของปอดและหัวใจ จำนวน 8 ราย ส่วนใหญ่ได้รับการรักษาด้วยเครื่องพยุงการทำงานของหัวใจและปอด (venoarterial extracorporeal membrane oxygenation หรือ VAECMO) ร้อยละ 75 จำนวนวันนอนเฉลี่ยในหอผู้ป่วยวิกฤตเท่ากับ 11.75 วัน ภาวะแทรกซ้อนที่พบมากที่สุดคือ ภาวะเลือดออก แต่เมื่อพยาบาลมีการประเมินและติดตามอย่างใกล้ชิดตามแนวปฏบัติที่พัฒนาขึ้น ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที่ พบว่าผู้ป่วยทุุกรายปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน รองลงมาคือ ภาวะมีลิ่มเลือดในวงจรบริวณด้านหน้าปอดเทียมพยาบาลตรวจสอบค่าแรงดันบริเวณด้านหน้าและด้านหลังของปอดเทียม และตรวจสอบลิ่มเลือดในวงจร ผู้ป่วยได้รับการดููแลอย่างใกล้ชิดจึงไม่เกิดอันตรายต่อ ผู้ป่วยสำหรับความเป็นไปได้ในการนำแนวปฏิบัติไปใช้จากพยาบาล 32 ราย พบว่า ความเป็นไปได้ในการนำแนวปฏิบััติการพยาบาลไปใช้อยู่ในระดับมากถึงมากที่สุุด ความพึงพอใจของพยาบาลในการนำแนวปฏิบัติไปใช้อยู่ในระดับมากถึงมากที่สุดการศึกษาครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่าพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยเด็ก วิกฤิตที่ใช้เครื่องพยุง การทำงานของปอดและหัวใจ ควรมีการติดตามผลลัพธ์ของการใช้แนวปฏิบัติในระยะยาว เพื่อติดตามความเป็นไปได้ของการนำแนวปฏิบัติไปใช้ประโยชน์ของแนวปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย
  • PublicationOpen Access
    คุณภาพชีวิตและความพึงพอใจของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมต่อการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมทันทีหลังการตัดเต้านม
    (2567) ปิ่นทอง กิจบุญ; ปิยะวรรณ โภคพลากรณ์; สุชิรา ชัยวิบูลย์ธรรม; ประกาศิต จิรัปปภา; Pintong kitbun; Piyawan Pokpalagon; Suchira Chaiviboontham; Prakasit Chirappapha
    การวิจัยเชิงพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิต และความพึงพอใจของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการผ่าตัดเสริมเต้านมทันทีหลังการตัดเต้านม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมทันทีหลังการตัดเต้านมในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง 80 ราย เลือกกลุ่มตัวอย่างเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลแบบสอบถามคุณภาพชีวิต แบ่งเป็น 3 ด้าน ประกอบด้วยความผาสุกทางกาย ความผาสุกทางจิตสังคม ความผาสุกทางเพศ และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม (BREAST-Q Version 2.0 © Reconstruction Module Postoperative Scales) ข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติบรรยาย ผลการศึกษาพบว่า คะแนนเฉลี่ยด้านความผาสุกทางกายมีคะแนนมากที่สุด และความผาสุกทางเพศมีคะแนนน้อยที่สุด ความพึงพอใจแบ่งเป็นรายด้านพบว่า คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจต่อการดูแลรักษาได้คะแนนสูงสุด แต่ในด้านการให้ข้อมูลมีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าข้อย่อยด้านอื่น ๆ เมื่อวิเคราะห์คุณภาพชีวิตตามประเภทของการผ่าตัดทั้ง 4 ชนิด พบว่า ความผาสุกทางกายในส่วนของทรวงอกของผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมโดยใช้กล้ามเนื้อและชั้นไขมันบริเวณหลังมีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ส่วนความพึงพอใจต่อเต้านมของผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมโดยใช้กล้ามเนื้อและชั้นไขมันบริเวณหน้าท้อง มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดผลการศึกษานี้จะเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับผู้ป่วยและทีมสุขภาพเพื่อใช้ประกอบในการตัดสินใจเลือกแผนการรักษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วยและเป็นข้อมูลในการพัฒนาการดูแลรักษาเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะความผาสุกทางเพศ
  • PublicationOpen Access
    Factors Related to Sleep Duration and Night Waking in Hospitalized Infants with Cyanotic Congenital Heart Disease
    (2024) Porntiwa Sanpawut; Autchareeya Patoomwan; Jariya Wittayasooporn; พรทิวา สรรพาวุฒิ; อัจฉรียา ปทุมวัน; จริยา วิทยะศุุภร
    This study aims to describe factors related to sleep duration and night waking in infants aged 6–12 months old with cyanotic congenital heart disease (CCHD) who were admitted to a pediatric cardiology ward at a tertiary hospital between December 2019 and September 2021. Data were obtained using the Demographic Data Record Form, Sleep-related Factors Questionnaires (the severity of heart failure, temperament,and caregiving activity), and the Infants’ Sleep-wake States Record Form. The record forms were assessed using video recording of the infants during 24 hours, and the data were then analyzed using descriptive statistics, the Pearson product-moment correlation coefficient, and Spearman’s rho correlation. The results revealed that most hospitalized infants with CCHD had a mean total sleep duration during the 24 hours of 770.44 minutes. The average number of night waking was 14.26 times/night. According to the correlation analysis, the severity of heart failure did not show a statistically significant correlation with sleep duration or night waking. Temperament was moderately and significantly correlated with sleep duration but not with night waking. Caregiving activities were moderately and significantly correlated with sleep duration and night waking. These results demonstrate that nurses and healthcare professionals should be aware of sleep problems in infants with cyanotic congenital heart disease and plan interventions to manage sleep disturbance to ensure good sleep quality.
  • PublicationOpen Access
    บทบาทพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่ได้รับการติดเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง (Holter monitor) : กรณีศึกษา
    (2567) ณัฐฐิรา ชาญไววิทย์; อุมาวรัทย์ สาริสาย; จันทรา แก้วภักดี; Nattira Chanviavit; Umawarat Sarisai; Jantra Keawpugdee
    ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (cardiac arrhythmia) เป็นอาการที่หัวใจเต้นผิดปกติ คือ ภาวะที่หัวใจมีอัตราการเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ ไม่เหมาะสมกับสภาพของร่างกายในขณะนั้นซึ่งอาจมีจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติร่วมด้วย การตรวจค้นหาความผิดปกติของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiogram: EKG) ซึ่งตรวจได้ง่ายและรวดเร็วที่สุดด้วยขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก สามารถให้คำตอบเบื้องต้นได้ แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นครั้งคราวช่วงระยะเวลาสั้นๆ อาจไม่สามารถตรวจพบได้ในขณะที่มาพบแพทย์จึงมีการนำเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง มาใช้ทำให้สามารถตรวจจับความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้มากขึ้น บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เข้าใจบทบาทของพยาบาลในการประเมิน ดูแล และให้การพยาบาลผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงทั้งก่อน ขณะ และหลังการติดเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง การให้การพยาบาลที่ถูกต้องและเหมาะกับผู้ป่วยในแต่ละราย จะทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องนำมาสู่การวินิจฉัยที่แม่นยำรวดเร็ว
  • PublicationOpen Access
    ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในทารกเกิดก่อนกำหนดอายุ 4 เดือน
    (2566) สุมาลี ปิงวัง; ทิพวัลย์ ดารามาศ; จริยา วิทยะศุภร; Sumalee Pingwung; Tipawan Daramas; Jariya Wittayasooporn
    การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทำนาย เพื่อศึกษาอำนาจการทำนายของทัศนคติในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ บรรทัดฐานของกลุ่มอ้างอิงในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และการรับรู้สมรรถนะในตนเองในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ต่อากรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในมารดาทารกเกิดก่อนกำหนดอายุ 4 เดือน กลุ่มตัวอย่างคือมารดาและทารกเกิดก่อนกำหนดที่มาตรวจสุขภาพตามนัดที่แผนกผู้ป่วยนอกกุมารเวชศาสตร์ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึง สิงหาคม 2564 จำนวน 77 ราย เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงตามเกณฑ์คัดเข้า เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจำนวน 5 ชุด ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของมารดาและทารกเกิดก่อนกำหนด แบบสอบถามความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แบบสอบถามทัศนคติเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แบบสอบถามบรรทัดฐานของกลุ่มอ้างอิงในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และแบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะในตนเองในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติถดถอยโลจิสติก ผลการศึกษาพบว่า ตัวแปรที่สามารถทำนายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในทารกเกิดก่อนกำหนดอายุ 4 เดือนได้ คือ การรับรู้สมรรถนะในตนเองในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งสามารถอธิบายความผันแปรของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 4 เดือนในทารกเกิดกำหนดได้ร้อยละ 25 ดังนั้น พยาบาลควรให้คำแนะนำและส่งเสริมให้มารดาทารกเกิดก่อนกำหนดมีความเชื่อมั่นในสมรรถนะของตนเองในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อช่วยให้มารดามีความมั่นใจและสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้
  • PublicationOpen Access
    Factors Influencing Self-Concept of Adolescents with Epilepsy
    (2024) Chuthathip Mongkholkham; Autchareeya Patoomwan; Apasri Lusawat; จุฑาทิพย์ มงคลคำ; อัจฉรียา ปทุมวัน; อาภาศรี ลุสวัสดิ์
    This cross-sectional descriptive study was designed to investigate the self-concept of adolescents with epilepsy and its influencing factors of gender, severity of epilepsy, and family functioning on the self-concept of adolescents with epilepsy guided by Bracken’s Self-Concept Model. A total of 82 adolescents with epilepsy, 12-18 years of age,were selected by purposive sampling from pediatric neurology outpatient clinics from three tertiary care medical centers, who had a minimum standard score above 70 on the Peabody Picture Vocabulary Test, Fourth Edition. Participants completed the Demographic Questionnaire, Epilepsy Severity Scale, Piers-Harris Self-Concept Scale,3rd Edition, and General Functioning 12-item Subscale. Neurology clinic charts were reviewed for the type and frequency of seizures, and the number of antiepileptic drugs.The data were analyzed using descriptive statistics and multiple regression. The findings revealed that the participants had an average level of self-concept overall and in most domains. However, they had a low level in two domains of self-concept: happiness and satisfaction, and intellectual and school status. Epilepsy severity and family functioning could co-predict overall self-concept by 7.10 % significantly, while there was no correlation between gender and self-concept. Based on the study findings, nursing implications should screen individuals' self-concept (particularly happiness and satisfaction, intellectual and school status), and emphasize the severity of epilepsy and family functioning to promote adolescents with epilepsy for a positive self-concept.
  • PublicationOpen Access
    ปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะในศูนย์การแพทย์ระดับตติยภูมิ
    (2566)
    การวิจัยนี้เป็นการศึกษาย้อนหลัง เพื่อศึกษาอัตราและปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะในผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะในหอผู้ป่วยพิเศษและหอผู้ป่วยวิกฤตศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ โรงพยาบาลรามาธิบดีระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-31 ธันวาคม พ.ศ 2563 จำนวน 994 ราย เครื่องมือวิจัยเป็นแบบเก็บข้อมูลที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ แบบเก็บข้อมูลส่วนบุคคล และแบบเก็บข้อมูลการใส่สายสวนปัสสาวะ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรนาและ สถิติการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก ผลการศึกษาพบว่า อัตราการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะเท่ากับ 5.67 ครั้งต่อ 1,000 วันที่คาสายสวนปัสสาวะ พบอัตราการติดเชื้อที่หอผู้ป่วยพิเศษอายุรกรรมและหอผู้ป่วยวิกฤต คิดเป็น 21.11 และ 4.39 ครั้งต่อ 1,000 วันที่คาสายสวนปัสสาวะ ตามลำดับ การวิเคราะห์การถดถอยพหุโลจิสติก พบว่า ปัจจัยทำนายการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้แก่เพศ โรคหัวใจวายการติดเชื้อบริเวณอื่นของร่างกาย และจำนวนวันที่คาสายสวนปัสสาวะ โดยสามารถอธิบายความผันแปรของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ร้อยละ 39.2 ซึ่งการติดเชื้อบริเวณอื่นของร่างกายและจำนวนวันที่คาสายสวนปัสสาวะสามารถทำนายโอกาสเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้อย่งมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณอื่น มีโอกาสเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ 14.46 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่มีการติดเชื้อ เมื่อควบคุมอิทธิพลของปัจจัยเพศ โรคหัวใจวาย และจำนวนวันที่คาสายสวนปัสสาวะโดยจำนวนวันที่คาสายสวนปัสสาวะที่เพิ่มขึ้น 1 วัน มีโอกาสเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 7 เมื่อควบคุุม อิทธิพลของตัวแปรอื่น ๆ ในโมเดล ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์ควรเพิ่มการเฝ้าระวังผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะในกลุ่มผู้ป่วยที่มี การติดเชื้อในระบบอื่นของร่างกาย และจำเป็นต้องคาสายสวนปัสสาวะเป็นเวลานานการทบทวนเพื่อถอดสายสวนปัสสาวะเมื่อหมดความจำเป็นสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้