AC-Article

Permanent URI for this collection

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 10 of 11
  • Publication
    ผลการศึกษาเบื้องต้นของผลกระทบในการเปลี่ยนกรงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ต่อสุขภาพพ่อแม่พันธุ์หนูตะเภา กรณีศึกษาศูนย์สัตว์ทดลองแห่งชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ประเทศไทย
    (2567) พรรัตนา ช่อมณี; อภิสิทธิ์ เหล่าสันติสุข; มินตรา พลอยสีเขียว; วัลลภ ลิขิตสุนทรวงศ์; พนิดา บุตรรัตน์; ธนพร พิณพาทย์; Pornrattana Chomanee; Apisit Laosantisuk; Mintra Ploysrikhew; Wanlop Likitsuntornwong; Panida Butrat; Thanaporn Pinpart
    การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบจากความถี่ในการเปลี่ยนกรงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง (กลุ่มทดสอบ) เปรียบเทียบกับการเปลี่ยนกรงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง (กลุ่มควบคุม) ต่อสุขภาพของพ่อแม่พันธุ์หนูตะเภา Mlac:DH และจำนวนลูกสัตว์หย่านมที่ผลิตได้ตลอดระยะเวลาการผลิต 15 เดือน จำนวนลูกสัตว์หย่านมตลอดระยะเวลาการผลิต รอยโรคที่มองเห็นด้วยตาเปล่าจากการผ่าซาก ภาพรวมทางจุลพยาธิวิทยา ค่าเลือดและค่าเคมีคลินิกตามระยะเวลาการเลี้ยงที่ 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน 12 เดือน และ 15 เดือนถูกบันทึก ผลการศึกษาพบว่าทั้ง 2 กลุ่มไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในด้านจำนวนลูกสัตว์ตายก่อนหย่านมและจำนวนลูกสัตว์หย่านมที่ผลิตได้ตลอดระยะเวลาการผลิต (P-value มีค่า 0.683 และ 0.929) การผ่าซากและรอยโรคหรือความผิดปกติที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า พบรอยโรคฝ่าเท้าอักเสบในระดับเล็กน้อยที่ฝ่าเท้าหลังทุกตัวทั้งในกลุ่มทดสอบและกลุ่มควบคุมที่ระยะเวลาการเลี้ยง 9 เดือนขึ้นไป พบถุงน้ำที่รังไข่ทั้งในกลุ่มทดสอบและกลุ่มควบคุมที่ระยะเวลาการเลี้ยงตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป ภาพรวมผลทางจุลพยาธิวิทยา พบปอดอักเสบแบบไพโอแกรนูโลม่าเล็กน้อยในกลุ่มทดสอบ จำนวน 1 ตัว ที่ระยะเวลาการเลี้ยง 6 เดือน และ 2 ตัวที่ระยะเวลาการเลี้ยง 9 เดือน พบการอักเสบและเนื้อตายเล็กน้อยที่ตับในกลุ่มควบคุม จำนวน 1 ตัว ที่ระยะเวลาการเลี้ยง 6 เดือน ซึ่งความผิดปกติที่ปอดและตับนี้สันนิษฐานว่าเป็นอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะรายตัว ส่วนค่าเลือดและค่าเคมีคลินิกของกลุ่มทดสอบและกลุ่มควบคุมในทุกระยะเวลาการเลี้ยงมีค่าสอดคล้องกับผลที่เคยมีการรายงานไว้ในต่างประเทศ และในแต่ละพารามิเตอร์กลุ่มทดสอบและกลุ่มควบคุมไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตามเนื่องจากการศึกษานี้เป็นการศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น การศึกษาต่อไปในอนาคตจึงจำเป็นต้องมีการเก็บข้อมูลจากการทดสอบกับทั้งโคโลนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของค่าเลือดและค่าเคมีคลินิก ซึ่งมีปัจจัยเรื่องเพศและอายุสัตว์เกี่ยวข้อง
  • Publication
    การศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมของวัสดุรองนอนผสม 2 ชนิด (ขี้กบไม้สนและซังข้าวโพด) สำหรับการเปลี่ยนกรงทุก 7 วัน ในโคโลนีหนูตะเภา Mlac:DH ของศูนย์สัตว์ทดลองแห่งชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล
    (2567) พรรัตนา ช่อมณี; อภิสิทธิ์ เหล่าสันติสุข; มินตรา พลอยสีเขียว; วัลลภ ลิขิตสุนทรวงศ์; พนิดา บุตรรัตน์; ธนพร พิณพาทย์; Pornrattana Chomanee; Apisit Laosantisuk; Mintra Ploysrikhew; Wanlop Likitsuntornwong; Panida Butrat; Thanaporn Pinpart
    การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราส่วนการใช้วัสดุรองนอน 2 ชนิด ได้แก่ ขี้กบไม้สนต่อซังข้าวโพด ผสมกันในอัตราส่วนต่าง ๆ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ขี้กบไม้สนมากกว่าซังข้าวโพด (2:1) กลุ่มที่ 2 ขี้กบไม้สนเท่ากับซังข้าวโพด (1:1) และกลุ่มที่ 3 ขี้กบไม้สนน้อยกว่าซังข้าวโพด (1:2) โดยดำเนินการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์หนูตะเภา Mlac:DH บนวัสดุรองนอนผสมในแต่ละกลุ่มเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 7 วัน เพื่อจำลองระยะเวลาการเปลี่ยนกรงที่ 7 วัน มีการเก็บข้อมูลการบริโภคอาหาร การบริโภคน้ำ และน้ำหนักของเสียทุกวัน มีการเก็บข้อมูลภาพวัสดุรองนอนและความสะอาดใต้ท้องตัวสัตว์ในวันที่ 4 และวันที่ 7 วัดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) และก๊าซแอมโมเนีย (NH₃) ภายในกรงสัตว์ทุกวันตั้งแต่วันที่ 4 จนถึงวันที่ 7 พบว่าที่ระยะเวลาการเลี้ยง 7 วัน สภาพวัสดุรองนอนของทุกกลุ่มมีของเสียสะสมเต็มที่ไม่แตกต่างกัน สภาพความสะอาดที่ตัวสัตว์ซึ่งพิจารณาจากรอยเปื้อนมูลบริเวณใต้ท้องหรือลักษณะของขนที่จับตัวเป็นก้อน พบว่าที่ระยะเวลา 4 วัน และ 7 วันนั้น สัตว์ทั้ง 3 กลุ่ม (ทั้งตัวผู้และตัวเมีย) ไม่มีการเปื้อนมูลที่ขนใต้ท้องและไม่มีขนจับเป็นก้อน กล่าวคือทั้ง 3 กลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน การบริโภคอาหารและปริมาณของเสียที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวันของแต่ละกลุ่มไม่แตกต่างกันทางสถิติ ระดับ CO₂ และ NH₃ ของแต่ละกลุ่มไม่เกินเกณฑ์และไม่แตกต่างทางสถิติ การบริโภคน้ำของหนูทุกกลุ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำปกติของหนูตะเภารุ่น และการบริโภคน้ำของกลุ่มที่ 3 มีความแตกต่างกับกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ทั้งนี้การบริโภคน้ำที่มากกว่าปกตินี้อาจมาจากพฤติกรรมการเล่นน้ำของหนูตะเภาเอง สำหรับสภาพพื้นหน้าของวัสดุรองนอนในกรงเลี้ยง ที่ระยะเวลาการเลี้ยง 7 วัน กลุ่มที่ 1 ซึ่งมีอัตราส่วนขี้กบไม้สนมากกว่าซังข้าวโพด มีการสะสมความชื้นแฉะมากกว่ากลุ่มที่ 2 และ 3 เพราะมีตัวดูดซับน้อย ส่วนกลุ่มที่ 3 ซึ่งมีอัตราส่วนซังข้าวโพดสูงที่สุดเป็นกลุ่มที่สามารถดูดซับความชื้นได้มากที่สุด แต่จากการพิจารณาพื้นผิวของวัสดุรองนอนหลังการเลี้ยง 7 วัน พบว่ามีซังข้าวโพดถูกดันขึ้นไปผสมบนผิวหน้ามากกว่ากลุ่มที่ 1 และ 2 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สัตว์บาดเจ็บที่ฝ่าเท้าได้ซึ่งถือเป็นผลเสียต่อสุขภาพและสวัสดิภาพสัตว์ ดังนั้นจึงสรุปว่าวัสดุรองนอนผสมในกลุ่มที่ 2 ขี้กบไม้สนเท่ากับซังข้าวโพด สามารถใช้ดำเนินการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์หนูตะเภา Mlac:DH ที่ระยะเวลาการเปลี่ยนกรง 7 วันได้ดีกว่าอีก 2 กลุ่ม อย่างไรก็ตาม การศึกษาในอนาคตยังมีความจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมถึงผลกระทบในระยะยาวจากการเลี้ยงแบบการเปลี่ยนกรงทุก 7 วันต่อไป
  • Thumbnail Image
    Publication
    Selecting and Establishment of a Low-Incidence HydronephrosisWistar Rat
    (2022) Pornrattana Chumanee; Apisit Laosantisuk; Pravet Thongsiri; Wanlop Likitsuntornwong; Panida Butrat; Thanaporn Pinpart; พรรัตนา ช่อมณี; อภิสิทธิ์ เหล่าสันติสุข; ประเวศ ทองศิริ; วัลลภ ลิขิตสุนทรวงศ์; พนิดา บุตรรัตน์; ธนพร พิณพาทย์; Mahidol University. National Laboratory Animal Center. Laboratory Animal Production Unit; Mahidol University. National Laboratory Animal Center. Academic Service Unit; Mahidol University. National Laboratory Animal Center. Veterinary Medical Care Unit; มหาวิทยาลัยมหิดล. ศูนย์สัตว์ทดลองแห่งชาติ. งานผลิตสัตว์ทดลอง; มหาวิทยาลัยมหิดล. ศูนย์สัตว์ทดลองแห่งชาติ. งานบริการวิชาการ; มหาวิทยาลัยมหิดล. ศูนย์สัตว์ทดลองแห่งชาติ. งานการสัตวแพทย์
    This study established a low incidence hydronephrosis Wistar rat (Mlac:WR) colony at the National Laboratory Animal Center, Mahidol University, Thailand. Twenty Mlac:WR breeding pairs were randomized to determine the percentage of hydronephrosis in the original National Laboratory Animal Center colony. Hydronephrosis was discovered in 9.66% of the population. Breeder selection for breeding was carried out by using the progeny selection method, which selects offspring based on their characteristics, in combination with the breeding principle of maximum avoidance of inbreeding and the rotational mating system. Breeding pairs that produced hydronephrosis offspring were removed from the colony and replaced with offspring from other healthy breeding pairs within the same group in the next generation. The results from selection and breeding revealed that the incidence of hydronephrosis was 7.5% in the F0, decreasing to 1.07%-1.72% in the F2-F4, and 0.00% in the F5. However, the incidence of hydronephrosis was found at 0.49% in the F6-F7, decreasing to 0.00% in the F8, and was found again at 0.42%-1.02% in the F9-F10. This is because hydronephrosis traits are genetically linked and controlled by several genes. Therefore, it cannot be completely eliminated from the population.
  • Publication
    Development of Hydronephrosis Inbred Strain Mouse, ICR/Mlac-Hydro
    (2012) Kanchana Kengkoom; Zaw, Khin Maeung; Rapee Inpunkaew; Wannee Angkasirisap; Pravate Thongsiri; Sumate Ampawong; Mahidol University. National Laboratory Animal Centre. Veterinary Medical Care Office
    Hydronephrosis was accidentally observed when autopsied the out bred ICR mice in routine health monitoring program. Previously, a low incidence of mild hydronephrosis was observed mostly in male mice and found only on the right kidney. Selective inbreeding of this mutant led us to the establishment of a colony of inbred hydronephrosis mice. After inbreeding for 20 generations, a surprisingly high incidence of hydronephrosis was encountered and we finally obtained a strain of mice with a very high incidence of severe hydronephrosis affected on both sides of kidney and in both sexes as the process of inbreeding has been increased. Phenotypes determination, genetic segregation test crosses and histological study of kidneys were also performed.
  • Thumbnail Image
    Publication
    Reproductive Performance Comparisons of Three Inbred Mice Strains (BALB/cMlac, C57BL/6Mlac and DBA/2Mlac) at National Laboratory Animal Center, Mahidol University, Thailand
    (2014) Pornrattana Chumanee; Apisit Laosantisuk; Wanson Keawmanee; Kanchana Kengkoom; Thanaporn Pinpart; พรรัตนา ช่อมณี; อภิสิทธิ์ เหล่าสันติสุข; วสันต์ แก้วมณี; กาญจนา เข่งคุ้ม; ธนพร พิณพาทย์; Thanaporn Pinpart; Mahidol University. National Laboratory Animal Center. Office of Laboratory Animal Production; มหาวิทยาลัยมหิดล. ศูนย์สัตว์ทดลองแห่งชาติ. สํานักงานผลิตสัตว์ทดลอง
    Reproductive performance consisting of mean litter size, number of pups that wean (wean: born ratio) and mean reproductive index of three inbred mice strains, which are BALB/cMlac, C57BL/6Mlac and DBA/2Mlac, were investigated to provide some basic information on the breeding and maintaining of a foundation colony. These strains are designated as specific pathogen free animals (SPF) by the National Laboratory Animal Center, Mahidol University (NLAC-MU), the organization in which they were housed under the maximum barrier system. The data from twenty generations of each strain were analyzed by t-test and non-parametric test. The mean litter size (born) values were 4.6±1, 6.2±1.4 and 4.3±1.0, and the wean:born ratios were 0.90±0.1, 0.81±0.2 and 0.83±0.2 for BALB/cMlac, C57BL/6Mlac and DBA/2Mlac, respectively. Furthermore, their mean reproductive indexes were 1.03, 0.94 and 0.71, respectively. Comparison results of the three inbred strains suggested that the reproductive performance of BALB/cMlac is better than that of C57BL/6Mlac and DBA/2Mlac.
  • Thumbnail Image
    Publication
    Chronic Ingestion of High Dosed Phikud Navakot Extraction Induces Mesangiolysis in Rats with Alteration of AQP1 and Hsp60 Expressions
    (2015-02-10) Kanchana Kengkoom; Sumate Ampawong; Mahidol University. National Laboratory Animal Centre; Mahidol University. Faculty of Tropical Medicine
    Phikud Navakot (PN) is commonly used in Thai traditional medicine for alleviation 18 of cardiovascular and cerebrovascular symptoms, however little is known about the 19 chronic toxicity effects of the extracts from the herbs in PN. Repeated extraction doses of 20 10, 100, and 1,000 mg/kg/day were randomly administered to both male and female 21 Sprague Dawley rats for 12 months. Histopathological study revealed that mesangiolysis 22 was predominately found at the highest dose. Aquaporin 1 (AQP1) expression in the 23 mesangiolytic glomeruli was significantly lower than in the intact glomeruli. This may 24 relevant to an imbalance of vascular function manifested by AQP1 alteration. In the 25 mesangiolytic glomeruli, 60 kDa heat shock protein (Hsp60) was significantly up- 26 regulated on the endothelial lining cells of aneurysm and vascular cyst. Hsp60 increase 27 may be related to endothelial cell damage due to its intracellular protective role. Blood 28 urea nitrogen and creatinine levels were remained within their normal range indicating 29 well-functioning renal reserve function. In conclusion, high dosed PN may affect the 30 endothelium leading to inability of vascular permeability and consequence to 31 mesangiolysis. Our results suggest that only a high dose of chronic oral administration of 32 PN is relatively toxic in association with mesangiolysis. The NOAEL was determined to 33 be 100 mg/kg/day
  • Publication
    Effects on high cholesterol-fed to liver, retina, hippocampus, and Harderian gland in Goto - Kakizaki rat
    (2013) Kanchana Kengkoom; Aekkarin Klinkhamhom; Aunchalee Sirimontaporn; Ornuma Singha; Taweesak Ketjareon; Yaowaluk Panavechkijkul; Dutmanee Seriwatanachai; Suluck Ukong; Sumate Ampawong; Mahidol University. National Laboratory Animal Centre
    To understand the relationship among cholesterolemia, hyperglycemic stage in non obese type 2 diabetes mellitus, and histological perturbations on liver, retina, hippocampus, and Harderian gland, we maintained rat on a diet high in cholesterol for fourteen weeks, then analyzed blood lipid profiles, blood glucose, hepatic enzymes, and microscopic lesion of those tissues. We observed that high cholesterol-treated rat elevated in cholesterol and low density lipoprotein with not correlated to hyperglycemia. Histopathological changing in Goto-Kakizaki rat on liver (microvesicular steatosis) and Harderain gland (tubular lesions) were related to hyperglycemic effect rather than cholesterolemic effect. These may be related to hypoinsulinemic characteristic of this diabetic model. However increasing pyknotic nuclei on hippocampus and reducing of retinal ganglionic cell were related to the high level of cholesterol loaded with synergized effect due to diabetic stage.
  • Publication
    Prevalence of Helicobacter in Laboratory Mice in Thailand
    (2014) Mathurot Duangchanchot; Rapee Inpunkaew.; Pravate Thongsiri; Nobuhito Hayashimoto; Nobuhiro Gemma; Masaru Nikaido; Masayoshi Takahashi; Kanchana Kengkoom
    Prevalence of Helicobacter is mostly unknown in laboratory animals in Thailand. The 221 mice feces/cecum from 8 universities, 2 pharmaceutical companies and 3 research institutions in Thailand were surveyed for the prevalence and distribution of Helicobacter species by using the Electrochemical DNA chip. Helicobacter were detected 23/46 samples in Specific Pathogen Free (SPF) and 168/175 in conventional condition. Prevalence of Helicobacter were 98%, 96%, 92% and 78% in South (n=40), Northeast (n=40), North (n=25) and Central area (n=116), respectively. Only Central area holds SPF facility resulting in Helicobacter prevalence that seems to be lower than other areas. Three species of Helicobacter were detected in feces/cecum samples by sequence analysis: H. rodentium (67.0%, 148 samples), Helicobacter sp. MIT 01-6451 (15.4%, 34 samples), and unidentified Helicobacter species (14.1%, 9 samples). The results suggested that H. rodentium is the most common species of Helicobacter in laboratory mice in Thailand.
  • Publication
    High Dietary Cholesterol Masks Type 2 Diabetes-Induced
    (2014-09-09) Sarawut Lapmanee; Narattaphol Charoenphandhu; Ratchaneevan Aeimlapa; Panan Suntornsaratoon; Kannikar Wongdee; Wacharaporn Tiyasatkulkovit; Kanchana Kengkoom; Khuanjit Chaimongkolnukul; Dutmanee Seriwatanachai; Nateetip Krishnamra; Mahidol University. National Laboratory Animal Center
    Type 2 diabetes mellitus (T2DM) often occurs concurrently with high blood cholesterol or dyslipidemia.Although T2DM has been hypothesized to impair bone microstructure, several investigations showed that, when compared to age-matched healthy individuals, T2DM patients had normal or relatively high bone mineral density (BMD). Since cholesterol and lipids profoundly affect the function of osteoblasts and osteoclasts, it might be cholesterol that obscured the changes in BMD and bone microstructure in T2DM. The present study, therefore, aimed to determine bone elongation, epiphyseal histology, and bone microstructure in non-obese T2DM Goto-Kakizaki rats treated with normal (GK-ND) and high cholesterol diet. We found that volumetric BMD was lower in GK-ND rats than the age-matched wild-type controls. In histomorphometric study of tibial metaphysis, T2DM evidently suppressed osteoblast function as indicated by decreases in osteoblast surface, mineral apposition rate, and bone formation rate in GK-ND rats. Meanwhile, the osteoclast surface and eroded surface were increased in GK-ND rats, thus suggesting an activation of bone resorption. T2DM also impaired bone elongation, presumably by retaining the chondrogenic precursor cells in the epiphyseal resting zone. Interestingly, several bone changes in GK rats (e.g., increased osteoclast surface) disappeared after high cholesterol treatment as compared to wild-type rats fed high cholesterol diet. In conclusion, high cholesterol diet was capable of masking the T2DMinduced osteopenia and changes in several histomorphometric parameters that indicated bone microstructural defect. Cholesterol thus explained, in part, why a decrease in BMD was not observed in T2DM, and hence delayed diagnosis of the T2DM-associated bone disease.
  • Thumbnail Image
    Publication
    Acute and sub-chronic oral toxicity studies of the extracts from herbs in Phikud Navakot
    (2012-06) K. Kengkoom; K. Chaimongkolnukul; S. Cherdyu; R. Inpunkaew; S. Ampawong; Mahidol University. National Laboratory Animal Center. Academic Service Office; Mahidol University. National Laboratory Animal Center. Quality Assurance Office; Mahidol University. National Laboratory Animal Center. Veterinary Medical Care Office
    This study presents data from oral acute and sub-chronic (90-day) toxicity effect of the extracts from herbs in Phikud Navakot (PN) which is commonly used in Thai traditional medicine for alleviation of the clinical sign of hyperlipidemia, cardiovascular diseases, and cerebrovascular diseases. The single and repeated dose of the extracts were administered to Sprague Dawley rats as described in the OECD code 420 guideline for acute test and OECD code 408 guideline for sub-chronic test respectively. The variables included were body weights; feed consumption, organ weights, hematology and blood clinical chemistry, and histopathology were performed. Acute toxicity test revealed that, the limit dose of 2,000 mg/kg did not cause any mortality or symptoms of toxicity in all rats during the observation period. In the sub-chronic tests, the results did not show any treatment–related effect of toxicity. Therefore, our obtained results suggest that PN is a relatively nontoxic herb for single and repeated oral administration. However, the contraindication of the usage of PN is related to the high levels of uric acid during and after a high dose oral administration.